โบนี่
มารติน
(เกือบจะ)
โชคร้ายที่เกิดมารวย
เขียนโดย
โฆเซ่ หลุยส โอไลยโซล่า
แปลจากภาษาสเปน
โดย สว่างวัน ไตรเจริญวิวัฒน์
[พิมพ์ครั้งที่ ๑ : ๒๕๔๒ ราคาเล่มละ ๗๕ บาท (รวมค่าส่ง) สั่งซื้อได้ที่
ธรรมทัศน์สมาคม ๖๗/๕๐ ถ.นวมินทร์ คลองกุ่ม บึงกุ่ม กทม. ๑๐๒๔๐ โทร.0-2375-4506
สั่งจ่าย ปท.คลองกุ่ม ผลกำไรจะนำไปช่วยเด็กยากจนในชนบท]
เริ่มลงในฉบับที่ ๙๑
ตอน
๖
ขณะที่โบนี่ไถลตัวลงจากเนินเขาโดยใช้ถุงพลาสติก
เขาได้ยินเสียงร้องอย่างวิตก ของคนขับรถ ขอให้เขากลับมา ต่อจากนั้น
โบนี่ก็ไม่ได้ยิน เสียงอะไรอีก ราวกับว่า หิมะที่ตกลงมา อย่างหนาหนักนั้น
สร้างกำแพงปิดกั้น เสียงทั้งหมด เมื่อโบนี่เคลื่อนตัวมา จนถึงสุดทาง
ถุงพลาสติก ทำท่าจะหลุดมือไป ตัวของ โบนี่จมอยู่ในหิมะ ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กชาย
คาดการณ์ไว้แล้ว เขาคว้าถุงไว้ได้ จึงจับขอบถุงไว้แน่น ไม่ยอมให้หลุดมือ
พลางมองขึ้นไป บนยอดเขา เผื่อว่า จะเห็นคนขับรถ ถ้าหากว่ายังมองเห็นอยู่ละก็โบนี่คงจะพยายามกลับขึ้นไป
เพราะเขารู้สึกสงสาร น้ำเสียงทุกข์ร้อน ของโตมัส
และเพราะว่าเขาเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นที่จะไปต่อเพียงลำพัง
ท่ามกลางหิมะ ขาวโพลน อันน่าสะพรึงกลัวนั้น
แต่โบนี่ตระหนักดีว่า
ไม่มีทางเดินกลับขึ้นไป บนยอดเขาได้อีก เพราะตัวเขา จะต้องจมถึงเอว
เด็กชายไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากใช้ถุงพลาสติก ไถลตัวลงไปเรื่อยๆ ตามลาดเขา
โบนี่พยายามไม่ออกจากถนน โดยจับตาดูแนวต้นไม้ ที่รายรอบ ถ้าไม่มีไม้ต้นใหญ่เป็นแนว
เขาคงจะหลงทางแน่ เพราะแม้แต่พุ่มไม้ ก็ยังจมหาย ไปในหิมะ
ระหว่างที่โบนี่ไถลตัวผ่านทางลาดชันไปนั้นเด็กชายก็ลืมความกลัว
จนหมดสิ้น คิดแต่เพียงว่า ทำอย่างไร ให้ไปถึง หมู่บ้านเร็วที่สุด แต่พอถึงช่วงพื้นราบ
เขาต้องพยายาม ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่จะเคลื่อนที่ ไปข้างหน้าใช้ทั้งมือและเท้า
ช่วยให้ไปได้เร็วขึ้นระหว่างนั้น เขาก็ทำถุงมือ ที่ลูเซียให้ยืมหาย
พยายาม หาเท่าใด ก็ไม่พบเพราะหิมะตกหนักเหลือเกิน อีกทั้งท้องฟ้า ก็มืดลงทุกที
เด็กชายตัดสินใจ มุ่งหน้าต่อไป แม้จะรู้สึกว่ามือ ข้างที่ปราศจากถุงมือนั้น
เย็นเฉียบ เป็นน้ำแข็ง
ระยะเวลาเพียงสิบนาทีที่ผ่านไป
