เกือบค่อนชีวิต
ที่จมปลักอยู่กับอบายมุข ทั้งเหล้า บุหรี่ ทำร้ายทำลายตัวเอง และครอบครัว
ด้วยความไม่รู้ แต่ยังโชคดีก่อนจะสายเกินไป
กำจัด หมีน้ำเงิน
อดีตหัวหน้าศูนย์ฝึกอบรม
กทม.
ค่านิยมสังคมไทย
แบบอย่างของผู้ใหญ่ เป็นมหันตภัยสำหรับเด็ก และเป็นคำตอบ ที่ผู้คนในสังคม
ต่างนึกไม่ถึง นั่นคือ ทุกคนมีส่วนร่วมก่อขึ้น ความเลวร้ายนี้ จึงแผ่ขยาย
กว้างออกไป จนวันนี้สายเกินแก้
ผมเริ่มหัดสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุ
๕-๖ ขวบ ทั้งปู่ พ่อ อา ก็สูบกันทั้งนั้น พอโตขึ้นมาหน่อย ตอนเรียนอยู่มัธยม
มีครูสอนคณิตศาสตร์ ท่านเป็นเชื้อพระวงศ เวลาเข้าห้องสอน มือหนึ่งจะถือกระป๋องบุหรี่
อีกมือหนึ่ง คีบบุหรี่ เห็นแล้วชื่นชมว่าเก๋มาก ผมจำภาพนั้นติดตา ด้วยความประทับใจ
ตั้งใจไว้ว่า เมื่อเราเป็นครู ก็จะวางมาดแบบนี้บ้าง
ผมสูบบุหรี่จัดมาก วันหนึ่งๆ สูบเกือบ
๓ ซอง สูบจนนิ้วและเล็บเหลือง โดยเฉพาะ นิ้วชี้กับนิ้วกลาง ซึ่งเป็นนิ้วที่ใช้
คีบบุหรี่ เวลาลอกออก จะเป็นแผ่นสีเหลืองๆ
ตอนอายุ ๓ ขวบ เริ่มรู้ประสาบ้าง
เห็นพ่อ มักจะพาเพื่อนๆ มาดื่มเหล้า สนุกสนานเฮฮา แม่ก็ทำกับแกล้ม
ให้กินกันอร่อย แต่ละคนดูดีๆ ทั้งนั้น ผมอยากลองบ้าง แต่กลัวถูกตี
จึงแอบเอาขวดยานัตถุ์ ของพวกป้าๆ มาล้าง แล้วขโมยเอาเหล้า กรอกใส่แทน
ปิดจุกแอบใส่ไว้ใน ไหเกลือ แม่จับได้ก็โดนตี หวังให้ผมเข็ดหลาบ แต่แม่ไม่ได้บอก
ว่าเหล้าไม่ดีอย่างไร เราจึงไม่รู้โทษภัยของมัน แต่ภาพที่เห็นมาตลอด
ก็คือภาพพ่อดื่มเหล้า และไม่เคยเห็นใคร ตำหนิ มีแต่พูดชมเชยกัน ผมจึงคิดว่า
นี่เป็นเรื่องดี แอบทำตามมาเรื่อยๆ และในช่วงที่ผมอายุ ๕-๖ ขวบ พวกอาๆ
เขาทำ น้ำกระแช่น้ำตาล มะพร้าว เอาน้ำตาลสดมาทำ เราเป็นเด็กคนเดียวในบ้าน
เขาก็เรียกให้มาลอง พอเหล้าออกฤทธิ์ ก็เมาหัวทิ่ม พวกผู้ใหญ่ก็หัวเราะขำกัน
เรารู้สึกปลื้มว่าเป็นตัวตลก ทำให้พวกผู้ใหญ่ครื้นเครงกัน
ผมดื่มเหล้าจัดมาก ไม่เมาไม่เลิก
เมาแล้ว ไม่ธรรมดา ขนาดหาทางกลับบ้านไม่ถูก บางที ไม่กลับเลย เมื่อเมาได้ที่
ก็จะอาละวาด หาเรื่องคนนั้นคนนี้ จนได้เรื่อง
ครูขี้เมา
คือความล้มเหลวของการศึกษา เพราะมุ่งเน้นเนื้อหาด้านวิชาการ
เมินเฉยต่อการปลูกฝัง จริยธรรม ศีลธรรม สำนึกของครูจึงแผ่วจาง เกินกว่าจะรักษาศักดิ์ศรีไว้ได้
มารับราชการครู มีเงินทองใช้จ่ายมากขึ้น
ก็ยิ่งไปกันใหญ่ เงินหมดก็ยืมเขากิน วันไหนเมามาก กลับไม่ถึงบ้าน ก็นอนข้าง
