น่ารู้จัก
นางดารา (ทางบุญ) ก้อนสุวรรณ
สามีชื่อ กัณหา ก้อนสุวรรณ
๑๒๖ ม.๑๕ ต.กระแชง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ บุตร ๓ คน กำลังศึกษาในระบบการศึกษาของชาวอโศก

ครอบครัวเดิม
พ่อแม่เป็นชาวนา แต่ดิฉันอยากหาประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่าง และเบื่อหน่าย การฆ่าสัตว์ ที่มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ เวลามีงานบุญ จึงออกจากบ้าน ไปหางานทำ ทั้งๆ ที่พ่อแม่ ต้องจ้างคนมาทำนา แพงกว่าเงินเดือนที่เราได้ จากการไป ทำงานรับจ้าง ได้เห็นข้าราชการ ตำรวจ และอาชีพอื่นๆ ที่ไม่ใช่ชาวนา เอ๊ะ! เขาก็ทุกข์เหมือนกัน ดิฉันไปเป็นพี่เลี้ยงเด็ก และเรียนสารพัดช่างด้วย เพราะตอนเด็กๆ เรียนจบแค่ ป.๔ ไม่ได้เรียนต่อ ทั้งๆที่เรียนดี และอยากเรียน ไม่ใช่ไม่มีเงินเรียน พ่อแม่พอส่งได้ แต่ไม่มีโรงเรียนจะเรียน โรงเรียนที่จะเรียนได้ ก็อยู่ไกลเกินไป จึงอดเรียน บางทีแค่ฝันเอาว่า ได้เรียนต่อ ก็ยังรู้สึก เป็นสุขเลยค่ะ

ในขณะที่เรียนสารพัดช่าง บ้านที่ไปทำงานด้วย เขาทวงบุญคุณว่า ใช้เวลาทำงานไปเรียน ดิฉันก็ไม่สบายใจมาก พอดีแม่โทรเลขไปว่า มีธุระ ให้กลับบ้านด่วน ดิฉันก็รีบกลับ แต่ปรากฏว่าแม่ให้แต่งงาน ตอนนั้นอายุ ๑๙ ปี ใจจริง ดิฉันเคยคิดอยากบวชชี ไม่ชอบการ ฆ่าสัตว์ อยากพ้นทุกข์ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ดิฉันชอบอ่านหนังสือ กฎแห่งกรรม ของ ท.เลียงพิบูลย์ แต่เมื่อแม่ให้แต่งงาน ก็แต่งตามใจท่าน

ครอบครัวใหม่
สามีทำการเกษตร ดิฉันเป็นคนขยันทำงานมาก แถมปลูกอะไรก็ได้ลูกดก ได้ผลผลิตมาก เราไปขายที่ตลาด เขาก็ว่า ผักไม่สวย (เพราะเราไม่ได้ฉีดยา) มีคนแนะนำว่า ให้ฉีดยาฆ่าแมลง ผักจะได้งาม เราก็ซื้อไปลองใช้ดู มันก็งามจริง ในระยะแรก เพราะสมัยนั้น แมลงยังไม่กวนมาก เราฉีดยาแมลงก็หมด ผักก็เลยงาม แต่ต้นทุนสูง ดิฉันเอาผลผลิต ไปขาย โดยบรรทุก ส่จักรยาน ถีบไปขายระยะ ๗-๘ กม. ตอนนั้น อุ้มท้องลูกชายคนโต รายได้ประมาณ ๑๐๐บาท (สมัยนั้นค่าแรงวันละ ๓๐ บาท) แต่ผักที่เอาไปมีจำนวนมาก แม้จะรู้สึกว่าเป็นเงินจำนวนน้อย ก็ทนทำไป เพราะไม่รู้ จะทำอะไร ทำอย่างอื่นไม่เป็น

