หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

เรื่องสั้น
ความรักกับอุดมการณ์ เส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ


ฉันเดินทางออกจากเมือง มุ่งสู่ขอบฟ้าภาคเหนือ ดินแดนที่เต็มไปด้วยภูเขาและสายหมอก อาศัยโบกรถบ้างเดินบ้าง ตามแต่สายธารแห่งชะตาพัดพาไปบนเส้นทางคดเคี้ยวขึ้นดอยสายหนึ่ง ฉันลากเท้าเดินไปอย่างไร้จุดหมาย รถโดยสารจอดปล่อยร่างหญิงสาวคนหนึ่งลงริมทาง แล้วตะบึงต่อไป

เธอสะพายเป้ใบใหญ่ขึ้นหลัง สองมือหิ้วลังกระดาษใบโต ดูช่างโหดร้ายกับเรือนร่างอันบอบบาง เหลือเกิน

ขอบถนนฝั่งหนึ่งเป็นเหว อีกด้านเป็นดอยสูง สงสัยจับใจ สาวผมยาว-ใบหน้าขาวสวยคนนี้จะไปไหน? ฉันก้าวเข้าไป เอ่ยถาม

"คุณครับ ไม่จ่ายค่าโดยสาร โดนกระเป๋ารถไล่ลงหรือ?"

"เปล่า..."

ฉันพูดตั้งยาว เธอตอบแค่นี้ พลางหิ้วลังสอบใบออกเดิน มันคงหนักมากไหล่เธอถึงกับลู่

"ผมช่วยหิ้วนะครับ"

เธอกล่าวขอบคุณ แล้วบอกปฏิเสธสุภาพอย่างคนมีการศึกษา

"คุณจะต้องเดินอีกไกลแค่ไหน?"

"ฉันจะไปหมู่บ้านชาวเขา อีกไกลทีเดียว"

"ช่างเหมาะเหม็ง" ฉันแสดงละคร"ผมก็จะไปที่นั่น โชคดีได้คุณเป็นเพื่อนร่วมทาง"

เธอหยุดเดินกึก เหมือนหุ่นยนต์หมดลาน หันกลับมา "ตะกี้นายบอกจะช่วยหิ้วของใช่มั้ย" เธอยิ้มหวาน "ลังสองใบนี้ ฉันยกให้นาย"

ฉันสงสัยทำไมเธอเปลี่ยนใจ พอหิ้วลังขึ้นทุกอย่างก็กระจ่าง...มันหนักเป็นบ้า มีเส้นทางเดินเท้า แยกจากถนนใหญ่ คดเคี้ยว ขึ้นไปบนดอยสูง เธอเดินนำฉันขึ้นไป ตามทางนั้น

"ในลังสองใบนี้มันมีอะไร? หนักยังกะใส่หิน"

"เป็นตำราเรียนของเด็ก และเครื่องเขียนต่างๆ"

"ท่าทางคุณไม่ใช่คนบ้านเรา ถามจริงๆ จะไปทำไมที่หมู่บ้านนั้น ทั้งของพวกนี้ด้วย"

"มีเด็กที่น่าสงสารคอยฉันอยู่ ฉันเคยรู้สึกว่าเกิดมาโชคร้าย แต่เมื่อได้เห็นสภาพเด็กชาวเขา ถึงรู้ว่าตัวเองโชคดี และอยากจะให้ เขาได้รับสิ่งดีๆ บ้าง"

"ทำไมก่อนนี้ถึงคิดว่าตัวเองโชคร้าย?"

เธอก้าวเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ พร้อมกับเล่าอดีตชีวิต


ครั้งยังเป็นเด็ก ฉันมีแม่อยู่เคียงข้างตลอด ไม่รู้สึกว่า ชีวิตขาดอะไร หรือต้องการมากมายเลย แม้จะไม่เคยเห็น หน้าพ่อ และไม่พูดถึง

แม่ทำชีวิตให้เป็นเรื่องสนุก สอนฉันทำงานบ้าน ประดิษฐ์ของเล่นจากเศษวัสดุ ทำตุ๊กตาผ้า และปราสาท จากกล่องกระดาษ

