อยู่กรุงเทพฯมานานกว่า ๒๕ ปี ใช้บริการรถเมล์มากเส้นทาง
จนนับไม่ถ้วน สิ่งที่พบเห็น เป็นประจำคือ คนขับรถเมล์ ที่หน้าตาบูดบึ้ง
(หน้าตาย และ บางราย ถึงขั้นเหี้ยม)
อารมณ์ร้อน และขับรถ เหมือนท้าทายมัจจุราช โดยไม่สนใจ ถึงความปลอดภัย
ของผู้โดยสาร ฯลฯ พร้อมกระเป๋ารถเมล์ (ส่วนใหญ่)
ที่มักปากร้าย เสียงดัง ที่พร้อมจะด่าทอ ผู้โดยสารทุกคน ที่ทำตัวไม่ถูกใจเธอ
ฉันเองเคยโกรธ เคยโมโห เคยหงุดหงิดบ่อยๆ กับความหยาบคาย
สารพัดรูปแบบ บนรถเมล์ ซึ่งเป็นที่รวม ของผู้คน จากทุกสารทิศ ร้อยพ่อพันแม่
ต่างภูมิหลัง การศึกษา และการเลี้ยงดู ต่อเมื่อได้มาปฏิบัติธรรม
จึงเข้าใจความจริง ตามความเป็นจริง โถ! ก็นิ้วมือ ของตัวเองแท้ๆ
ยังไม่เท่ากันเลย แล้วจะไปจริงจัง กับละครบนรถเมล์ทำไม ให้เสียอารมณ์
เพราะหากจะหงุดหงิด ก็คงได้โกรธ จนถึงขั้นบ้าแน่ๆ กับตัวแสดง หลากหลาย
ที่ต้องพบเจอ ทุกเมื่อเชื่อวัน
เมื่อมีธรรมะและมีสติอยู่เสมอ ฉันจึงถือเอา "รถเมล์"
เป็นแบบฝึกหัด ในการลดกิเลส มานะศักดิ์ศรี หัดปลงวาง และอโหสิ
ให้อภัยเรื่อยมา
วันนี้นั่งรถเมล์สาย ๑๕๖ จากบ้าน เพื่อไปต่อรถที่หน้าห้างบางกะปิ
เผอิญมีที่นั่งใกล้ๆ คนขับว่าง จึงไปนั่ง ฉันสังเกตว่า คนขับรถ
มีบุคลิกค่อนข้างสุภาพ และเคารพกฎจราจร ส่วนกระเป๋าคู่ใจ ก็หน้าตาน่าเอ็นดูเช่นกัน
เธอทักทาย ผู้โดยสารทุกคน อย่างจริงใจ ดูเป็นธรรมชาติ เพราะถึงแม้
จะเป็นระเบียบ ปฏิบัติการใหม่ของ ขสมก. ที่จะยกระดับ การบริการประชาชน
แต่กระเป๋ารถ ส่วนใหญ่ ก็พูดว่า "สวัสดี" เหมือนนกแก้ว
นกขุนทอง แข็งทื่อ ไร้วิญญาณ ฟังแล้วไม่รู้สึกอะไร แถมหน้าตา บอกบุญไม่รับเหมือนเดิม
สักพักฉันได้ยินเสียงคุณยาย คนหนึ่งเอะอะโวยวาย
ต่อว่าต่อขานกระเป๋ารถ ด้วยเสียง ที่ฟังชัด ไปทั้งคันรถ ที่เร่งให้แก
ขึ้นรถไวๆ ทั้งที่แกเป็นคนแก่ และอะไรต่อมิอะไร อีกยืดยาวเป็นลูกโซ่
มิใยที่น้องกระเป๋าคนสวย 'พะเยาว์ สันเพชร' จะชี้แจง อย่างสุภาพ
อย่างไร แกก็ไม่ฟัง 'ลูกพี่' คนขับรถที่เห็นเหตุการณ์ ทางกระจก
ก็ส่งเสียงเรียก "น้องพะเยาว์ มานี่ๆๆ" อยู่หลายครั้ง
ด้วยท่าทางใจเย็น และใบหน้า ที่ระบาย ไปด้วยรอยยิ้ม ต่างกับส่วนมาก
ที่เคยเห็น ที่คนขับรถ ทำตัวเป็นนักเลง ร่วมขบวนการ รุมด่าผู้โดยสาร
ที่มีปากเสียง กับกระเป๋า
จนเมื่อเธอเห็นว่า คงพูดกับหญิงชราปากกล้า ไม่รู้เรื่องแล้ว
จึงเดินไปหาคนขับ (ที่สูงวัยกว่า) โดยไม่ได้แสดง
