ชีวิตนี้มีปัญหา
๒ สมณะโพธิรักษ์
(ต่อจากฉบับที่ ๑๔๐)
จึงสัมบูรณ์ด้วย "ญาณ"
และ "นิพพาน" หรือสัมบูรณ์ด้วย
"วิชชา" และ
"วิมุติ"
เพราะฉะนั้น "ตัวต้นเหตุแห่งกรรม"
จึงสำคัญมาก ที่ผู้ปฏิบัติในพุทธศาสนา จะต้องศึกษา และพึงปฏิบัติ
จนรู้จนเห็น สภาพจริงให้ได้ แล้วจัดการ "ปรับปรุงกรรมให้เป็นพันธุ์"
ที่ดี เนื่องจาก "กรรม" นี่แหละคือ
"กรรมพันธุ์" หรือ "พันธุกรรม"
ที่แท้ ของทุก "อัตภาพ" (อัตตา) ทุกตัวบุคคล
"ตัวต้นเหตุแห่งกรรม"
นี้คือ "ต้นพันธุ์"
"มรรค อันมีองค์ ๘" จึงเป็นสูตรสุดยอด
สำคัญของพุทธ ที่จะต้อง "ปรับปรุงกรรม" ทุกกรรมให้เป็น "กรรมที่ดีสมบูรณ์"
โดยการหยั่งรู้ เข้าไปถึง "ตัวเหตุ" (สมุทัย)
ที่เป็นตัวการทำให้ "กรรม" ดีหรือเลว แล้วจัดการ "ดับตัวเหตุแห่งกรรม"
ที่มันพาเลวพาชั่ว ให้ได้ครบทุก "เหตุ"
ทั้ง "มโนกรรม" ได้แก่
จัดการ "มิจฉาสังกัปปะ" ให้เป็น "สัมมาสังกัปปะ"
ทั้ง "วจีกรรม" ได้แก่
จัดการ "มิจฉาวาจา" ให้เป็น "สัมมาวาจา"
ทั้ง "กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม"
ได้แก่ จัดการ "มิจฉากัมมันตะ" ให้เป็น "สัมมากัมมันตะ"
และทั้ง "กรรมที่เป็นการงานอาชีพ"
ได้แก่ จัดการ "มิจฉาอาชีวะ" ให้เป็น "สัมมาอาชีวะ"
หากไม่สามารถ "ดับตัวเหตุแห่งกรรม"
ที่มันอกุศล มันเลวร้ายลงได้ "เหตุแห่งกรรม" ตัวร้ายนั้น
ก็จะเป็นเชื้อ เป็นพันธุ์มีอำนาจ ทำให้ก่อเกิดเป็น "พันธุ์ผีนรก"
ที่มีอกุศล เลวร้ายได้ อยู่สืบไป เวียนว่ายในวัฏสงสาร อีกนานเท่านาน
แต่ผู้ใด ถ้าสามารถเรียนรู้ "ตัวเหตุแห่งกรรม" ได้อย่าง
สัมมาทิฏฐิแล้ว ก็ปฏิบัติกำจัดเจ้า "ตัวเหตุแห่งกรรม" นั้นๆ
ให้สิ้นซากลงได้อย่าง "สัมมา" สัมบูรณ์ ผู้นั้นก็จะพัฒนา
"เชื้อพันธุ์" หรือ "ต้นพันธุ์" ในจิตเป็น "อาริยบุคคล"
คนทุกวันนี้ ไม่ถือศีลถือธรรม ทำบาปทำกรรมชั่ว
กันเป็นว่าเล่น เป็นปกติอยู่ทุกวัน แทบจะตลอดเวลาก็ ว่าได้ เพราะไม่เชื่อกรรม
ไม่เชื่อวิบาก โดยเฉพาะ ไม่เชื่อว่า..