แม่ชอบอ่านนิยายให้ฟัง เราจะนอนบนพื้น กองหนังสือวางเป็นตั้งอยู่ด้านข้าง แม่ขยันอ่านมาก บางวันก็คอพับ หลับคาหนังสือ ฉันไม่เคยตั้งคำถามกับสิ่งนี้ ภายหลังจึงได้รู้ เพราะบ้านเรา ไม่มีทีวี พอถึงปลายเดือน ฉันก็ต้องอดมื้อ กินมื้อ เพราะเงินแม่หมด และทำให้เรา ต้องเดินไกลด้วยเท้า มิใช่อยากออกกำลังกาย แต่ไม่มีเงิน จ่ายค่ารถต่างหาก

แม่เป็นอัจฉริยสตรี มีอารมณ์ขัน ทำให้ชีวิตขาดแคลนทรัพย์ กลายเป็นสีสันที่สนุกสนาน สอนให้ฉันลึกซึ้ง ในคุณค่าน้ำเปล่า เมื่อต้องอดข้าว สอนฉันร้องเพลง ฝึกเล่านิทาน และรู้จักต้นไม้

เมื่อคืนวันผ่านไป ความจริงก็ประจักษ์ชัด ทั้งหมดที่แม่ทำนั้น เพื่อทดแทน ในสิ่งที่เราขาด แม่ฉันเก่งในเรื่องเหล่านี้ แต่ที่แย่... คือ แม่ขาดความมั่นคง

แม่ตัดสินใจเด็ดขาดไม่ได้ กับหลายเรื่องที่สำคัญ ทำให้ชีวิตเราเหมือนคนเร่ร่อน ขายที่ย้ายบ้าน จนฉันเอือมระอา เพราะต้องย้ายเรียนไปเรื่อยๆ การย้ายถิ่นฐาน ทำให้วิมานส่วนตัว ฉันพังทลาย กลายเป็นคนสับสน

ชีวิตที่งดงาม อยู่กับหน้ากระดาษของนิยาย ฉันชอบอ่านการผจญภัย มันทั้งตื่นเต้น สนุกสนาน ให้จินตนาการ ที่ไม่สิ้นสุด

บางวันเบื่อเหลือทน ก็จะขังตนเองอยู่ในห้อง นอนเอาหนังสือปิดหน้า อยากหายตัวเข้าไปอยู่ ในนิยาย จะได้ไม่ต้อง เผชิญกับความจริง แต่ชีวิตมันน่าเศร้า เราหนีความจริง ที่โหดร้ายไม่พ้น

ครั้งหนึ่งแม่ไปสมัครงาน ฉันตามแม่ไปด้วย เจ้าคนที่แม่ไปติดต่อมันมองแม่ ด้วยสายตาหยามเหยียด แม่อธิบาย ความสามารถ ครบถ้วน แต่มันไม่ฟัง ซ้ำตะเพิดไล่

เราพาความอับอายกลับบ้าน ฉันหดหู่ใจเหลือแสน ในที่สุดแม่ก็พาเรา ย้ายเข้าเมืองกรุงฯ แม่เช่าห้องแถว ซอมซ่อ รอบข้างมีแต่ เสียงอึกทึก พวกขี้เมาแหกปากลั่น ผัวเมียตบตีกัน เสียงด่าหยาบคาย ได้ยินทุกวัน

ย่างเข้าวัยรุ่น สภาพแวดล้อมหลอมฉันให้เป็นคนก้าวร้าว ฉันเกลียดลูกคนรวย พวกเขาชอบ แบ่งแยกฐานะ ไม่คบกับ คนจนอย่างเรา

ฉันหนีเรียนเป็นปรกติ ไปเที่ยวห้าง ดูหนังฟังเพลง หรือตระเวนขโมยของตามร้านค้า โดยมีเพื่อนเสเพล ร่วมแก๊ง

ฉันรู้ว่ามันไม่ดี แต่ฉันอยากมีอย่างลูกคนรวย ใส่เสื้อสวยตามแฟชั่น สะพายกระเป๋าแพง ใช้ของแบรนด์เนมจากนอก

ฉันสวมกำไลเงินเต็มแขน...แม่ถามว่าเอามาจากไหน? ฉันบอกยืมเพื่อนใส่ แม่ไม่รู้ว่าโกหก แท้จริงขโมยมาทั้งนั้น ฉันเป็นเด็กดี ในสายตาแม่เสมอมา

แล้ววันหนึ่งความก็แตก เพราะแม่ไปพบฉันอยู่ในห้องขังกับเพื่อนๆ เราถูกจับข้อหาขโมยของจากห้าง ฉันหยิบรองเท้า คู่ราคานับพันมา ถูกยามจับได้ และส่งตัวให้ตำรวจ

