พันเอกบุลสันต์ (ดาบดิน) ทัพวนานต์
* นายทหารทวนกระแส


สุรา นารี พาชี กีฬาบัตร อยู่คู่กับสังคมทหาร แต่นายทหารคนหนึ่ง
กลับสงบร่มเย็น กับการปฏิบัติศีล กินมังสวิรัติ ปิดประตูอบายมุขอย่างเด็ดขาด

ประวัติ
พันเอกบุลสันต์ ทัพวนานต์ (ดาบดิน)
เกิด ๒๗ ก.พ. ๒๕๐๔
ภรรยา นางเยาวลักษณ์ ทัพวนานต์
บุตร ชาย ๑ คน ด.ช.บุลลักษณ์ ทัพวนานต์ อายุ ๑๕ ปี ชั้น ม.๔ โรงเรียนนวมินทร์บดินทรเดชา กทม.

การศึกษา
ประถม ร.ร.ธนบุรีศึกษา
มัธยม ร.ร.วัดเบญจมพิตร
ปริญญาตรี จบรัฐศาสตร์การปกครอง รุ่นที่ ๘ ปี ๒๕๒๕ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

การงาน
เริ่มรับราชการ ปี ๒๕๒๖ ปัจจุบันสังกัดสำนักงานพัฒนาพิเศษ หน่วยบัญชาการทหารพิเศษ พัฒนาการเคลื่อนที่ ๕๕ กระทรวงกลาโหม ลาดปลาเค้า บางเขน


# เรื่องราวชีวิต
ผมเป็นลูกคนเล็ก ครอบครัวมีฐานะปานกลาง คุณพ่อเป็นนายทหารชั้นประทวน ไต่เต้าขึ้นมาเป็น นายทหารสัญญาบัตร คุณแม่เป็นลูกจ้างชั่วคราว ผมเป็นเด็ก เชื่อฟังพ่อแม่ ชีวิตวัยเด็ก ราบเรียบ สนุกสนาน ไปกับเพื่อนๆ ตามประสาเด็ก ชอบเล่นกีฬา การเรียน เกณฑ์ปานกลาง ละแวกบ้านมีกลุ่มวัยรุ่น มั่วสุม ยาเสพติด ผมเห็นอยู่ แต่ไม่ได้ เข้าไปเกี่ยวข้อง

พี่ๆ เรียนสายทหารโดยตรง ผมก็คิดจะเป็นทหารเหมือนคุณพ่อ แต่สอบเข้าเตรียมทหารไม่ได้ ไปติด ร.ร. จ่าทหารเรือ คุณพ่อเคยเป็นชั้นประทวนมาก่อน ก็ไม่อยากให้ลูกลำบาก เลยให้มาเรียน ทางอุดมศึกษา พี่คนโต เป็นพันเอกพิเศษ

มีครอบครัวตอนไปรับราชการที่จังหวัดชัยภูมิ แม่บ้านรับราชการครู แต่งงานเมื่อปี ๒๕๓๐

# รู้จักอโศกเพราะคุณพ่อ
รู้จักอโศกตั้งแต่ปี ๒๕๑๔ เพราะว่าคุณพ่อเป็นญาติธรรมเก่า สมัยพ่อท่านเพิ่งบวช คุณพ่อ พาผมไป กราบพ่อท่าน ที่วัดอโศการาม ตอนนั้นผมอายุ ๑๐ ขวบ เจอพ่อท่าน นั่งฉันอาหารในบาตร ตอนนั้น ผมยังเด็กมาก คุณพ่อติดตามไปฟังธรรมพ่อท่าน ที่วัดมหาธาตุ แล้วเกิดความเข้าใจ และศรัทธา หลังจากนั้น ท่านก็ติดตามฟังธรรมพ่อท่าน ไปตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วัดนรนาถฯ วัดธาตุทอง วัดมหาธาตุฯ แดนอโศก ทุกสถานที่ ก็เอาผมไปด้วย และ คุณพ่อก็ปฏิบัติด้วย คุณพ่อก็เริ่มกินอาหาร มังสวิรัติ คุณพ่อกินคนเดียว ผมก็ได้แต่มอง ตอนนั้น ยังไม่ได้สนใจ

