บันทึก... น้ำค้างหยดเดียว
เข้าใจชีวิต

เดินทางไกลไปสะสางภารกิจที่คั่งค้าง โดยสารรถไฟชั้น ๒ ตู้นอน กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ อาจเป็นการเดินทาง ที่บางคนมองว่าเชื่องช้าล้าสมัย แต่รถไฟ ยังเปี่ยมเสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย กับการเคลื่อนตัวไปบนรางอย่างสม่ำเสมอ ถึงก็ช่าง - ไม่ถึงก็ช่าง จนถึงจุดหมายในที่สุด

สิบสองชั่วโมงกับการเดินทางอันรื่นรมย์กับเพื่อนผู้รู้ใจ ผ่านธรรมชาติทุ่งนาป่าเขา ผ่านสถานีเล็กๆ ที่เงียบ สงบอบอุ่น ผ่านสถานีใหญ่ที่คึกคัก มีชีวิตชีวา ผ่านผู้คน อาคารบ้านเรือน และสิ่งแวดล้อม ที่ยังเป็นชนบท เมืองไทยยังน่าอยู่

เพื่อนร่วมเดินทางส่วนใหญ่ก็น่ารัก คงไม่มีคนประเทศไหนผูกมิตรกันง่ายเท่าคนไทย ที่เพียงส่งยิ้มให้กัน มิตรภาพ ก็งอกงาม บางคนถึงกับแทรกเข้ามา ร่วมสนทนาด้วย ทั้งที่เรากับเพื่อนกำลังคุยกันอย่างออกรส โดยไม่คิดว่า จะมีใคร สนใจฟัง

แง่หนึ่งอาจดูเหมือนไร้มารยาท แต่อีกแง่คือความงดงาม ในความจริงใจของเพื่อนมนุษย์

หัวข้อสนทนาส่วนใหญ่คือการปรับทุกข์ปรับสุข ปรับจิตปรับใจ ปรับเปลี่ยนวิธีคิด เมื่อต้องพบเหตุการณ์ อันนำมา ซึ่งความทุกข์ระทมขมขื่น ที่ครั้งหนึ่ง ดูยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน ต่อเมื่อเข้าใจ ชีวิตระดับหนึ่ง ความทุกข์ทรมานเหล่านั้น ก็มิอาจมาย่ำยี ทำร้าย ความรู้สึกใดๆ ได้อีก

เข้าใจชีวิต ช่างเป็นคำนิยามที่ไพเราะลงตัวเสียนี่กระไร จากชีวิตที่เปราะบาง อ่อนไหว ทนอะไรได้ยาก เมื่อผ่าน การเคี่ยวกรำ ทำศึกกับกิเลสในตน และอดทน ต่อผัสสะภายนอก ที่มากระทบ ไม่ว่าจะเป็นความหยาบคาย ร้ายกาจของผู้คน มิตรภาพที่แปรเปลี่ยน หรือชะตากรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยง ณ วันนี้ ชีวิตนั้น ถึงกับสามารถ เข้าใจและรู้เท่าทัน

ไม่มีอะไรที่มนุษย์จะทนไม่ได้ เว้นเสียแต่จะไม่ยอมทน

ยุคสมัยเปลี่ยนไป ใจคนก็เปลี่ยนตาม เพราะฉะนั้น อภัยให้เขาเถิด ทั้งมิตรและศัตรูผู้ไม่หวังดี ในเมื่อมนุษย์ ก็ล้วนแต่ อ่อนแอ และโง่เขลา ทุกคนก็เพียงแต่ ทำตามสัญชาตญาณ การเอาตัวรอด เท่าที่เขาจะคิดได้

คืนนี้มีความสุขลึกซึ้งกับการนอนมองดูดาวที่วิ่งตามขบวนรถจนหลับไป

ขากลับ เพื่อนยังไม่เสร็จภารกิจ จึงต้องเดินทางกลับคนเดียว คราวนี้โดยสารรถดีเซลรางด่วนพิเศษ เชียงใหม่-กรุงเทพฯ เที่ยวเช้า เดินทางคนเดียว ก็ได้ความสุขสงบไปอีกแบบ เพื่อนเดินทางสองสามเล่ม อยู่ในเป้ใกล้ตัว อยากอ่านก็หยิบ ไม่อยากอ่านก็วาง เล่มล่าสุด ความโศกเศร้าครั้งสุดท้าย ของ ชนะ คำมงคล แค่ชื่อ ก็ถูกใจ-ใช่เลย ! ความโศกเศร้า ทั้งหลายทั้งปวง ควรเป็นครั้งสุดท้ายเสียที

ผู้คนทยอยขึ้นมาจากสถานีต่างๆ จนที่นั่งที่ว่างอยู่เต็ม รวมทั้งที่นั่งข้างตัวเราด้วย รู้สึกยินดีที่ผู้มานั่งด้วยเป็นผู้หญิง จึงยิ้มทักทาย ตามมารยาท แต่ดูเธอจะไม่ค่อยใส่ใจ และเอาแต่พูด โทรศัพท์มือถือตลอดเวลา แถมนั่งเอียงข้างทำมุม ๔๕ องศา มองออกนอกหน้าต่างประการเดียว ไม่เป็นไร เราก็รักความเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว ไม่ว่ากัน

แต่ครอบครัวใหญ่เชื้อสายจีนที่ขึ้นมาบนรถในเวลาไล่เลี่ยกันนี่สิ ช่างโวยวายอึกทึกดีแท้ พวกเขาพูดจาหยอกล้อกัน เสียงดังไม่เกรงใจใคร คำพูดที่ใช้ ก็ก้าวร้าวรุนแรง จนชายหนุ่มท่าทางเรียบร้อย ที่นั่งด้านหน้า ต้องหันมามองหญิงสาว เจ้าของถ้อยคำ ระคายหู ที่หน้าตาไม่สวยเลย แต่ขยันเรียกร้องความสนใจ อยู่เป็นระยะๆ

นี่แหละหนอ สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล

บรรยากาศดีๆ ผ่านไปแล้ว ผัสสะจากครอบครัวใหญ่ ที่ไร้การอบรม เบียดเบียนโสตประสาท ตลอดระยะเวลาที่เหลือ เถอะ-อีกไม่นาน การเดินทางเที่ยวนี้ก็จะสิ้นสุดลง ป่วยการเสียอารมณ์กับคนที่เพียงแค่พบเพื่อผ่านกันไป

แต่สำหรับการเดินทางของชีวิตเล่า แม้สักวันเราเองจะต้องเป็นฝ่ายไป เพราะโลกอนุญาต ให้เดินผ่าน เพียงชั่ว ประเดี๋ยวหนึ่ง แต่การต้องอยู่ร่วมกับผู้คน ต่างจริตนิสัย และการกล่อมเกลา ถือสาสิ่งใด ผูกโกรธใครไว้ จะมีประโยชน์ อะไร กับชีวิตที่เหลืออยู่ ในเมื่อมนุษย์ก็ล้วนอ่อนแอและโง่เขลา

(หนังสือ ดอกหญ้า อันดับที่ ๙๕ หน้า ๕๖-๕๗)