เด็กชายรู้สึกราวกับว่า เป็นสักสิบชั่วโมง หิมะยังตกไม่หยุด จนมองไม่เห็นอะไร
รอบๆ ตัวเลย เด็กชายเกือบจะร้องไห้ เมื่อคิดว่า คงจะหลงทางเสียแล้วขณะนั้น
เขาเกิดจำได้ว่า ระหว่างการสนทนา ที่หมู่บ้านคุณป้าอังกุ๊สเตียส เคยคุยกับแม่ของเขาว่า
บางปีที่หิมะตกหนัก สุนัขป่า จะลงมาจากบนเขา แม่ของเขาถาม อย่างตระหนกว่าแล้วมันเข้ามา
ในหมู่บ้านไหมคะ ไม่หรอกจ้ะ คุณป้าปลอบมันจะลงมา แถวนอกหมู่บ้านเท่านั้น
โบนี่สังเกตเห็นว่า
ขณะนี้เขากำลังอยู่แถวรอบนอกหมู่บ้านพอดี ความกลัวเข้ามาแทนที่ ความรู้สึกอยากร้องไห้
เด็กชายคว้าเครื่องช่วยชีวิต ชิ้นเดียวที่มีคือ ถุงพลาสติกผลักตัวเอง
ไปข้างหน้าสุดแรง จนความหนาวเหน็บหายไป จากนั้นเลือกทางลาดหนึ่ง ลื่นไถลไปอย่างรวดเร็ว
จนรู้สึกว่า เขาคงจะปลอดภัย จากสุนัขป่า ได้ในไม่ช้า แต่ความฝัน ของเด็กชาย
มลายหายวับไปทันที เมื่อเขาเห็นเงาตะคุ่ม ของสุนัขป่าที่ ข่มขวัญให้กระเจิง
ยืนอยู่บนถนน ด้านซ้ายมือ ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นสุนัขป่า ตัวโตมหึมาทีเดียว
โบนี่หลับตาปี๋พยายามพุ่งตัว ไปข้างหน้า ด้วยความเร็ว สูงสุด เท่าที่เลื่อนพลาสติก
จะทำได้ บนทางลาดชันนั้น ขณะที่เด็กชาย กำลังแล่นผ่าน หน้าสัตว์ร้ายร่างยักษ์นั้น
พลันได้ยิน เสียงร้อง ถามว่า
"ไอ้หนู นั่นจะไปไหนน่ะ
หยุดก่อน!"
เสียงมนุษย์เป็นประหนึ่งเสียงทิพย์ที่ทำให้โบนี่
หยุดเลื่อนพลาสติกทันควัน เมื่อมองตามเสียงที่ดังมา ก็พบว่าสัตว์ ที่เขาเข้าใจผิดว่า
เป็นสุนัขป่านั้น ที่แท้จริงเป็นแค่ลา ที่มีถุงอาหารผูกรอบๆ ตัว และข้างๆ
ก็มีชาวนาคนหนึ่ง ยืนจมหิมะอยู่ ชายผู้นี้ดูตื่นกลัวพอๆ กับโบนี่ เขาแทบจะเดินฝ่าหิมะ
ที่หนาหนักไปไม่ได้ นอกจากนี้ ยังต้องพยายาม ลากลาดื้อ ที่ไม่ยอมเดิน
ให้เคลื่อนไปข้างหน้าอีกด้วย
"ลุงเจอเข้ากับหิมะพอดี
เลยไปไหนไม่ได้ ต้องติดแหงกอยู่ตรงนี้แย่จริงๆ" ลุงชาวนาอธิบาย
แล้วที่ลุงมาติดอยู่ตรงนี้ ก็เป็นเพราะ เมียลุงแท้ๆ ทีเดียว ที่พูดกับลุงว่า
'เอาน่ะตาเฒ่า ออกไปหาฟืนมาใส่เตาผิง หน่อยเถอะ เผื่อหิมะจะตก' แล้วลุงก็โง่พอ
จะเชื่อเมียเสียด้วย"
โบนี่จำคุณลุงได้ดี
คุณลุงเอร๎เนสโต้ อายุมากแล้ว และใครๆก็พูดกันว่า ลุงเป็นคนป้ำๆ เป๋อๆ
อย่างไรก็ตาม โบนี่ดีใจมาก ที่เห็นคุณลุง เด็กชาย เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