ผมสนใจเรื่องมังสวิรัติเมื่อคุณพ่อปฏิบัติได้ ๗ ปี สังเกตเห็นคุณพ่อ เปลี่ยนจากหน้ามือ เป็นหลังมือ เคยดื่มเหล้า สูบบุหรี่ คุณพ่อก็ลดละ ได้ฟังธรรม มาปฏิบัติธรรม เลิกกินเนื้อสัตว์ เด็ดขาด ผมก็เกิด ความเลื่อมใส เลยกินมังสวิรัติตามคุณพ่อ ตั้งแต่ปี ๒๕๒๒ จนถึงปัจจุบัน

ตอนนั้นเรียนรามฯ ปี ๒ ผมใช้เจเขี่ยบ้าง และที่โรงอาหาร ก็มีร้านของนักศึกษา กลุ่มรามบูชาธรรม ทำอาหาร มังสวิรัติ ขายอยู่ที่แผง ๒๒ ผมก็ไปเป็นลูกค้าประจำ ช่วงกลุ่มรามฯ จัดงานรามบูชาอาสาฬหบูชา ผมไป สังเกตการณ์ ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรม กับกลุ่ม ตอนนั้นเพียงแต่ชื่นชม ยังไม่ถึงกับศรัทธาเลื่อมใส ก็มองดู อยู่ห่างๆ เวลามีพระ ไปเทศน์ ผมก็ไปฟังด้วย แต่เห็นคุณพ่อเปลี่ยนแปลง ไปในทางที่ดี พยายามที่จะปฏิบัติ ตามคุณพ่อ สำหรับอบายมุข ก็แค่ทดลองเท่านั้น ว่าเป็นอย่างไร สุรารสชาติ เป็นอย่างไร บุหรี่รสชาติ เป็นอย่างไร

# สาเหตุที่กินมังสวิรัติ
เพราะกินตามคุณพ่อ เพราะเมื่อก่อนคุณพ่อสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า กินเนื้อสัตว์ อยู่ๆ ก็เปลี่ยนจาก หน้ามือ เป็นหลังมือ เลิกเหล้าแต่ยังสูบบุหรี่ กินแต่พืชผักผลไม้ ฐานะของครอบครัวก็ดีขึ้น เห็นคุณพ่อปฏิบัติ อย่างนั้น ก็เลยลองปฏิบัติตาม คือไม่กินเนื้อสัตว์ คุณพ่อ เป็นผู้นำ ของครอบครัว นำสิ่งดีของคุณพ่อ มาปฏิบัติ ส่วนที่ไม่ดี ก็ไม่ปฏิบัติตาม ดูตัวอย่างดีๆ ของพี่ๆ และคุณแม่ที่ดูแลลูก

ผมไม่ได้เบื่อเนื้อสัตว์ แต่เอาอย่างคุณพ่อ ใช้วิธีเจเขี่ยบ้างบางโอกาส เพื่อนๆ ก็ล้อว่า เกลียดปลาไหล กินน้ำแกง อย่างแกงส้ม ผมเลือกตักเอาแต่ผักมากิน พยายามปรับตัว ให้อยู่ในสังคม กินเพราะคุณพ่อ อยู่ในหัวใจ

# เริ่มชีวิตปฏิบัติธรรม
ปลายปี ๒๕๒๘ ช่วงนั้นคุณแม่เสีย ผมขออนุญาตลาบวช ๑ พรรษา ช่วงบวชเรียน คุณพ่อ ก็มาจุดประกาย ด้วยคำพูด เพียงประโยคเดียว ทำให้ผม หันเข้ามา ศึกษาธรรมะ ของชาวอโศก คุณพ่อบอกว่า "ท่านเรียนรู้มาก็มาก จนจบปริญญา แต่ท่านไม่ได้ปัญญา" คำพูด ประโยคนี้ของคุณพ่อ ทำให้ผมรู้สึกว่า ขนาดบวชเป็นพระแล้ว พ่อยังไม่วายพูดให้ข้อคิด หลังจากลาสิกขาแล้ว ผมก็อ่านหนังสือ ที่คุณพ่ออ่านอยู่ ได้แก่หนังสือ สัจจะชีวิต ของพระโพธิรักษ์ เกิดความเข้าใจ ในการปฏิบัติ ที่พ่อท่านปฏิบัติ ตั้งแต่ตอน เป็นฆราวาส ลดละมาเรื่อยๆ