ดิฉันก็มาคิดว่าเราน่าจะปลูกอะไรที่ตลาดต้องการ และไม่มีใครปลูก คงจะได้ราคาดี เช่น ปลูกพริก แล้วตากแห้ง ไว้ขายหน้าแล้ง หน้าฝนทำพืชไร่ ปีแรกปลูกฝ้าย ๒๐ ไร่ ลงทุน ๒๐,๐๐๐ บาท ขายได้ ๔๐,๐๐๐ บาท ยังไม่ได้คิดค่าแรง แต่หักค่ายาฆ่าแมลง แล้วเหลือประมาณหมื่นกว่าบาท ไปซื้อควายตัวหนึ่ง จากนั้นปลูกถั่วลิสง ข้าวโพด ปอ มันสำปะหลัง พวกนี้ใช้ปุ๋ย แต่ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง

ปี ๒๕๒๗ ปลูกมะม่วงหิมพานต์ เป็นไม้ผล ที่มีอนาคต ให้ผลผลิตดีมาก มีแต่ให้กับให้ ไม่ต้องทำอะไรมาก ไถอย่างเดียว ปลูก ๒๐ ไร่ ได้เงิน ๔๐,๐๐๐ บาทต่อปี ต่อมาปลูกพืชล้มลุก เช่น ฟักทอง แตงโม ช่วงนั้นเป็นช่วงพฤษภาทมิฬ ทำงานไป (รดน้ำต้นไม้) ก็ฟังข่าว ไปด้วย นึกในใจว่า เขาฆ่ากันตาย ดิฉันก็ปลูกผัก เอาไปให้พวกคุณกิน ที่ดินที่ไปทำ ทั้งไกล และอยู่ในเขตอันตราย เพราะใกล้ชายแดนเขมร บางทีพวกนี้ ก็จะจับผู้หญิงไทย ไปข่มขืน ไม่ค่อยมีคนกล้า เข้าไปทำไร่ และที่ดินก็อยู่แยกกันไป ไม่ได้อยู่รวมกันเป็นแปลงใหญ่ทีเดียว

จากการที่ได้อยู่กับป่า ก็รู้สึกรักป่า เห็นว่าป่านั้นมีแต่ให้ สัตว์เล็กสัตว์น้อยก็ได้อาศัยป่าดำรงชีวิต แต่ชาวบ้าน กลับตัดไม้ ทำลายป่า ทำเสาบ้าน เผาถ่าน แม้ต้นไม้ยังเล็กก็ตัดเพราะต่างคนต่างก็แย่งชิงกัน ถ้าไม่รีบมาตัด เดี๋ยวคนอื่น จะตัดเสียก่อน เคยคิดตามประสาว่า รัฐบาลน่าจะกำหนด ให้คนปลูกบ้าน หลังเล็กๆเท่านั้น คนจะได้ไม่ตัดไม้ ทำลายป่ากันมาก ได้เห็น เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ทำผิดกฎหมายเสียเอง แถมยังมาจับราษฎร ว่าบุกรุกที่ป่าสงวน
ถ้าเจ้าหน้าที่เห็นพวกเรากำลังถางไร่อยู่ เขาจะจับทันที (แต่พ่อค้าพลอย ทำลายธรรมชาติ ชาวบ้านหลายคนว่ามี เพราะเป็นธุรกิจ ที่ทำเงินได้มาก)
เมื่อรักป่า ก็ไม่อยากให้ใครทำลายป่า เห็นใครจุดไฟป่าแล้วบอกว่าสนุก เราก็สลดใจว่า ทำไมต้องเบียดเบียนกัน มนุษย์ทำไมช่างโหดร้าย ดิฉันเคยคิด ไม่อยากอยู่ร่วมกับคนเลย