ท่าทางช่างฟ้อง เหมือนที่ฉันเคยเจอ แล้วลูกพี่ ก็ส่งสัญญาณ ภาษามือว่า
อย่าไปถือแกเลย แกคงประสาทไม่ค่อยดี พร้อมกับ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า
คุณยายคนนี้ ใช้บริการรถเมล์สาย ๑๕๖ บ่อยๆ แล้วก็จะเกิด เหตุการณ์
ทำนองนี้บ่อยๆ ขณะเดียวกัน ก็ให้สติ 'ลูกน้อง' (ที่อาจจะเป็น
พนักงานใหม่ หรือ เพิ่งมาทำงานสายนี้)
ด้วยท่าทางสบายๆว่า คนบนรถเมล์ มีหลายแบบ หลายประเภท มีอะไร
กระทบกระทั่ง ก็อย่าไปถือสาเลย ให้อภัยเสีย ก็หมดเรื่อง จะได้สบายใจ
'พะเยาว์' มีทีท่าเชื่อฟัง แล้วเล่าให้ลูกพี่ฟังว่า
เธอไม่ได้ผิด อย่างที่คุณยายกล่าวหา เธอว่า พอคุณยายขึ้นรถ เธอก็เอามือ
ไปกันข้างหลังคุณยาย กันพลัดตก ขณะที่รถ กำลังเคลื่อนตัว แต่คุณยายหาว่า
แกยังไม่ทันจะขึ้นรถ กระเป๋าก็เร่งให้ขึ้นไวๆ อย่างนี้ แกก็อันตรายสิ
!
คุณยายไม่หยุดแค่นั้น ยังลุกจากที่นั่งของตัวเอง
ที่อยู่ใกล้ทางขึ้นลง มาหาคนขับ แล้วชี้แจงยืดยาว จนฉันผู้เห็นเหตุการณ์
ชักจะเห็นด้วยแล้วว่า แกคงเป็นคนแก่ ประเภทย้ำคิดย้ำทำ ไม่ปกติแน่นอน
และเพื่อยุติเรื่องราว ให้จบไวๆ คนขับรถ ทำในสิ่งที่ ฉันไม่เคยพบเห็น
และประทับใจมาก คือยกมือไหว้หญิงชรา อย่างนอบน้อม พร้อมกล่าว คำว่า
"ขอโทษ ด้วยครับคุณป้า" นั่นแหละ แกจึงกลับไปนั่งที่เดิม
ส่วนพะเยาว์กระเป๋ารถที่น่ารัก (ซึ่งคงยังมีประสบการณ์ชีวิตน้อย)
เธอมีสีหน้า ที่เศร้าสร้อย เสียใจกับเรื่อง ที่ไม่น่าเป็นเรื่อง
เหมือนทำคุณบูชาโทษ และเธอคิดว่า เธอทำดีที่สุดแล้ว หน้าเธอแดงก่ำ
เหมือนสะกดกลั้น อารมณ์อย่างเต็มที่ และ ขณะที่ฉัน กำลังจะลง จากรถเมล์
ก็ทันได้เห็น เธอร้องไห้ อย่างอดใจไว้ไม่ได้ ฉันเข้าใจ ความรู้สึกของเธอดี
ว่าคงอ่อนไหว และคงไม่เคยชิน กับความหยาบคาย ที่ได้รับ ช่วงเวลานั้น
ฉันจึงเอื้อมมือ ไปโอบไหล่เธอ และปลอบว่า "อย่าคิดอะไร มากเลยนะจ๊ะ
คนแก่ ก็เป็นแบบนี้แหละ" เธอพยักหน้า ยิ้มรับ ทั้งน้ำตานองหน้า
ลงจากรถเมล์แล้ว ก็ได้แต่คิดต่อว่า ถ้าเมืองไทย
มีพนักงานขับรถ ที่มีธรรมะ อย่างนี้เยอะๆ คงวิเศษมาก แต่คงเป็นไปได้ยาก
เพราะฉันเอง ใช้บริการ มาตั้งแต่ สาวมาก จนสาวน้อยลงทุกวัน ก็เพิ่งจะเจอ
'น้ำดี' แบบนี้เป็นครั้งแรก
สำหรับพะเยาว์ นี่คงเป็นครั้งแรก กับบทเรียนมาก
ให้อภัย ที่ลูกพี่ให้ข้อคิด ซึ่งหากเธอยังคงทำงาน อาชีพนี้ต่อไป
และนำเอาคำสอน ของลูกพี่มาใช้เสมอๆ เธอก็จะมีความสุข ในชีวิตมากขึ้น
ในวันข้างหน้า.