ปลายปี ๒๕๒๙ ผมก็เริ่มปฏิบัติตามพ่อท่านมาโดยตลอด จนถึงปัจจุบัน เริ่มจากการกิน มังสวิรัติบริสุทธิ์ เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง และยิ่งได้ดูหนังเรื่อง พระเวสสันดร รู้สึกประทับใจ ผมจึงบริจาค สิ่งของมากมาย จนมีสิ่งของติดตัว เท่าที่จำเป็นเท่านั้นเอง ช่วงนั้นผมรู้สึกว่า เข้าใจธรรมะ ของพ่อท่าน แล้วก็อยากปฏิบัติ ตามคำสอนของพ่อท่าน

# ครอบครัว
ผมมีครอบครัวปี ๒๕๓๐ ผมก็เอาหนังสือ เทปธรรมะมาให้แม่บ้าน เขาก็เริ่มต้นมากิน มังสวิรัติ ส่วนลูก ยังไม่ได้กิน ตอนเด็กๆ ผมพาไปคลุกคลีกับกลุ่ม หินผาฟ้าน้ำ ไปเรียนพุทธธรรม แต่เขาไม่ประทับใจ ในเรื่องงานเกษตร และเคยถูกทำโทษ ให้ตักส้วม คงต้องให้เวลาเขาสักหน่อย

# การขนเรือ
พ่อท่านมีดำริที่จะขนเรือไปบ้านราชฯ(ราชธานีอโศก) ซึ่งจะต้องมีการเตรียมการหลายๆ ด้าน เพราะเป็นเรือ ขนาดใหญ่ พ่อท่านเอ่ยปากขึ้นมา ถ้ามีทหารเข้ามาช่วยก็จะดี ผมก็เลยเข้าไปช่วย

ผมช่วยขนเรือตั้งแต่ครั้งแรก ขบวนแรกใช้เวลานาน เพราะว่ายังไม่มีประสบการณ์ อุปสรรค มีมากมาย เริ่มตั้งแต่ เอาเรือขึ้นจากน้ำ ยกขึ้นรถเครน มีรถบรรทุก เข้ามาเคลื่อนย้าย เสี่ยงอันตรายมาก ต้องระวังมาก เพราะเป็นเรื่อง ที่เกี่ยวกับชีวิต และทรัพย์สิน ทุกคน ที่เข้ามาช่วยตรงนี้ ก็ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ แต่ละเที่ยว ใช้เวลา ไม่ต่ำกว่า ๔ วัน เจอสายไฟ สะพาน ป้ายบอกทาง ต้องแก้ปัญหากันตลอด

ช่วงที่ขณะกำลังขนย้ายกันอยู่ ช่วงที่ยกเรือขึ้นจากแม่น้ำ บังเอิญผมไปอยู่ใกล้ ลวดสลิง เกิดขาด เรือตกลงน้ำ ผมอยู่ใกล้ๆ ตกใจมาก พอเอาเรือขึ้นรถ เราก็ประชุมกันว่า จะมีใคร กำกับดูแล แบ่งหน้าที่กัน ผมอยู่รถนำขบวนเรือ โดยมีรถตรวจเส้นทางคันแรก คอยดูสายไฟ วัดสายไฟ ว่าความสูงของเรือ ผ่านมั้ย ถ้าไม่ผ่าน จะทำยังไง ก็วิทยุคุยกันตลอด แต่ละเที่ยว ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า ๔ วัน เจอสายไฟ สะพาน ป้ายบอกทาง ต้องแก้ปัญหากันตลอด

ในการดำเนินงานตรงนี้จะมีรถสำรวจเส้นทางล่วงหน้าก่อน จะจัดการขนย้ายเรือ ผมจะนำ ขบวนเรือ ทุกลำ ซึ่งหากมีปัญหาอุปสรรคอะไร ก็ต้องเคลียร์ให้เรียบร้อย เช่น การผ่านด่าน ตำรวจต่างๆ ผมก็จะเข้าติดต่อ โดยผม จะเข้าไปขอความช่วยเหลือ เพราะเป็นสิ่งของ ที่ใหญ่โตมาก และอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิต และทรัพย์สินได้ เขาก็ให้คำแนะนำว่า ควรจะวิ่งรถ ให้ชิดเลนซ้าย และในเวลากลางคืน ควรจะติดไฟ ให้รอบตัวเรือ เพื่อที่จะได้มองเห็น สัดส่วนของเรือ อย่างชัดเจน ควรมีสัญญาณไฟ หรือสปอร์ตไลท์ส่อง เพื่อให้รถด้านข้าง ที่จะแซงไป เห็นได้ชัดเจน