ขณะที่อุ้มท้องลูกคนที่ ๒ ดิฉันอายุ ๒๘ ปี ตอนนั้นไปทำไร่ เอาควายไปช่วยทำงานด้วย ต้องไปตักน้ำดื่ม น้ำนั้นอยู่ใน บ่อพลอย เห็นพลอยที่อยู่ในน้ำ สีสวยงามมาก พลางคิดว่า ถ้าเรารวยจากพลอย เราจะทำอย่างไร เมื่อมีเงิน โจรก็อาจ จะมาปล้นบ้าน สามีก็อาจมีเมียน้อย เพราะผู้ชาย พอเริ่มร่ำรวย ก็จะไม่ค่อยซื่อสัตย์ จึงคิดต่อไปอีกว่า ก็ถ้ารวยแล้ว ต้องทุกข์ จะรวยไปทำไม จะมีการรวยแบบไหนบ้างที่ไม่ทุกข์ โจรปล้นไปไม่ได้ ดิฉันนั่งนิ่งที่ลำห้วย คิดได้ว่า สิ่งนั้นคือ พระรัตนตรัย ใครมีในใจแล้วมีความสุข จึงตั้งจิตขณะนั้นว่า จะถือศีล ไม่ฆ่าสัตว์ จะสำรวมตนเอง ศึกษาธรรมะให้มาก จากนั้นได้อ่าน อาริยทรัพย์ ว่าทรัพย์แท้คืออะไร ถ้ามีในตัว ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายแล้ว จะมีมงคลชั่วชีวิต ดิฉัน ได้เข้าใจว่า หากเรามีศรัทธาในศาสนา เราต้องมีศีล แล้วถ้าจะถือศีล ก็ต้องไม่ฆ่าสัตว์ จึงลดการกินเนื้อสัตว์ เพราะสงสาร จะเหลือบ้างก็ปลา พอสามีหากบ ปู ปลา มาให้ดิฉัน ดิฉันก็แกล้งปล่อยไป บอกเขาว่าเราปิดฝาไม่ดี ถ้าดิฉันไปตลาด ก็จะไปซื้อปลาตายมา ถ้าจำเป็นต้องทำกิน จากสัตว์ที่สามีหามาให้ ดิฉันก็จะทำแต่ตัวที่ตาย ตัวเป็นๆ ก็ให้คนอื่นไป ชาวบ้านเขาก็ว่า ดิฉันท่าจะเพี้ยน มีบางครั้งที่จำเป็น เลี่ยงไม่ได้ด้วยวิธีใดๆ ต้องฆ่า ดิฉันจะเป็นทุกข์มาก เพราะไม่อยากผิดศีล

พบอโศก
อายุ ๓๒ ปี ได้พบพ่อใหญ่คนหนึ่ง เข้าไปทำไร่มะละกอใกล้บ้าน แกพูดคุยดีมาก และแนะนำหนังสือ ดอกหญ้า ให้ดิฉันอ่าน แกพูดถึงศีรษะอโศกฯ ว่าเป็นวัดแปลก ไม่กินเนื้อสัตว์ ก็ตรงกับใจดิฉันพอดี ฟังแล้วอยากไป วัดนี้มาก พอได้อ่านหนังสือก็รู้ว่าเรา มีเพื่อนแล้ว คนกลุ่มนี้คิดเหมือนเรา แต่ก็มีบางคนบอกว่า วัดนี้ไม่ดี พระมีเมีย เด็กหนุ่มสาว ก็มั่วกัน ดิฉันไม่เชื่อ อย่างไรก็อยากมา เพราะสนใจมังสวิรัติ วันหนึ่งแวะมาดู เจอครูอ้อย (ผู้ใหญ่บ้าน ศีรษะอโศก คนปัจจุบัน) เข้ามาทักทาย พร้อมเด็ก นักเรียน และพูดว่า เจริญธรรม สำนึกดีค่ะ ดิฉันประทับใจมาก คิดว่าวัดนี้ใช่แล้ว ที่เราแสวงหา จากนั้นก็เข้ามาซื้อของ ที่ร้านน้ำใจ เมื่อกลับบ้าน ก็พยายามกินมังสวิรัติ

ทุกข์จากการปฏิบัติธรรม
จากการประกาศหยุดกินเนื้อสัตว์ และหยุดฆ่าสัตว์เพื่อทำอาหาร สามีก็พูดว่า เอ็งอยากตายหรือ ดิฉัน ก็ตอบว่า ตายไม่กลัว ชีวิตที่ผ่านมา ก็มีแต่ทุกข์ ไม่เห็นสุขตรงไหน ถ้าจะตาย เพราะไม่ได้กินเนื้อสัตว์ ก็จะตาย อย่างมีบุญ ดีกว่าอยู่อย่างคนบาป สามีและพ่อแม่สามีนิ่งอึ้ง และพวกเขา ก็ไม่ได้บังคับ อะไรดิฉันอีก

