ผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้น ผิวค่อนข้างคล้ำ ซูบผอม มือหิ้วถุงพลาสติก เดินขึ้นบันได ที่ว่าการอำเภอ แล้วนั่งลง บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ที่อยู่ห่าง โต๊ะเจ้าหน้าที่เล็กน้อย พอเธอเริ่มพูดกับคนที่นั่งใกล้ ซึ่งคงเป็นเพื่อน หรือคนคุ้นเคย เห็นได้ชัดว่า ฟันหน้าของเธอ หายไปสองสามซี่ ขณะสนทนา เธอวางถุงใส่ของไว้บนตัก ฉันอดลอบมองเธอบ่อยครั้งไม่ได้ อ๋อ! แน่นอน ฉันรู้จัก และจำเธอได้ดี ครูนิภา เคยเป็นครู ประจำชั้นประถม ปีที่สี่ของฉัน แต่ฉันจะไม่ไหว้ หรือทักทายเธอหรอก ฉันจำได้แม่นยำว่า ตลอดปีที่เรียน อยู่กับครูคนนี้ ฉันถูกตีบ่อยที่สุด ในบรรดาเพื่อนร่วมชั้น "สาลี่ มาโรงเรียนสายอีกแล้ว มานี่" เสียงเรียกดุดัน "แบมือ" แล้วครูก็ใช้บันทัดไม้ ซ้อนกันสองอัน ตีมือของฉัน ข้างละห้าที จนปรากฏ รอยสีแดง เต็มฝ่ามือทั้งสอง เจ็บจนชา เมื่อกว่าสี่สิบปีที่แล้ว นักเรียนใช้ไม้บันทัด ที่ทำด้วยไม้ (ไม้บันทัดพลาสติก มีใช้กันภายหลัง) นอกจากใช้ตีเส้น ในสมุดแล้ว ยังใช้เป็นไม้เรียวได้อีกด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่ฉันถูกทำโทษ รุนแรงกว่านั้น โดยครูคนเดิม สาเหตุเพราะ ไปเที่ยวบ้านเพื่อน ตอนพักกลางวัน แล้วกลับเข้า ห้องเรียนไม่ทัน วันนั้น เป็นวันสอบ ปลายภาคเสียด้วย ฉันถูกตีที่น่อง ด้วยไม้ตัวที ซึ่งครูใช้ตีเส้น บนกระดานดำ มีริ้วรอย ความเจ็บ ประทับอยู่หลายวัน เพื่อนคนที่ชวนไป ก็โดนด้วย แต่ฉันรู้สึกว่า ครูตีฉันหนักกว่า ทุกเช้า ฉันไปถึงโรงเรียน ไม่ทันเข้าแถวเคารพธงชาติ และถึงห้องเรียน เมื่อเพื่อนเริ่มเรียนกันไปแล้ว พอวางกระเป๋าหนังสือ บนเก้าอี้ หลังโต๊ะตัวเดิม ฉันก็เดินเซื่องๆ ออกไปหาครู แบมือซ้ายและขวา ยื่นไปข้างหน้า คุณครูก็จะกระหน่ำ ลงมาบนมือ จนกลายเป็น กิจวัตรประจำวัน ระหว่างฉัน กับครูนิภา ในวัยสิบขวบ ฉันไม่คิดอะไรมาก ถูกตีประเดี๋ยวเดียว ก็หายเจ็บ เรียน และเล่นไปตามปกติ แต่ละวัน ครูสอนคนเดียวทุกวิชา ให้คิดเลข อ่านหนังสือ คัดลายมือ ท่องจำ ถ้าเป็นวิชาภูมิศาสตร์ และประวัติศาสตร์ ครูใช้ชอล์ค เขียนบนกระดานดำ ให้เด็กจด ลงในสมุด พวกเราต้องเขียนอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทัน ก่อนที่ครูจะลบออก ด้วยแปรงแล้ว เขียนข้อความต่อ เมื่อถึงเวลา ครูเรียกตรวจสมุด ใครที่จดไม่ทัน จะถูกทำโทษ ฉันเป็นเด็กที่ อ่านหนังสือได้เร็ว และจับใจความได้ดี แต่เรียนไม่เก่ง