แม่ไม่ปริปากพูดสักคำ มองหน้าฉันอย่างผิดหวัง แววตาเต็มไปด้วยความปวดร้าว ฉันใจหายกับสายตาคู่นั้น มันทำให้รู้ว่า ฉันช่างชั่วช้า เป็นตราบาป ที่มิอาจลบเลือน ให้แม่ด่า หรือเฆี่ยนตี ยังดีกว่ามองฉัน ด้วยสายตา ที่ขมขื่น

น้ำตาฉันไหลอาบหน้า โผเข้ากอดแม่ร้องไห้โฮลั่น "หนูจะไม่ทำตัวชั่วอีกแล้ว หนูให้สัญญา" แม่กอดฉันแน่น น้ำตา ไหลพราก

"เราจะย้ายไปอยู่ภาคเหนือ สิ่งแวดล้อมที่นี่มันเหลวแหลก ทำให้ลูกไม่มีความสุข" แม่พูด

ที่อยู่แห่งใหม่ทำให้จิตใจฉันดีขึ้น เราอาศัยอยู่ที่บ้านลุงในตัวเมือง ลุงมีลูกหลายคน แต่ก็รักฉัน เหมือนลูกคนหนึ่ง
แม่ยังทำงาน ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน นิสัยโมโหร้ายก็ไม่เปลี่ยน บ่อยครั้ง สาดอารมณ์เสียใส่ลุง แต่ลุงก็ยังดี กับแม่เสมอ

ฉันเคยถามลุงว่า นิสัยแม่ออกจะแย่ ทำไมถึงดีกับแม่นัก?

"จะมีนิสัยไม่ดีอย่างไร แม่หนูก็เป็นน้องสาวลุง" ลุงพูด "เขาอาจไม่ดีอย่างลุงต้องการ แต่ความรัก มันอยู่เหนือ สิ่งเหล่านี้"

ลุงทำให้ฉันรักแม่มากขึ้น และไม่ถือสาแม่ เหมือนแต่ก่อน

แม้นิสัยฉันดีขึ้นมาก แต่ก็ดื้อไม่ยอมไปเรียน แม่ถามว่า มันเพราะอะไร?

"ครูที่สอนหนูนะสิ" ฉันเล่า "หนูตั้งใจเขียนเรียงความอย่างดีไปส่ง แต่ดันหาว่า หนูไปคัดลอกมา เพราะเรื่องมันดี เกินเด็ก อย่างหนูเขียนได้ มันน่าโมโหที่สุด หนูบอกเขียนเอง ครูก็ไม่เชื่อ ซ้ำด่าว่าเสียหาย" หลังฟังฉันระบาย ไม่กี่วัน แม่ก็พูดกับฉัน อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย "เราจะย้ายบ้าน แม่จะหาที่เรียนใหม่ให้ลูก"

เราเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกรอบที่ภาคเหนือ... เมืองที่อากาศหนาวเย็น และ มีภูเขาโอบล้อม

แม่หางานทำ พอมีเงินก็ซื้อบ้านราคาถูกเพื่อนบ้านทุกคนอัธยาศัยดี ฉันเข้าเรียนมัธยม สถาบันแห่งใหม่ น่าอยู่ ทำให้มีใจ ใฝ่ศึกษามากขึ้น ฉันตั้งปณิธานว่า จะเป็นเด็กเรียนดีให้ได้

แต่มันช่างหนักหนาสากรรจ์เหลือเกิน ชีวิตที่คร่ำเคร่งกับตำรามากไป อดหลับอดนอน ถ่างตาอ่านหนังสือ มันทำให้ ฉันแย่ ร่างกายโทรม จนสู้ไม่ไหว

พฤติกรรมฉัน อยู่ในสายตาครูสาวตลอดเวลา ครูห่วงใยฉัน เพราะรู้พื้นเพฉัน มันเด็กมีปัญหา

"เธอชอบทำอะไรบ้าง?" ครูเรียกฉันไปถาม

"หนูชอบเที่ยวป่าปีนเขา" ฉันตอบ "แต่ที่ชอบมากที่สุดคืออ่านนิยาย"

ครูมองฉันอย่างทึ่งตะลึง "ไหนลองบอกสิ อ่านเรื่องอะไรมาบ้าง"

