ข้อคิดเพื่อชีวิตเป็นสุข... ธารดาว
ขอบคุณ...ขอโทษ

ขอบคุณ เป็นคำพูดที่เราจะใช้เมื่อมีผู้มาแสดงน้ำใจกับเรา ไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการกระทำ คำขอบคุณดูจะถ่ายทอดความรู้สึกซาบซึ้งใจที่จะบอกกับคนๆ นั้นได้เป็นอย่างดี ในขณะที่คำ ขอโทษ ก็จะบอกถึงความรู้สึกเสียใจ รู้สึกผิด เมื่อมีการกระทำล่วงเกินฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดขึ้น

คำขอบคุณ และขอโทษเป็นวัฒนธรรมพื้นฐานของการอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าในสังคมครอบครัว สังคมการทำงาน และสังคมวงกว้าง คำพูดสองคำสั้นๆ
นี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่อย่างที่ หลายๆ คนอาจจะนึกไม่ถึง ทำให้ความขัดแย้ง ความเข้าใจผิด ลดความรุนแรงหรือหายไปได้ ทำให้ความสัมพันธ์ และมิตรภาพระหว่างผู้คนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

แต่น่าใจหายที่ถ้อยคำดีๆ สองคำนี้ กำลังจะหายไปจากริมฝีปากของคนจำนวนมากในสังคมปัจจุบัน บ่อยครั้งที่เห็นผู้ใหญ่ลุกให้เด็กนักเรียนตัวเล็กๆ นั่งบนรถเมล์ น้อยครั้งที่จะเห็นเด็กยกมือไหว้ หรือกล่าวคำขอบคุณ ทั้งๆ ที่อยู่ในวัยพ่อแม่ต้องสอน โรงเรียนต้องสอน ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ เขาลุกให้นั่ง
ฉันก็นั่ง เห็นแล้วเศร้าใจ ที่เด็กน้อยในวันนี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความกระด้างในวันข้างหน้า

หรือการเหยียบเท้า กระทบกระแทก ล่วงเกินร่างกายซึ่งกันและกันบนรถเมล์ นับวันผู้คนจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา การเอ่ยปากพูดขอโทษ
ดูจะเป็นสิ่งที่น่าอายที่ไม่มีใครอยากทำ (ก็ยุคนี้เขาว่า คนมักเห็นกงจักรเป็นดอกบัว 'เห็นถูกเป็นผิดเห็นผิดเป็นถูก' ทั้งๆ ที่ทำแล้วเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ ผู้พบเห็น)

การพูดคำว่าขอบคุณและขอโทษ ไม่เฉพาะว่าเด็กต้องพูดกับผู้ใหญ่เท่านั้น แต่เป็นความรู้สึกที่ควร จะมีอยู่ในใจของคนเราทุกคน ทุกเพศทุกวัย เมื่อไหร่
ที่พ่อแม่ทำอะไรไม่เหมาะสมต่อลูก พ่อแม่เองก็ควรจะพูดขอโทษลูกได้เช่นกัน หรือแม้ว่าเราอาจจะไม่ใช่เป็นฝ่ายผิด แต่ถ้า ขอโทษ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น
เป็นผลดีกับทุกฝ่าย ก็เป็นสิ่งที่น่าทำเช่นกัน

รู้ไหมว่าการหัดพูด ขอบคุณ และ ขอโทษ จนเป็นนิสัย เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของคนเรา

(จากนิตยสาร หมอชาวบ้าน ฉบับที่ ๒๕๔)

(หนังสือ ดอกหญ้า อันดับที่ ๙๔ หน้า ๖๘-๖๙)