เวลาจดวิชาตามครู ฉันอ่านข้อความ ยาวๆไว้ในใจ แล้วเขียนได้ทันทุกตัวอักษร เพื่อนสนิทคนหนึ่ง นั่งใกล้กับฉัน ชื่อประณีต เรียนค่อนข้างอ่อน อ่านหนังสือ ไม่ค่อยออก เขียนหนังสือช้า จึงจดงานไม่ทัน ฉันมักจะช่วยประณีตเสมอ โดยกางสมุด ทั้งของตัวเอง และของเพื่อน จดไปพร้อมกัน ทั้งสองเล่ม ทีละวรรค สิ่งตอบแทนที่ได้ คือประณีตแบ่งเงินค่าขนม ให้ฉันบ่อยๆ เพราะเธอ มีเงินมาโรงเรียน มากกว่าฉันมาก มื้อกลางวัน ก็มีแม่บ้าน หิ้วปิ่นโตอาหาร มาส่งถึงห้องเรียน เป็นประจำ เสื้อผ้า ชุดนักเรียนสะอาด รีดเรียบ มาถึงโรงเรียนแต่เช้า ซึ่งตรงกันข้าม กับฉันทุกอย่าง แต่เราสองคน ก็เป็นเพื่อนรักกัน ขณะระลึกถึงอดีต ฉันก็เฝ้าเหลือบมองไปทางครู มีอยู่สักครั้ง หรือสองครั้ง ที่สายตาครูส่งมาทางฉัน แต่ก็มองผ่านเลยไป ฮึ! คงจำฉันไม่ได้หรอก ถึงไม่ไหว้ก็ไม่เห็นเป็นไร ฉันคิดเข้า ข้างตัวเอง ครูส่วนใหญ่ มักจำได้เฉพาะ นักเรียนที่เรียนเก่ง เรียบร้อย มาจากครอบครัวดี ฐานะร่ำรวย ตอนนั้น ฉันซึ่งเป็นเพียงลูกแม่ค้าขายขนม มีน้องชายสองคน กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.๒ และ ป.๑ กับน้องสาวคนเล็กอายุ ๔ ขวบ ยังไม่เข้าโรงเรียน ความคิดกลับไปถึง เหตุการณ์ในวันหนึ่ง ที่พ่อรับจ้าง ขับรถบรรทุกสินค้า ไปยังกรุงเทพฯ มีคนรู้จักกัน ขอโดยสารไปด้วย ระหว่างทาง จะเป็นเพราะ พ่อหลับใน ด้วยความอ่อนเพลีย จากงานหนัก หรือถนนไม่ดีไม่รู้ แต่ แต่ที่แน่ๆ พ่อไม่ได้เสพยาบ้า หรือเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ก็ตอนนั้นยังไม่มี แล้วพ่อไม่ดื่มเหล้า และสูบบุหรี่ รถที่พ่อกำลังขับพลิกคว่ำ ทับผู้โดยสารคนนั้นตายคาที่ พ่อเข้ามอบตัวที่ ราชบุรี ศาลสั่งจำคุกสามปี โทษฐานทำให้ผู้อื่น เสียชีวิตโดยประมาท แต่พ่อไม่เคย ต้องคดีใดมาก่อน และในวันที่ศาลพิจารณา พิพากษาคดี แม่พาพวกเรา สี่คนพี่น้องไปด้วย ผู้พิพากษา คงเห็นใจ ว่ามีลูกเล็กๆ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง พ่อถูกจำคุกหนึ่งปีหกเดือน แม่ลำบากมาก อาชีพ แม่ค้าขายขนมหาบเร่ ต้องเลี้ยงตัวเอง และลูกตามลำพัง ทั้งค่าใช้จ่าย การกิน การเรียน รวมถึงค่าเช่าบ้าน ด้วยรายได้เพียงน้อยนิด เนื่องจาก ฉันเป็นลูกคนแรก ต้องทำงานทุกอย่าง ตั้งแต่หุงข้าว ทำกับข้าวง่ายๆ ซักผ้า รีดผ้า ถูบ้าน ล้างจาน หาบน้ำ จากคลอง ที่อยู่ห่างบ้าน ไปครึ่งกิโลเมตร มาใช้ในบ้านเช่า หลังคามุงจากหลังเล็ก เราอาศัยน้ำจากคลอง และน้ำฝน