ฉันร่ายชื่อยาวเป็นขบวนรถไฟ ทั้งนิยายไทย นิยายแปลต่างประเทศ

"เธอน่าจะสอนเด็กเล็กหัดอ่านหนังสือนะ" ครูพูด แล้วดำเนินการให้ไปตามนั้น

ฉันมีความสุขกับการสอนเด็ก พวกเขาน่ารักไร้เดียงสา มีชีวิตชีวา และฉันภูมิใจที่ได้ให้การศึกษาแก่เขา การเรียน ของฉันดีขึ้น พอใกล้จบมัธยมปลาย ครูก็นำเรื่องมหัศจรรย์ มาบอกฉัน

"ครูยินดีด้วย ทางโรงเรียนส่งชื่อเธอขอรับทุน เข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อ และนี่คือ สิ่งที่เขาส่งมา"

ฉันรับซองเอกสารมาด้วยมืออันสั่นเทา อ่านข้อความ ดีใจจนพูดอะไรไม่ออก ฉันบอกข่าวดี ให้แม่ทราบ แม่ยิ้มแก้มปริ แล้วพูดว่า "ลูกแม่ไม่ธรรมดา แม่เลี้ยงแกมา รู้ดี"

ฉันอยากเป็นครู จึงเลือกเรียนครุศาสตร์ ตลอดสี่ปี ในรั้วมหาวิทยาลัย ฉันจริงจัง จนได้คะแนนเกียรตินิยม

ช่วงเรียนปีสุดท้าย กลุ่มนักศึกษา มีการจัดค่ายพัฒนา "การศึกษาเพื่อเด็กด้อยโอกาส" ฉันร่วมกลุ่มไปกับเขาด้วย
เราเดินทางขึ้นดอย ทางภาคเหนือ ไปพักที่หมู่บ้าน ชาวเขาแห่งหนึ่ง เอาหนังสือ สมุด ดินสอ ไปแจกเด็กๆ ด้วย

การออกค่ายครั้งนี้ ฉันได้เห็นภาพอันชวนเศร้าสลดยิ่งนัก หมู่บ้านนั้นมีอาคารเก่าๆ หลังหนึ่ง ฝาข้างเป็นซี่ไม้ไผ่ คล้ายเล้าไก่ หลังคามุงตับหญ้า ผุจนมิอาจบังฟ้าฝนได้ รูปร่างมันเหมือน ถูกทิ้งร้างมานาน ก่อนนี้เด็กๆ เรียกมันว่า โรงเรียน เคยมีครูหญิง มาสอนหนึ่งคน เธอทนอยู่ได้ไม่ถึงอาทิตย์ ก็จากไป และไม่มีครูใหม่มา อีกเลย

ฉันและเพื่อนเปิดโรงเรียนสอนชั่วคราว พอครบกำหนดก็เก็บของเตรียมเดินทางกลับ กลุ่มเด็กน้อยมาส่งเรา ที่ปากทาง เราโบกมือ ลาพวกเขา.... นัยน์ตาน้อยๆ ที่สร้อยเศร้าเหล่านั้น ทำให้ฉันรู้สึก หดหู่เหลือเกิน

จากมาได้ไม่ไกลนัก ก็ต้องชะงักเพราะเด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งฉุดมือไว้ มองหน้าฉันอย่างวิงวอน...

"ครูจะกลับมาอีกมาเมื่อไหร่?" เด็กน้อยพูด

ฉันย่อตัวนั่งลงตรงหน้าเธอ ลูบหัวเบาๆ "ครูจะกลับมาในไม่ช้า ครูให้สัญญา"

หลังรับปริญญา ฉันบอกเพื่อนว่า จะมาเป็นครูดอย แล้วคำถาม-คำขู่มากมายก็ตามมา
"เธอบ้าไปแล้วหรือไง?"
"เท่ากับทิ้งอนาคตเชียวนะ"
"บนดอยมันลำบากมาก เธอจะทนไหวหรือ?"
"ไฟ-น้ำก็ไม่มี แสงสีก็ไม่เจอ โอย..ชีวิตจืดชืด"
"คิดให้ดีนะเธอ....เปลี่ยนใจตอนนี้ยังไม่สาย"

ฉันยิ้มให้กับเพื่อนทุกคน ก่อนบอกอย่างหนักแน่น "ขอบคุณทุกคนที่หวังดี แต่ฉันตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เด็กเหล่านั้น ต้องการครู"

หลังจากฟังตัดสินใจของฉัน แม่มองฉันนิ่งเงียบ...