# ประสบอุบัติเหตุ
ในช่วงนั้นไม่มีใครขึ้นไปทำหน้าที่บนหัวเรือเพื่อบอกคนขับ และคอยอำนวยความสะดวก ดูแลเรื่อง สายไฟ รถสวน รถแซง ผมก็รับอาสาขึ้นไปบนหัวเรือ เป็นจังหวะที่ผมไม่ทัน ได้ระวัง สายไฟ ที่พาดผ่านถนน ช่วงนั้น ขบวนรถ บรรทุกเรือ กำลังวิ่งเข้าหมู่บ้าน ผมทักทาย แสดงความยินดี กับชาวบ้าน ด้วยความไม่ระมัดระวัง ตัวผมก็เลย ปะทะกับสายไฟ ลอยไปในอากาศ ตกลงปะทะลวดสลิง ที่ขึงอยู่ภายในตัวเรือ ตอนที่ปะทะ กับลวดสลิง ผมก็มีสติ แต่ก็หมุนควงสลิงอยู่รอบหนึ่ง ผมเอาแขนหนีบไว้แต่ไม่อยู่ จึงพลัดตกลงมา ยังท้องเรือ แต่เพราะปะทะลวดสลิงก่อน จึงทำให้ระยะสูง ที่จะตกลงมาท้องเรือ สั้นลง และแรงปะทะ เบาลง

ที่ท้องเรือมีเรือเล็กซ้อนอยู่ มีเสากระโดงเรือ มีเหล็ก กระดูกเรือ และอะไรต่างๆมากมาย วางอยู่ ระเกะ ระกะ เคราะห์ดี ผมตกลงไปตรงซอกเล็กๆ บนไม้หน้าเจ็ด ในเรือเล็ก ที่ซ้อนอยู่ ทางท้ายเรือ ซึ่งรองรับลำตัวผม พอดีเลย บังเอิญส่วนหัวของผม ลงบนกองเชือกใหญ่พอดี ตอนลงจึงนุ่ม เหมือนนอนลงบนหมอน ไม่รู้สึกเจ็บเลย ส่วนขาก็กระแทกกับกระดูกงู คนที่อยู่ บนเรือลำเดียวกับผม บอกว่า กองเชือกกองนี้ เคยอยู่ที่ท้ายเรือ ทำไมวันนี้มาอยู่ตรงนี้ ได้ยังไง ไม่น่าเชื่อ ผมมีสติอยู่ตลอด ผมก็ปล่อยให้อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด ยอมรับวิบากตรงนี้ เรือสูง ประมาณ ๓ เมตรเศษๆ ผมตกเกือบถึงท้ายเรือ รู้สึกตัวตลอด เมื่อตกลงมาแล้ว ผมชาไปทั้งตัว กระดุก กระดิกไม่ได้ มีบาดแผล ถลอกตามแขนขา ซึ่งถ้าดูตามสภาพ น่าจะถึงชีวิต เพราะว่า ตกจากที่สูง แรงกระแทก บริเวณแขน ลำตัว ขา เป็นเพียงบวม ถลอก ฟกช้ำ

พ่อท่านและสมณะหลายรูปมาให้กำลังใจขบวนเรือ ช่วงจังหวัดศรีสะเกษ ผมเกิดปีติ ที่ท่านสละเวลา มาเยี่ยม

# เกิดอุบัติเหตุช่วงไหน
ช่วงนั้นกำลังเดินทางจากสระบุรีเข้าลพบุรี เรียกว่า ม่วงค่อม ตอนเช้า เป็นช่วงที่พัก รับประทานอาหาร พอดี ส่วนผม ก็ไปที่โรงพยาบาลท่าหลวง หมอดูอาการแล้ว ให้ยามารับประทาน ผมก็นั่งมากับขบวนเรือ จนถึงบ้านราชฯ ที่หมาย อีกประมาณ ๒-๓ วัน ผมกลับไป รักษาตัวที่ชัยภูมิ ตามแพทย์แผนไทย ย่างสมุนไพร ประมาณหนึ่งอาทิตย์

# ได้อะไรจากการขนเรือ
เป็นประสบการณ์ชีวิตที่มันตื่นเต้นตลอดเส้นทาง เป็นความภูมิใจที่พ่อท่านเรียกใช้ ผมคิดว่า ชีวิต ผมยอมสละ ให้ได้