ให้ชายชราฟัง คุณลุงแปลกใจมาก
"หนูใช้แค่ถุงพลาสติกนี้น่ะนะ
เลื่อนไถลจากช่องเขาลงมาจนถึงตรงนี้ได้เลยรึ"
"ครับคุณลุง"
โบนี่ตอบ
"ไอ้ลูกชาย เรื่องความฉลาดในการเอาตัวรอดนี่
หนูมีเต็มร้อยเลยแหละ"
"แล้วอีกไกลไหมครับ
กว่าจะถึงหมู่บ้าน" โบนี่ถาม
"โอ๊ย! ไม่เลย
แม้ว่ามองจากตรงนี้ จะไม่เห็นหมู่บ้าน แต่มันอยู่ตรงโน้นเอง พอเลี้ยวโค้งนี้ไป
ก็ถึงแล้ว แต่ลุงก้าวขา ไม่ออก สักก้าวเดียว ยิ่งมีไอ้ลาดื้อ นี่ด้วยแล้ว
ชะ!มันดื้อสมกับเป็นลาจริงๆ หนูคิดว่า ลุงคงจะทำให้มันเชื่อลุง ไม่ได้ใช่ไหม"
คุณลุงเอร๎เนสโต้ ทำท่าจะซัดลาดื้อสักตุ้บ
แต่กลับเปลี่ยนใจ ลูบต้นคอของมันแทน
"ที่จริงมันก็แก่มากแล้ว
เหมือนเจ้าของมัน นั่นแหละอีกอย่าง มันคงจะกลัวด้วย" ลุงพูดเป็นเชิง
ออกตัวแทน
"คุณลุงครับ"
โบนี่ขัดจังหวะ เขาไม่อาจจะเสียเวลาอีกต่อไป แม้วินาทีเดียวถ้าลุงต้องการ
"ผมจะไปที่หมู่บ้าน หาคนมา ช่วยลุงดีไหมครับ"
"ถ้าอย่างงั้นก็ยอดไปเลย
ไอ้หนูเอ๋ย แกฉลาดจริงๆ"
โบนี่เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง
พร้อมกับเลื่อนจำเป็นของเขา เด็กชายถามชายชรา เมื่อนึกถึง สิ่งที่ตนกลัวขึ้นมาได้
"ลุงครับ แถวนี้คงจะไม่มีหมาป่านะครับ"
"ไอ้มีน่ะก็พอมี
แต่ลุงว่ามันคงไม่ลงมาถึงที่นี่หรอก"
"อ้าว! แล้วถ้ามันลงมาล่ะครับ
จะให้ผม ทำยังไง" โบนี่ถาม
"วิธีที่ดีที่สุดก็คือ
หนูต้องพยายามทำให้มันตกใจ" คุณลุงตอบ อย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
"แล้วทำยังไง
มันถึงจะตกใจกลัวล่ะครับ"
คุณลุงเอร๎เนสโต้หยุดคิดครู่หนึ่ง
ก่อนจะตอบว่า "แล้วก็คิดออกเองแหละ หนูไม่ใช่เด็กโง่นี่นา"
โชคดีที่ไม่มีสุนัขป่าสักตัวและโบนี่ก็มาถึงจัตุรัสของหมู่บ้าน
ด้วยเลื่อนจำเป็นของเขา สิ่งแรกที่โบนี่เห็น ก็คือกาเนโล่ สุนัขของกลาร่า
ซึ่งนั่งรอเจ้าของ อยู่ที่เดิม
วีรกรรมของโบนี่ มาร๎ติน
ทำให้เกิดการถกเถียงและเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมาก
ด้วยความช่วยเหลือของตำรวจ
กับรถแทร็กเตอร์ สองคันในหมู่บ้านก็สามารถช่วยชีวิต ของเด็กๆ ที่ติดอยู่ในรถโรงเรียน
ในระหว่างทาง ก็ช่วยลุงเอร๎เนสโต้ และลาได้ด้วย
บางคนก็พูดว่า ไอ้หนูนี่ทำไม่ถูก
เพราะถ้าเกิด หลงทางไปในหิมะ โตริบิโอ จะต้องรับผิดชอบ บ้างก็ว่า โบนี่ทำถูกแล้ว