เพราะยังไม่มีน้ำประปาใช้ ความจริงฉันไม่ ใช่เด็กขยันหรอก อยากเล่นสนุก เหมือนเด็กทั่วไป แต่ความยากจนบังคับ แม่ตื่นแต่เช้า ทำขนมกรวย ข้าวเกรียบอ่อน ถั่วแปบ ขนมต้ม และ อื่นๆที่เป็นขนม ทำจากแป้งน้ำตาล และมะพร้าว ฉันมีหน้าที่โม่แป้ง (สมัยนั้นยังไม่มีแป้งสำเร็จขาย) กับขูดมะพร้าว เตรียมไว้ให้แม่ พอสวมชุดนักเรียนแล้ว ต้องเอาขนม ที่แม่ทำเสร็จ ไปส่งให้แม่ค้า ที่รับซื้อไปชายอีกต่อหนึ่ง สามถึงสี่ราย บางวันต้องเดินไปกลับ ระหว่างบ้าน ถึงตลาดถึงสี่เที่ยว ก็นั่นแหละคือ สาเหตุที่ฉันต้องไปโรงเรียนสาย แต่ครูไม่เคยถามว่า ทำไมฉันถึงมาโรงเรียนไม่ทัน เสียทุกวันไป หรือเคยถาม แต่ฉันไม่สามารถอธิบาย ให้ครูเข้าใจได้ก็ไม่รู้ เรื่องมันนานมากแล้ว แต่ที่จำติดใจ คือ ครูคนนี้ ตีฉันเจ็บทุกวัน และ ฉันอยากจะคิดว่า ฉันเกลียดครู ครั้นแล้ว ฉันก็ต้องตกใจกับ ความคิดของตัวเอง เอ! ถ้านักเรียนของฉัน คิดกับฉัน อย่างนี้บ้างล่ะ ก็ตอนนี้ ฉันเป็นครูคนหนึ่ง และยังเป็นครูประจำชั้นอีกด้วย ฉันเหลียวกลับไปอีกครั้งหนึ่ง มองครูนิภาเต็มตา ดูเหมือนครูแก่ลงไปมาก มีริ้วรอยที่หน้าผาก และ ปลายหางตา ร่างกายผอมบาง เหมือนคนไม่มีแรง เวลายิ้มเห็นฟันหลอ จิตใจฉันอ่อนโยนลง ขณะที่ก้าวเข้าไปหา ยกมือพนมไหว้ นอบน้อม ดุจเดียวกับที่เคยกระทำ เมื่อครั้ง ยังเป็นเด็กนักเรียน ตัวเล็กของครู "สาลี่ สบายดีหรือ ทำงานอะไร อยู่ที่ไหน" ฉันตอบครู พลางคิดว่า ครูยังจำนักเรียนที่ถูกตีบ่อยครั้ง เรียนไม่เก่ง แต่งตัวมอมแมม และห่วงเล่น มากกว่าเรียนได้อย่างไร ฉันรู้สึกว่า ตัวเองยิ้ม ด้วยความปลื้มใจ และพอใจ ที่สามารถ ทำลายทิฐิ ในใจลงได้ มิใช่ครูคนนี้หรอกหรือ ที่ทำให้ฉัน อ่านหนังสือได้คล่อง เขียนได้เร็ว จนเมื่อจดคำบรรยาย วิชาต่างๆ ตอนเรียน ในมหาวิทยาลัย เพื่อนหลายคน ที่ตามไม่ทัน ยังขอยืมไปลอกเลย ฉันได้เงินซื้อขนมกิน ตอนกลางวัน จากประณีต ในครั้งกระโน้น อีกด้วย "อรรถพร มาสายตั้งครึ่งชั่วโมง มานี่ซิ" ฉันทำตาเขียว ใส่เด็กชายตัวเล็ก ที่ก้าวเข้ามาหา อย่างขลาดกลัว "บอกครูซิ ทำไมมาช้านัก" ฉันจ้องหน้าเด็ก พร้อมกล่าวสำทับ "พ่อพาแม่ไปคลอดน้องที่โรงพยาบาล เลยมาส่งช้าครับ" เสียงตอบแผ่วเบา "เหรอ...เอ้า! ไปนั่งที่ หยิบหนังสือ กับสมุดเลขขึ้นมา ดูบนกระดานดำ ฟังครูอธิบาย" สำหรับชีวิตการเป็นครูของฉัน หากจะต้องทำโทษใคร ด้วยวิธีใด ฉันควรจะได้รับรู้ ที่มาของการทำผิดเสียก่อน ทำไมนะรึ เพราะฉันไม่อยากให้เรื่อง มันซ้ำรอยเดิมน่ะซี |