กองขยะริมถนน ทั้งที่แต่งตัวดี ผูกเน็คไทหรู รุ่งเช้ามีคนรู้จัก พบเห็นเข้า
ก็ไปบอกกับภรรยาผม เขาก็บ่นว่า ผมต่างๆ นานา จนผมอาย แต่พอความอยากกลับมา
ผมก็ไปเมาอีกเหมือนเดิม บางครั้งรู้ตัว มีความคิดแว่บขึ้นมาว่า เราน่าจะหยุด
พฤติกรรมแบบนี้ แต่มันก็หยุดไม่ได้ เลิกไม่ได้ อาจเป็นเพราะ ความสนุกสนาน
และได้รับ การสนับสนุน ส่งเสริมจากเพื่อนๆ คอเหล้าด้วยกัน ในวงเหล้า
จะมีแต่เรื่อง พูดคุยตลกโปกฮา ลับฝีปากกัน ทำให้เกิด ความเพลิดเพลินใจ
ซึ่งมีฤทธิ์แรงมาก กลบจิตสำนึก ที่ดีงามให้หายไปจนหมดสิ้น บางวันเช้า
ยังไม่สร่างเมา ก็ไปสอนหนังสือ ทั้งๆ ที่ยังเมาอยู่นั่นแหละ บางทีสอนไม่ไหว
ก็เข้าไปนั่งในห้องเรียนเฉยๆ ปล่อยให้เด็ก
อ่านหนังสือกันเอง หรือไม่ก็นั่งฟุบหลับในห้องเรียนให้เด็กดู ตกเย็นต้องสอนพิเศษเด็ก
ตอน ๖ โมง ผมก็ไปนั่ง กินเหล้า ตั้งแต่โรงเรียนเลิก ๔ โมงเย็น จน ๖
โมง ค่อยเดินเซไปสอนเด็ก
ความไม่รู้
(อวิชชา) คือต้นเหตุแห่ง ความพินาศของชีวิตที่ต้องขจัดให้หมดไป ย่ากับแม่และญาติอีกหลายคนพยายามเตือน
แต่ผมก็ไม่ฟัง ทำให้คนรอบข้างเป็นทุกข์ ผมก็ไม่รู้สึกอะไร เหมือนเป็น
เรื่องธรรมดา ในครอบครัวที่ใครๆ ก็ต้องเจอ ตอนนั้นไม่รับรู้เรื่องครอบครัว
ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่รับรู้ ความทุกข์ยาก ของพวกเขา สนุกสนานอยู่นอกบ้านตลอดเวลา
ผมมีครูคนหนึ่ง ที่เคยสอนอยู่ชั้นประถมชื่อ
ครูพัด เป็นครูที่ไม่ดื่มเหล้าไม่สูบบุหรี่
เมื่อพบเห็นผมเมา ที่ตลาด อุตส่าห์พาผมกลับมาส่งบ้าน ท่านไม่ตำหนิอะไรผมสักคำ
บอกแต่ให้นอนพักผ่อน หลังจากนั้น เมื่อได้พบกันอีก
ท่านพูดเตือนสติสั้นๆ ว่า "กำจัดวันหลังดื่มให้มันน้อยลงหน่อยซิ"
ตอนนั้น ผมรู้สึกละอายใจ ทุกวันนี้ ก็ยังนึกถึง บุญคุณท่านอยู่
ได้รับรู้โทษภัยต่างๆ ของบุหรี่
เช่น ก่อให้เกิดโรคมะเร็งในปอด เหล้าก็ทำให้ตับแข็ง และมีสิ่งหนึ่ง
ที่ผมไม่รู้มาก่อนเลย ในตอนนั้นว่า พิษภัยจากการสูบบุหรี่ ของผมนั้น
เป็นสาเหตุให้ แม่บ้านซึ่งหายใจ เอาควันบุหรี่เข้าไปทุกวัน เกิดมีอาการไอมาก
ไอทุกวัน จนผมคิดว่า เขาจะเป็นวัณโรค แนะให้เขาไปตรวจปอด เขาก็ไม่ไป
แถมบอกว่าตายก็ตาย ซึ่งเขาก็คงจะโกรธผมอยู่มากตอนนั้น เพราะผมไม่ได้ดูแล
เอาใจใส่ครอบครัวเลย เมื่อผมเลิกสูบบุหรี่ เขาก็หายไอ จนถึงเดี๋ยวนี้
เมื่อระลึกย้อนหลัง รู้สึกว่า ได้ทำบาปกับครอบครัวไว้เยอะ
(คุณดาราเสริมว่า...)