เพราะคงจะยิ่ง อันตรายกว่านี้ หากเด็กๆ ถูกทิ้งไว้ตามลำพังบนเขา
วันต่อมา ดวงตะวันสาดแสงสดใส
ท่ามกลางขุนเขา ที่ปกคลุมด้วยหิมะ เด็กๆ หาถุงพลาสติกมา และชวนกันเล่นเลื่อน
ตามลาดเขา รอบๆ หมู่บ้าน ทุกคนถามโบนี่ว่า
"โบนี่ ต้องทำยังไงเหรอ"
โบนี่อธิบายให้เด็กอื่นๆ
ฟังอย่างเนือยๆ มือขวาข้างที่เขาทำถุงมือหาย พันผ้าไว้ คุณป้าอังกุ๊สเตียส
บอกว่า ถ้ามาถึงช้า กว่านี้อีกนิดเดียว มือข้างนี้ จะกลายเป็นน้ำแข็ง
"ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็
เขาต้องตัดมือเธอทิ้งแน่ๆ เลย" ลูเซียพูด "ว่าแต่ว่า เธอทำถุงมือหายไปได้ยังไงนะ"
ลูกผู้พี่ของโบนี่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
ที่เด็กชายทำถุงมืออย่างดีของเธอ หายไปข้างหนึ่งถุงมือหนังคู่นี้ บุด้านในเสียด้วย
ตรงกันข้ามกับกลาร่า
ซึ่งมองดูโบนี่ ด้วยความทึ่ง
คุณลุงเอร๎เนสโต้มองเด็กชายอย่างชื่นชม
เช่นเดียวกันทุกครั้งที่คุณลุงเห็นโบนี่ ก็จะพูดว่า
"ขอบใจหนูมาก
ที่ช่วยชีวิตลาน้อยตัวนี้ไว้"
พูดพลางคุณลุงก็จะชี้ไปที่ลาคู่ใจ
ที่ไม่เคยห่างกาย คุณลุงเลยโบนี่รู้สึกว่า คุณลุงเอร๎เนสโต้ จะให้ความสำคัญ
กับชีวิตของสัตว์เลี้ยง มากกว่าชีวิต ของคุณลุงเสียอีก เมื่อเด็กชายเล่าเรื่องนี้
ให้คนที่บ้านฟัง คุณป้าอังกุ๊สเตียส พูดว่า
"ไม่น่าแปลกใจอะไรหรอกถ้าหนูรู้ว่าลาตัวนั้น
เป็นที่พึ่งพิง และเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ลุงมี"
คุณป้าอธิบายว่า เพราะลาตัวนี้แหละลุงเอร๎เนสโต้
จึงหาเลี้ยงตัวได้ ด้วยการขนฟืนและผัก
"น่าเศร้าจังเลยนะ
ที่ชีวิตของคนๆ หนึ่งต้องพึ่งลาเพียงตัวเดียว" แม่ของโบนี่รำพึง
"อุ๊ย! แต่คนอื่นๆ
ยังไม่มีเหมือนลุงเลยนะ" คุณป้าว่า
โบนี่ มาร๎ติน รู้สึกเศร้าใจ
ที่เห็นความยากจนขนาดนี้ ว่ากันว่าสามีของคุณป้าอังกุ๊สเตียส ไปทำงาน
ที่มาดริด พื่อหาเงินส่งมาบ้าน แต่คงส่ง มาให้น้อยมาก เพราะครอบครัว
ของคุณป้า แทบจะไม่มีเงิน ติดบ้านเลย ลูกผู้น้อง ของโบนี่ เก็บผลไม้ที่โรงเรียน
'ลาส บาตวยกัส' แจกเป็นของหวาน กลับมาบ้าน
วันหนึ่ง ทางโรงเรียนมีเนื้อทอดเป็นอาหารกลางวันโบนี่ไม่แตะเนื้อในจานเลย
กลาร่าเดินเข้าไปใกล้ถามว่า
"เธอไม่กินเนื้อนี่เหรอ"
"ไม่หรอก มีเอ็นเยอะเกินไป"
โบนี่ตอบ
"แล้วมันไม่ดียังไงเหรอ"
เด็กหญิงแปลกใจ
"ยี้! เห็นแล้วจะอ้วก!"