# กับเพื่อนร่วมงาน
สังคมทหารจะมีสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร มีการสังสรรค์กัน ในส่วนของผมเอง ก็จะดูเวลา ที่เหมาะ ที่ควร ถ้าเป็นงานส่วนรวม ผมก็จะไปร่วม เมื่อไปอยู่ ในสังคมนั้น สิ่งที่ผม จะปรับตัวเองก็คือ เขาก็รู้ว่า ผมปฏิบัติธรรม คือไม่ไปกินอาหาร นอกมื้อ และไม่ไป เสพสุรายาเสพติด แต่ก็ยังอยู่ในหมู่กลุ่ม ร้องรำ ทำเพลง ไปกับเขาบ้าง ให้ความสนุกสนาน เขาไป

วันหยุดผมก็มาทำบุญที่วัด หรือไม่ก็กลับไปเยี่ยมครอบครัว ผมรับราชการมา ๒๒ ปี ผมเคย ยื่นใบลาออก ครั้งหนึ่ง เมื่อปี ๒๕๔๕ กะว่าจะไม่รอจนเกษียณ แต่แม่บ้าน ไปขอระงับไว้ ยังไม่อยากให้ออกจากราชการ

# ธรรมะให้อะไร
ให้ชีวิตใหม่ ได้จิตวิญญาณใหม่ที่เกิดรู้จริง เห็นจริงตามที่พระพุทธเจ้า พ่อท่านได้สั่งสอน ตรงนี้เหมือนกับ เราเกิดใหม่ มาเป็นบุคคลที่รู้คุณค่าของชีวิต ไม่ใช่ว่าปล่อยชีวิตให้อยู่ไปวันๆ แต่ให้รู้ว่าชีวิตเมื่อเกิดมาแล้ว ควรจะทำคุณ ทำประโยชน์ให้แก่ตัวเอง ให้แก่สังคม ซึ่งจะต้อง สร้างคุณงามความดีในสิ่งที่เราพอจะทำได้

หลักๆ ก็จะต้องปฏิบัติที่ตัวเราโดยการรักษาศีล ปฏิบัติสำรวมกาย วาจา ใจ ซึ่งความเปลี่ยนแปลง จากเดิมๆ เป็นชีวิต ที่ร่าเริงสนุกสนานไปกับอบายมุข เราก็มาเป็นชีวิต ที่สงบร่มเย็น อยู่ในการปฏิบัติอยู่ในศีลในธรรม

# กิจวัตรตอนเช้ามาตักบาตรทุกวัน
ผมจะหุงข้าวมาจากที่บ้าน ผมจะหุงไว้ตอนกลางคืนแล้วอุ่นไว้ตลอด พอเช้าก็ขับรถ มาใส่บาตร แล้วกลับไป ทำงาน ทำอย่างนี้ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ คือเมื่อมีโอกาส ผมคิดว่า ได้มาสั่งสม กุศลธรรม

เมื่อปี ๒๖,๒๗ ผมยังอยู่กรุงเทพฯ ก็จะมาใส่บาตรทุกวัน พอย้ายไปรับราชการ ต่างจังหวัด ก็ไปร่วมกิจกรรม กับทาง หินผาฟ้าน้ำ ก็เป็นผู้รับใช้กลุ่มชัยภูมิอโศก ๒ ปี ในช่วงนั้น ก็ได้อะไร มากมาย ต้องเร่งตัวเอง เมื่อหมู่กลุ่ม ให้ความไว้วางใจ ผมก็พยายามมีข้อบกพร่อง ให้น้อยที่สุด

# สิ่งที่จะฝากให้แก่ทุกท่าน
ผมมีโศลกธรรมของพ่อท่านอยู่โศลกหนึ่งที่ผมประทับใจและก็ปฏิบัติ คือ ความดี แม้เป็นสิ่งที่ ยากเย็น ถึงขนาดต้องฝืนทน ก็ต้องจนใจทำ แต่ความไม่ดีแม้จะง่าย ทำได้อย่างเพลิดเพลิน สนุกสนาน ก็ต้องอดใจ เว้นให้ได้ ปัจจุบันสำคัญที่สุด ทำปัจจุบัน ให้ดีเท่านั้น ก็พอแล้ว สำหรับชีวิต โศลกธรรมนี้ฟังแล้ว ผมซาบซึ้ง การที่เราจะมาเป็นคนดี เราต้องอดทน ถึงจะฝืนทน ก็ต้องจำใจทำ เพราะสิ่งเรากำลังทำอยู่นี้ เป็นความดี เป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่เรามาสร้าง ให้แก่สังคม มวลมนุษยชาติ

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๒ กันยายน ๒๕๔๘ -