ทุกวันดิฉันต้องคอยสามี ซึ่งจะเมาแประกลับมาตอนตี ๑-๒ แทบทุกวัน บางวันไม่กลับบ้าน
คิดว่าไปนอน บ้านเพื่อน แต่ที่ไหนได้ ตอนเช้าขณะเดินทางไปทำงาน ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า
เห็นเขานอนอยู่ข้างกองขยะ รู้สึกอับอายมาก คิดว่าทำไมเขา ไม่รักศักดิ์ศรี
ของการเป็นครูบาอาจารย์เลย เขาจะเอาส่วนดีที่ไหน ไปสอนนักเรียนและลูกๆ
เงินทอง ก็ไม่เคยให้ใช้ แถมยังมาขอจากเราอีก ซึ่งทำให้ลำบากใจมาก ไหนจะต้องรับผิดชอบลูก
๕ คน ที่กำลังเรียนอยู่ จะใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ต้องคิดตลอดเวลา ว่าหมดแล้วจะหาเงินจากที่ไหนมาจุนเจือครอบครัว
เพราะเงิน แต่ละเดือน ไม่พอใช้อยู่แล้ว ช่วงนั้นทุกข์มาก จนนอนไม่หลับ
ต้องกินยานอนหลับทุกคืน ไม่เช่นนั้น ตื่นเช้าจะไม่มีแรง ไปทำงาน จนหมอทักว่า
ระวังจะติดยานอนหลับ ใจจริงก็อยากเล่าความทุกข์ ให้หมอฟังแต่ไม่กล้า
เพราะเป็นเรื่อง ส่วนตัว ภายในครอบครัว ต้องทนเก็บไว้ จนร่างกายผ่ายผอม
ใครเห็นใครทัก
ความหลงผิดแม้เป็นด้านมืดของชีวิต
แต่ก็ยังมีอีกด้านที่สว่างไสว
ผมรักเด็ก ต้องการสอนเด็กให้มีความรู้
และมีความประพฤติดี ผมติดนิสัยมาตั้งแต่ สมัยเป็นครูโรงเรียนราษฎร์
ที่สอนเต็มเวลา เมื่อมาเป็นครูโรงเรียน กทม. ผมก็ยังทำเหมือนเดิม ให้เวลานักเรียนเต็มที่ตามตารางสอน
แม้จะถูก เพื่อนครูมองว่า ทำงานมากเกินไป หรือทำเกินหน้าที่เพราะไม่มีใครทำแบบนี้ก็ตาม
เมื่อผมสอนให้เด็ก คัดตัวหนังสือสวยๆ ฝึกให้เด็กมีระเบียบวินัย ก็ถูกกระแหนะกระแหนอีกว่า
เดี๋ยวนี้เขาไปถึง ดาวอังคารแล้ว มัวแต่สอนเด็ก คัดลายมือ มันจะช้าไม่ทันการ
ในการสอน ผมจะไม่เน้นด้านวิชาการมาก แต่เน้นความประพฤติ มากกว่า สอนให้เด็ก
มีความกตัญูต่อพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ก็ถูกขัดขวางอีก เพราะกลัวเด็ก
จะสอบแข่งขัน สู้โรงเรียนอื่นไม่ได้
ผมเองมีความคิดสร้างสรร อยากจะพัฒนาทั้งนักเรียนและโรงเรียนให้ดีขึ้น
พยายามทำทุกอย่าง เช่น อบรมนักเรียน ตอนเช้า ทุกวันหน้าเสาธง ซึ่งครูอื่นเขาไม่เอาภาระกัน
ผมก็รับอาสาทำให้ ผมพยายามผลักดัน ให้สอนวิชาศีลธรรม จริยธรรม โดยนิมนต์พระที่วัดมาสอน
ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนดีในตอนแรก แต่พอทำได้สักพัก ก็เหมือนว่า โครงการนี้
ทำให้เกิดความยุ่งยาก น่าเบื่อหน่ายแก่ผู้บริหาร จนต้องเลิกโครงการไปในที่สุด
เรื่องเหล่านี้ ทำให้ผมท้อใจ อยู่เหมือนกัน แต่ก็คิดว่าอาจเป็นเพราะ