เด็กชายตอบทำหน้าพะอืดพะอม
เด็กหญิงไม่พูดพล่ามทำเพลง
เอากระดาษ ห่อเนื้อชิ้นนั้นแล้วหย่อนลง กระเป๋าเอี๊ยมของตน
"จะเอาไปให้หมาของเธอเหรอ"
โบนี่ถาม
เด็กหญิงหัวเราะ
"ให้กาเนโล่น่ะเหรอ
คิดยังงั้นได้ยังไง เนื้อนี่จะเป็นอาหารเย็น สำหรับพวกเราจ้ะ"
โบนี่สังเกตเห็นว่า
เด็กคนอื่นพากันเก็บอาหารส่วนหนึ่งกลับบ้านแม้ว่าจะมีกฎให้นักเรียนทุกคน
กินอาหารให้หมด ในโรงอาหาร แต่พวกครู ต่างทำเป็น มองไม่เห็น ยิ่งกว่านั้น
คุณครูอาลีเซีย ยังคอยเตือนว่า
"ต้องห่ออาหาร
ด้วยกระดาษฟอยล์นะจ๊ะ จะเก็บอาหารได้ดีกว่า"
นักเรียนหญิงทุกคนล้วนชื่นชมคุณครูอาลีเซียด้วยกันทั้งนั้นส่วนนักเรียนชาย
วัยรุ่นบางคน ถึงกับตกหลุมรักคุณครู ซึ่งเป็นสาวน้อยวัย ๒๓ ที่ดูอ่อนกว่าวัย
เมื่อดูไกลๆมักจะถูกเข้าใจผิดว่า เป็นเด็กนักเรียนหญิง คนหนึ่ง คุณครูสวยมาก
จนมีอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัย จากซาลามังก้า มาเยี่ยมเธอเสมอ อาจารย์พวกนี้
ตกหลุมรักคุณครูด้วยเช่นกัน
คุณครูอาลีเซียเป็นคนใจดี
น่ารักมากกับเด็กๆ ทุกคนเว้นแต่กับโบนี่ซึ่งคุณครูมักจะถามว่า
"นี่ เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร
พวกเรามาเสียเวลา เปล่าๆ ปลี้ๆ ที่นี่น่ะหรือ ถ้าไม่อยากเรียนหนังสือ
ก็กลับบ้านไป"
บางครั้งอยู่ดีๆ โบนี่ก็ถูกลงโทษ
"คุณครูหาเรื่องผม"
วันหนึ่งโบนี่พูดด้วยความโมโห "คนอื่นรู้น้อยกว่าผม แต่คุณครูก็ไม่เห็นตีเลย"
"เพราะเธอน่าจะรู้มากกว่านี้
เธอไม่ใช่คนโง่ แม้แต่นิดเดียว" คุณครูตอบ
"ผมอาจจะไม่ใช่คนโง่
สำหรับที่บ้านนอก" โบนี่แย้งเยาะๆ "แต่ที่มาดริดแล้วล่ะก็
เป็นคนโง่ที่สุด ในหมู่คนโง่ เลยเชียวหละ"
ถึงตอนนี้ คุณครูอาลีเซียหัวเราะ
แต่ไม่ยอมยกเลิกการลงโทษ
อ่านต่อฉบับหน้า
(หนังสือ
ดอกหญ้า อันดับที่ ๙๕ หน้า ๙๘ ๑๐๔)
|