"กรรมหรือวิบากนี่แหละ คือทรัพย์แท้ๆ ยิ่งกว่าสิ่งใดๆ
ที่เป็นของตนจริงๆ" (กัมมัสสกตา)
แม้ตายไป ก็ยังติดตัวเราไป มีคุณมีโทษแก่ตัวเรา พาเราเกิดชั่วเกิดดี
ตามที่เราเป็น เรามี เท่าที่เราสะสม จริงที่สุด
เช่น ฆ่าสัตว์ โกงเขาหรือเอาของคนอื่นที่ไม่ใช่ของตน
(คือลักขโมยนั่นเอง) ประพฤติผิดในกาม หรือโกหก แม้แต่ดื่มน้ำเมา เป็นต้น
ซึ่งไม่ว่าใคร "กระทำ" ลงไป "ทำ" ปุ๊บ ก็เป็น
"กรรม" ปั๊บทันที เป็น "ทรัพย์ของตนแท้ๆ" ทันที
สะสมลงเป็น "วิบาก" แท้ๆ ของผู้ทำ มันคือ "ทรัพย์จริงของตน"
ที่จะ "ไม่เอาหรือไม่ยอมรับว่าเป็นของตน" ก็ไม่ได้ ซึ่งจะติดตามตน
ไปตลอด ไม่ว่าจะตาย ไปกี่ชาติๆ เกิดอีกกี่ชาติ ก็เป็น "ทรัพย์ของตน"
ไม่มีตกหล่น ไม่มีสูญหาย ไม่มีรั่วมีซึม มันจะออกฤทธิ์ "ร้ายหรือดี"
ไปตามสัจจะ ทำให้ตนต้องทุกข์ หรือต้องสุข ได้ดีหรือตกยาก ไปจนกว่า
จะปรินิพพาน มันคือ "ทรัพย์แท้ๆ ของแต่ละคน"
จริงๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ และประกาศสัจธรรมชัดๆว่า "กรรมเป็นของของตน
(กัมมัสสโกมหิ) ตนต้องเป็นทายาท ของกรรมของตน (กัมมทายาโท)
กรรมพาเราเกิด เราเป็น (กัมมโยนิ) กรรมเป็นเชื้อ
เป็นเผ่าเป็นพันธุ์ (กัมมพันธุ) กรรมเป็นที่พึ่ง
เท่ากับพระไตรรัตน์ (กัมมปฏิสรโณ)"
ศาสนาพุทธเป็นศาสนา "อเทวนิยม"
(atheism) ไม่นับถือสิ่งบันดาล ให้เราเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่มีอะไรเป็นใหญ่
ยิ่งใหญ่ เหนือไปกว่า "กรรม"
แต่ชาวพุทธทุกวันนี้ ก็เชื่อสิ่งบันดาล ไม่ค่อยจะเชื่อ "กรรม"
กล้าทำบาป ทำกรรมชั่ว แม้แต่ "ศีล ๕" อันเป็นหลัก แห่งบาปแห่งกรรม
เบื้องต้นแท้ๆ ที่พระพุทธเจ้า ทรงสอนย้ำ แก่มวลมนุษย์ ชาวพุทธทุก วันนี้ก็
"ทำกรรมชั่วกรรมบาป" ได้กันอย่าง ไม่เคยหวาด ไม่เคยกลัว
สังคมพุทธเสื่อมสุด กันจริงๆแล้วหนอ..!
"อเทวนิยม"
นั้นนับถือ "กรรม" เป็น "พระเจ้า"
"กรรม"นี่แหละ
ที่มีอำนาจจริงยิ่งกว่า "พระเจ้า"
จากพระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ ข้อ ๑๑๑ ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวอย่างนี้
ว่า "ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อใด อาริยสาวก
รู้ชัดซึ่งอกุศล และรากเหง้าอกุศล รู้ชัดซึ่งกุศล และรากเหง้าของกุศล
แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ อาริยสาวก ชื่อว่าเป็น "สัมมาทิฏฐิ"
มีความเห็นเดินไป ตรงแล้ว ประกอบด้วยความเลื่อมใส อันแน่วแน่ในธรรม
มาสู่พระสัทธรรมนี้
ก็"อกุศล"(บาป)
เป็นไฉน ได้แก่ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด
พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ อยากได้ของผู้อื่น ปองร้ายเขา เห็นผิด อันนี้เรียกว่า
อกุศลแต่ละอย่างๆ
รากเหง้าของ
"อกุศล" (บาป)
เป็นไฉน ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ อันนี้เรียกว่า รากเหง้าของอกุศล
แต่ละอย่างๆ
(มีต่อฉบับหน้า)
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๔๑ เมษายน ๒๕๔๕)
|