เราคิดก้าวไกล จนคนอื่นเขาตามไม่ทัน
โอกาสทองของชีวิตใช่ว่าจะพานพบได้ง่าย
ต่อมาผมมีโอกาสไปอบรมการวัดผลที่
มศว. ประสานมิตร และถูกย้ายมาช่วยราชการ ที่สำนักการศึกษา กทม. วันหนึ่งมีเจ้าหน้าที่
กองฝึกอบรมมาถามว่า ที่สำนักการศึกษา มีตำแหน่งว่างไหม ผมก็บอกว่าไม่มี
แต่ถ้าคุณ
ต้องการ ก็ขอเปลี่ยนกับผมได้ เขาก็เลยทำเรื่องเปลี่ยนมาเลย โดยเขามาอยู่
ช่วยการศึกษา ส่วนผมไปอยู่ กองฝึกอบรมแทน ได้ตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ด้านการฝึกอบรม
ทำงานไปได้ระยะหนึ่ง ช่วงนั้น พลตรีจำลอง ศรีเมือง ได้เข้ารับตำแหน่ง
ผู้ว่า กทม. ในปี ๒๕๒๘ ท่านได้เริ่ม พัฒนาคน ด้วยโครงการอบรม ข้าราชการ
และลูกจ้าง กทม. รวมทั้งโครงการ เยาวชน และประชาชนด้วย ผมได้รับแต่งตั้ง
จากปลัด กทม. ให้เป็นหัวหน้าโครงการ อบรม คุณภาพชีวิต โดยมีหน้าที่หางบประมาณ
หาคน หาสถานที่ฝึกอบรม และควบคุมดูแล ผู้เข้ารับการอบรม ทั้งที่คนในกองฝึกอบรม
มีเป็นร้อย แต่เขาเลือกผม ตอนนั้นผมคิดว่า เราคงถูกลงโทษแน่ เพราะมีความประพฤติ
เหลวไหล
เมื่อเข้าไปร่วมงาน เห็นความเอาจริงเอาจัง
ความเคร่งครัด ของท่านพลตรีจำลอง และรู้ว่า ท่านถือศีล ๘ ละอบายมุข
เป้าหมายของท่าน ต้องการอบรม ให้ข้าราชการ และประชาชนทั่วไป มีศีลธรรม
ละเว้นจากอบายมุข สิ่งเสพติด
ต่างๆ มาคิดถึงตัวเอง ยังติดอบายมุขงอมแงม เละเทะอย่างนี้ คงไม่เหมาะแน่
จึงเกิดสำนึกอย่างแรงกล้า ที่จะแก้ไข ตัวเอง
ตอนตัดสินใจเลิก นึกถึงที่พระพยอมท่านเทศน์
เลิกบุหรี่ไม่ยาก อ้าปากมันก็หลุด สำหรับเหล้า ถ้าไม่เอาปาก ไปงาบแก้ว
เหล้าก็ไม่เข้าปาก ขณะนั้น นิ้วผมคีบบุหรี่อยู่ ก็เลยทิ้ง บอกกับเพื่อนว่า
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถ้าเห็นผม สูบบุหรี่ กินเหล้า ไม่ต้องมานับถือ
ไม่ต้องมาคบค้าสมาคมด้วย
ผมต่อสู้กับเหล้า ไม่ยากเลย แต่กับบุหรี่ต้องสู้หนัก
เพราะมีอาการโหยหิว อยากสูบจนน้ำลายสอ ต้องใช้วิธีอดทน อดกลั้น ใช้ใจสู้อย่างเดียว
ผมคิดว่า การผ่อนผันตัวเอง จะทำให้หยุดยาก ถ้าคิดว่า จะเลิกแล้ว ต้องเลิกให้เด็ดขาด
ก่อนหน้านั้น ผมเคยบวชตามประเพณีอยู่
๓ เดือน ระหว่างบวชสามารถหยุดบุหรี่ได้เลย สึกมาแล้วก็หยุดต่อไป ได้อีกถึง
๗ ปีแต่มันเป็นการหยุดสูบ โดยคิดว่า เราทำได้ เราเก่ง โดยไม่ได้รู้สาระแท้จริง
ในการเลิก ในที่สุด ก็เวียนกลับ ไปสูบใหม่
เราไม่อาจแก้ไขสังคมที่ผิดพลาดได้ดังใจ
แต่เราอาจแก้ไข ความผิดพลาด ของเราได้ทันที ลบด้านมืด ของชีวิตได้