"ชีวิตเป็นของลูก" แม่พูด "เมื่อลูกเลือกแล้ว และคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ก็จงเดินไปเถิด"

ฉันเก็บข้าวของ บอกลาแม่แล้วออกเดินทาง...


เรามาถึงจุดหมาย เป็นเวลาที่ตะวันลับขอบฟ้า หมู่บ้านชาวเขา ปรากฏตรงหน้า

"ถึงเสียที" เธอพูด "คุณพักอยู่บ้านหลังไหน?"

ฉันอึ้งชั่วครู่...

"ผมต้องการมาเห็นที่นี่จริงๆ เพราะว่าผมไม่เคยมาที่หมู่บ้านนี้เลย"

เธอจ้องหน้าฉันอย่างไม่เชื่อ ความเงียบอยู่ตรงกลาง ระหว่างเราความมืดค่อยๆ คลี่คลุมแผ่นฟ้า

แสงตะเกียง ส่องสว่าง ในเรือนหลังน้อย หลังคามุงใบตองป่า ฝาบ้านเป็นไม้ไผ่ขัดแตะ ช่างเรียบง่ายอะไรเช่นนี้ เจ้าของเรือน เป็นผู้ใหญ่บ้าน

ผู้ใหญ่ให้เราอาศัยอยู่ด้วย เขาต้อนรับอย่างดี จัดที่ทางให้พัก หาข้าวหาน้ำมาเลี้ยงเสร็จสรรพ สักพักเด็กน้อย ทั้งหมู่บ้าน ก็จูงมือกัน ขึ้นมาบนเรือน ทุกใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม...

เรานั่งอยู่กลางเรือน เปลวไฟจากตะเกียงกะพริบไหว ดวงตาใสบริสุทธิ์หลายคู่ จ้องมองไปที่ ใบหน้าครูสาว เธอเหมือน นางฟ้า ที่แวดล้อมด้วย เหล่าเทพบุตร และเทพธิดาดอย

ครูอ่านนิยายให้พวกเขาฟัง ทุกคนสนุกสนานหัวเราะเสียงใส ยกเว้นเสียงฉันคนเดียวที่กระด้าง และดังลั่น จนรู้สึกว่า ตัวเองกลับ เป็นเด็กอีกครั้ง

"ดึกแล้วนะหนูน้อย กลับบ้านนอนกันดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยมาฟังใหม่" ครูพูด

แม้รู้สึกเสียดาย แต่เด็กน้อยก็ทำตามอย่างว่าง่าย ทยอยลงเรือน เราเดินไปส่งพวกเขาตามบ้าน จนครบ แล้วจึง เดินกลับ ทางเดินสว่าง เพราะแสงจันทร์สาดส่อง ท้องฟ้ายามราตรีนี้ช่างสดใส

"พวกเด็กๆ ดีใจมากที่ครูมา" ฉันพูด

"ดวงตาที่ไร้เดียงสาเหล่านั้น ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเอง เป็นแม่เลยนะ"

"และยิ่งกว่านั้น ครูเป็นเสมือนแสงตะเกียง ที่ส่องสว่างอยู่ตามครัวเรือน ให้เด็กน้อยได้มองเห็น และขับไล่ ความมืดมิด ในดงดอย เหมือนเดือนเพ็ญในคืนนี้"

เธอยิ้มกับคำพูดของฉัน ดวงหน้านั้นงามบริสุทธิ์ ยิ่งกว่าจันทรา

งานแรกของเรา คือการชุบชีวิตซากโรงเรียนขึ้นมาใหม่ เด็กและชาวบ้าน ต่างช่วยงานคนละไม้คนละมือ เราเปลี่ยน หลังคาใหม่ ทำฝาข้างให้ดี ทำโต๊ะเก้าอี้ให้เด็กเรียน

ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เหมือนปาฏิหาริย์ อาคารเรียนหลังใหม่เสร็จ ภายในวันเดียว เสาธงเหยียดตั้งตรง เป็นงานชิ้นสุดท้าย เด็กน้อยต่างไชโย โห่ร้องกระโดด โลดเต้นไปรอบๆ

เรายืนมองผลงานด้วยความภาคภูมิใจ ดวงตะวันค่อยๆ ลับลงหลังเขา ขอบฟ้าปรากฏ สีแดงที่งดงาม

ชีวิตบนดอยแม้จะแสนลำบาก แต่ครูสาวดุจมีความสุขเหลือเกิน เราจะอ่านนิยายให้เด็กฟัง ยามค่ำคืน เช้าก็พา ลงแปลง ปลูกผัก สอนให้เข้าครัว เก็บผักทำอาหารกินกันเอง ชั่วโมงเรียน ก็ฝึกหัดอ่าน-เขียน

ครูลงดอยกลับไปเยี่ยมแม่สองวัน ครั้นกลับมาดวงตาเธอหม่นเศร้า...

"มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือ?" ฉันถาม

"สมัยเป็นนักศึกษา ฉันคบหาผู้ชายคนหนึ่ง" เธอถอนใจเบาๆ "เขาเคยบอกว่า จะมาอยู่สอนเด็ก มาใช้ชีวิตบนดอย เป็นเพื่อนฉัน เมื่อฉันไปทวงสัญญาเขา บอกว่าเขาทิ้งงาน ที่ธนาคารไปไม่ได้ และขอให้ฉัน กลับไปอยู่กับเขา เลิกเป็นครูดอย ที่ไร้อนาคตเสียที"

เสียงเธอขาดหาย เหมือนอะไรบางอย่างจุกคอ

"ความรักกับอุดมการณ์ เป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ" ฉันรำพึงให้ความเงียบฟัง "บางครั้งชีวิต ก็ต้องเลือก แลกความเจ็บปวด กับสิ่งที่ได้มา หลั่งน้ำตาให้กับ การสูญเสีย"

"ฉันบอกเขา" เธอถอนใจ "ว่าขอเลือกที่จะอยู่กับเด็ก เขาขาดฉันไม่เป็นไร แต่เด็กบนดอยจะขาดฉันไม่ได้"

ฉันหันหลังให้เขา แล้วก้าวไปข้างหน้า ทิ้งอดีตที่หวานชื่นไว้ในวันวาน เดินไปสู่เส้นทางแห่งความรัก เพื่อมวลชน

รุ่งเช้าของวันที่สดใส สายหมอกถักทอเป็นแพรบางห่มคลุมหมู่บ้าน ขณะที่ครูหญิง ยืนมองเด็ก วิ่งเล่น ฉันก้าวเข้าไป ยืนข้างเธอ

"ผมเหมือนเด็กน้อยเหล่านี้" ฉันพูด "ที่ดวงใจน้อยๆ เฝ้าคอยความรักอันบริสุทธิ์..."

เธอหันมองฉัน

"ผมคงเป็นเด็กที่เห็นแก่ตัวมาก หากจะขอแบ่งปันจากชีวิตที่ร้าง ไร้ความอบอุ่น ของเด็กที่น่าสงสารเหล่านั้น แม้รักที่ได้มา ก็อาจแปดเปื้อน ด้วยคราบน้ำตา"

"นายกำลังจะบอกว่า" ดวงตาเธอฉายแวววิงวอน

"ถึงเวลาที่ผมต้องจากไป"

"ฉันเข้าใจว่าต้องมีวันนี้ วันที่เราต่างก็ต้องเลือก และต้องสูญเสีย แม้ฉันอยากให้นายอยู่ข้างกาย แต่ความรักในใจฉัน ไม่เหลือแบ่งปันได้อีก"

"ผมรู้ดี ...ความรักที่ครูมี ได้มอบให้เด็กไปหมดแล้ว เป็นรักที่มีค่ายิ่งใหญ่ เหมือนสายน้ำที่หล่อเลี้ยงผืนป่า เหมือนแสงตะวัน ที่สาดส่องให้โลกนี้ สว่างไสว เหมือนบ่อน้ำกลางทะเลทราย ที่ซุบชีวิตกองคาราวาน ชีวิตน้อยๆ ที่บริสุทธิ์ เหมือนต้นกล้าอ่อน มิอาจขาดสายธาร แห่งความรัก จากครูได้" ฉันยิ้มให้เธอ อย่างชื่นชม "ลาก่อนครูสาว ผู้รักในอุดมการณ์ ชะตากรรมให้เราเกิดมา เพื่อเผชิญการพรากจาก ตราบที่ดวงใจ ยังไม่หยุด แสวงหาความรัก"

ฉันก้าวลงจากดอย... เก็บความทรงจำที่งดงาม ซุกไว้ในหัวใจที่เปลี่ยวเปล่า เมื่อหันมองหมู่บ้านชาวเขา เป็นครั้งสุดท้าย รู้สึกเหงาๆ ลึกๆ อยู่ภายใน

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๑ เมษายน ๒๕๔๕)