ดิฉันเอาลูกไปเรียนที่ศีรษะอโศก จึงมีข้ออ้างว่า อยากไปดูแลลูกที่วัด ไปเป็นผู้ปกครองได้สักพัก พ่อสามีก็เสียชีวิต จึงต้องกลับไปดูแลแม่สามี ต้องกลับไปใช้ชีวิต แบบผู้ครองเรือน ขณะเดียวกัน ก็กังวลเรื่องศีล ๘ เพราะไม่อยากมีลูกอีก ต่อมาหลานสามี มาช่วยดูแลแม่สามี ดิฉันจึงมีโอกาส ได้ไปวัด

การศึกษาของลูก
ดิฉันไม่ได้เน้นเรื่องการศึกษาแบบโลกๆ หาทางให้ลูกอยู่ในขอบเขตแห่งศีล ดิฉันอยากให้ลูกเป็นนักบวช อยากให้เขา เป็นโสด เพราะเราเห็นทุกข์ จากการมีครอบครัว ดิฉันจะบอกลูกว่า แม่ไม่มีเงินจัดงานแต่งงานให้ลูกนะ และหากลูก เผอิญไปแต่งงาน แม่ก็จะไม่เลี้ยงหลาน ให้นะ สำหรับดิฉัน ทายาทคือการกระทำของเรา ไม่ต้องมีลูกเป็นตัวเป็นตน ดิฉันไม่คิดเก็บเงินให้ลูก มีเงิน ก็รีบทำบุญ เพราะอยากให้เขาเป็นคนที่ขยัน และรู้จักพึ่งตนเอง อยากให้ทรัพย์แท้ ติดตัวไป เพราะดิฉันเห็นว่า สร้างบ้านปลวกก็เจาะ มีสมบัติโจรก็ขึ้นบ้าน เอาทรัพย์แท้ดีกว่า จะได้นำติดตัวไป ข้ามภพข้ามชาติ

เข้าวัด
สำหรับลูกคนเล็ก ดิฉันคิดอยากเอาเข้าวัดเร็วๆ จะได้ซึมซับสิ่งที่ดีงามตั้งแต่ยังตัวน้อยๆ และไม่ต้อง ไปแปดเปื้อน ให้ต้องมาตามล้างภายหลัง เมื่อลูกเข้ามา เป็นเด็กกลุ่มนกกระจิบ ดิฉันก็ต้องมาอยู่วัดด้วย ตอนแรก ลูกชายคนโต ไม่เห็นด้วย ที่ดิฉันจะมาอยู่วัด โดยพ่อเขายังอยู่บ้าน เขาอยากให้พ่อแม่อยู่ด้วยกัน ดิฉันต้องคุยทำความเข้าใจกันกับลูก จึงได้มาอยู่วัด เมื่อมาอยู่วัดแล้ว ก็รับหน้าที่ทำงานเกษตร เตรียมปลูกอะไรหลายอย่าง และหาเพื่อนมาช่วยทำ เริ่มจาก ทำรอบบ้านให้เขียว งานเกษตรเราจะทำหน้าฝน แต่ช่วงที่ฝนยังไม่มา ก็ทำหน้าที่แยกขยะ โดยแบ่งเป็น ๓ ส่วน ที่ใช้ไม่ได้เลยก็ทิ้งไป ที่ขายได้ ก็นำไปขาย และที่นำกลับมาใช้ได้อีก ก็พยายามนำมาใช้ใหม่ ถ้าเรามีนิสัยละเอียดละออ จะทำงานตรงนี้ได้ดี และหารายได้ ให้หมู่กลุ่มได้เช่นกัน