ด้วยมือ ของเราเอง
ความสุขที่ได้หลังจากเลิกเหล้าและบุหรี่คือ
ความสุขจากการมีเงินเพิ่มขึ้น จากที่เคยสูญไป กับค่าบุหรี่เดือนละ
๑,๘๐๐ บาท ค่าเหล้า เดือนละ ๗,๐๐๐ บาท เงินจำนวนนี้ ในช่วงที่ผมติดอบายมุข
จะต้องกู้ยืมจากเพื่อน จากสหกรณ์ออมทรัพย์ครู และโกหกภรรยาว่า เอาเงินไปใช้หนี้
เมื่อเลิกอบายมุขได้ ผมเก็บเงินซื้อรถกระบะ ขับรถส่งภรรยา และลูกหลาน
ซื้อแฟลตอีก ๕ ห้องไว้ให้ลูกๆ คนละห้อง และซื้อที่ดิน ๒ ไร่ พร้อมบ้าน
๑ หลัง ผมหันมากิน อาหารมังสวิรัติ ถือศีล ๕ ละอบายมุข เข้าวัดศึกษาธรรมะ
เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณ ให้สูงขึ้น ทำให้มีสุขภาพ ร่างกายแข็งแรง การรับรู้ประสาทสัมผัสดีขึ้น
ทั้งที่ก่อนนั้น มือเริ่มสั่น กำลังเข้าขั้น แอลกอฮอลิซึม มีส่าเหล้า
ออกตามตัว แต่ปัจจุบัน ผมมีเวลาออกกำลังกาย มีเวลาทำงานเพิ่มขึ้น สุขภาพจิตก็ดีขึ้น
อารมณ์เย็นขึ้น มีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น และเสียสละเวลา ให้สังคมมากขึ้น
บทเรียนจากประสบการณ์ชีวิตจริง
ซึ่งครูคนหนึ่งจริงใจจะมอบให้
สิ่งที่เราทำนั้น
ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไรก็ตาม ให้นึกว่าอุปสรรคนั้นมีให้ข้าม ไม่ได้มีไว้ขวาง
เราก็พ้นจากอุปสรรคได้ ขอให้ตัดสินด้วยใจเราว่า ถ้าเรามั่นคงว่าสิ่งที่ทำนั้นดีจริงๆ
ก็ทำเถอะ แต่ระวังสิ่งที่เราคิดว่าดีนั้น ถ้าเป็นการสนอง
ความต้องการ ที่ไม่ถูกต้องของเรา ก็อย่าทำ เช่น ยาเสพติดทั้งหลาย เมื่อเห็นแล้วว่าไม่ดี
ใครๆ ก็ว่าไม่ดี เราต้องชัดเจน ไม่ต้องทดลอง ปฏิเสธทันที ไม่ทำ ไม่เอา
เพราะติดแล้วเลิกยากจริงๆ ถ้าใจไม่ถึงพอ
อีกข้ออยากแนะวิธีเลิก
ไม่ต้องหาอะไรมาเคี้ยวมาอม ไม่ต้องเลิกแบบเหลือไว้มวน สองมวน ตอนผมเลิก
บุหรี่ที่เหลือ ผมขยี้ทิ้งทั้งหมด ต้องตัดสินใจเด็ดขาด ถึงจะหลุดได้
เหมือนมีดคม ตัดอะไรทีเดียว ขาดเลย ถ้ามีดไม่คม ตัดแล้ว ยังมีใยเหลืออยู่
ก็ต้องใช้เวลานาน กว่าจะเลิกได้ สรุปอยู่ที่ใจ ไม่มีอะไร เกินความสามารถ
ของมนุษย์ ผมเลิกมาแล้ว ๑๕ ปี และไม่เคยหวน กลับไปหามันอีกเลย
วันนี้ผมและภรรยาเกษียณแล้ว มาช่วยงานอบรมพัฒนาคุณภาพชีวิต
ที่สถาบัน ฝึกอบรมผู้นำ กาญจนบุรี นำประสบการณ์ชีวิต ที่ผ่านมา บอกเล่าสู่ลูกๆ
หลานๆ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ ให้รู้ถึงสิ่งที่ควรทำ และไม่ควรทำ อันเป็นงานบุญช่วงสุดท้ายของชีวิต
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๔๑ เมษายน ๒๕๔๕)
|