กสิกรรมไร้สารพิษ
ดิฉันได้ฟังพ่อท่านเทศน์เรื่องการทำเกษตรไร้ สารพิษในปี ๒๕๔๐ ดิฉันจึงปลูกแตงโมไร้สารพิษ ในเนื้อที่ ๒ ไร่ ได้ผลผลิตดีมาก ทั้งแดงทั้งหวาน ปลูกได้ผลประมาณ ๑ ตัน ก็บริจาคให้วัดหมด ได้เอาไปร่วมงาน และถวายพ่อท่าน วันที่ ๕ มิถุนายน๒๕๓๘ ที่บ้านราชฯ ด้วย ปีต่อมาก็ปลูกอีก ๘ ไร่ ได้ผลผลิตอีกมาก ทั้งให้วัด ทั้งขายที่ร้านน้ำใจ และ ที่สันติอโศกด้วย ได้เงินเกือบแสนบาท ซื้อแท็งค์น้ำ และไปปลูกบ้านหลังเล็กๆ ที่ศีรษะอโศก

ความกังวลใจ
ทำกสิกรรมไร้พิษอยู่บ้าน หากได้ผลผลิตมา ทำบุญก็ดีไป ถ้าไม่ได้ก็ขาดทั้งบุญทั้งทุน แม้เราทำได้ สามารถรักษา สิ่งแวดล้อมได้ หากวันหนึ่ง เราต้องตายไป ก็คงมีคนมาครอบครองแทน แล้วเขาจะทำเหมือนเราไหม เราเองก็กินแค่อิ่ม สมณะท่านเคยเทศน์ว่า ที่คุณปลูกไว้น่ะ ลำพังครอบครัวคุณ กินเข้าไป ไม่หมดหรอก ก็จริงของท่าน ส่วนพ่อบ้าน ก็พูดว่า เราอยู่บ้าน ก็ทำตามที่พระท่านสอนได้ ไม่ต้องไปอยู่วัดหรอก เอาผลผลิตไปทำบุญก็พอ หากไปอยู่วัด ใครจะดูแลสวน แล้วจะเอาอะไรไปทำบุญ ดิฉันก็ฉุกคิด แต่อยู่บ้านก็ได้แค่ทำกิน ยังไงก็กินไม่หมด หากอยู่วัด ต้องดีกว่าแน่ เพราะลืมตาขึ้น หูก็ได้ยิน เสียงธรรมะ จิตใจก็สงบ แม้การทำงาน ก็ไม่ต้องกังวลว่าทำอะไรพูดอะไร จะไปขัดหูเพื่อนบ้าน เพราะไปขัดกิเลสเขา อยู่วัดมีคนพูดแทนมาก เราเลยไม่ต้องพูด เพราะที่วัดมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ชีวิตเราต้องดีกว่าอยู่บ้านแน่ จึงตัดสินใจว่า แม้มาอยู่วัด และไม่ได้เอา ผลผลิตมาขาย เราก็จะทุ่มเทชีวิต ทั้งชีวิตให้วัด อย่างสุดกำลัง จึงตัดกังวลได้ พร้อมตั้งใจ จะปฏิบัติบูชาพ่อท่าน และสมณะทุกรูป พระคุณท่านเหลือล้น สุดประมาณ รู้สึกขอบคุณชาวอโศกทุกท่าน ที่มีส่วนทำให้ดิฉันได้เข้าวัดสมดังที่ตั้งใจ แน่วแน่ ตั้งแต่แรกพบ

(หนังสือ ดอกหญ้า อันดับที่ ๙๕ หน้า ๓๖-๔๒)


ไม่มีเงินทอง ไม่นับว่ายากจน
ความรู้ต่างหาก
จึงจะเป็นความยากจนที่แท้จริง
ไม่มีฐานะ ไม่นับว่าต่ำต้อย
ไม่มีแก่ ใจรู้จักอับอาย
จึงจะเป็นความต่ำต้อยที่แท้จริง
มีชีวิตอยู่ไม่นาน ไม่นับว่าอายุสั้น
ไม่มีอะไรให้คนเขายกย่องสรรเสริญบ้าง
จึงจะเป็นคนอายุสั้นอย่างแท้จริง
ไม่มีลูกไม่นับว่าอยู่โดดเดี่ยว
ไม่มีศีลธรรม
จึงจะเป็นความโดดเดี่ยวที่แท้จริง

จากหนังสือ ปัญญายามราตรีแห่งเหมันต์
(หนังสือ ดอกหญ้า อันดับที่ ๙๕ หน้า ๔๓)