สาธารณโภคี : วิถีอาริยชนแก้จนเห็นผลทันตา
- วิมุตตินันทะ -


ชีวิตคนทั่วไปอย่างเก่งไม่เกิน ๘๐ ปี คืออยู่ไม่ถึง ๓๐,๐๐๐ วันอย่างมาก ถ้าถือมาตรฐานนี้จะมีสิทธิ์กินข้าว ๙๐,๐๐๐ มื้อ หรือเข้าร้านตัดผมเดือนละหนก็แค่ ๑,๐๐๐ ครั้งเท่านั้นเอง

เมื่อรู้จักคิด จะคมชัดลึกว่า ชีวิตคนโลกนี้ มันไม่ยาวนานเลย ใครอยู่มาแล้ว ๔๐ ปีจะมีโอกาสต่ออีกไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ วัน ตัดผมอีก ๕๐๐ หน ก็หมดเวลาแล้ว

อายุขัยอันจำกัดจำเขี่ยแค่ไม่กี่หมื่นวันดังกล่าว จะเอาไปทำอะไรดี ใครมีอยู่แล้วห้าหมื่นล้านมันน้อยไป ต้องโกยเป็นแสนล้าน ไม่รู้จะมีประโยชน์กับตัวเอง ตรงไหน ในเมื่อต่อให้อยู่ต่อไปอีก ๓๐ ปี หรือ ๑๐,๐๐๐ วันเศษ แม้จะใช้เงิน วันละล้าน มันก็หมดไปแค่หมื่นล้านเท่านั้นแหละ เลยงงว่า ยังจะดูดมาให้เว่อกว่านี้ ทำไมหนอ... เพียงผลาญเงินวันละล้าน มันน่ากลุ้มเหลือทน ขนาดไหน ยิ่งคนไม่เห็นทุกข์ใครจะว่ายังไงได้ นอกจาก ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา...

พระท่านจึงสอนให้นึกถึงความตายบ่อยๆ เราจะได้ไม่ประมาท หลงใช้เวลาอันแสนจำกัดให้หมดไป การแย่งชิงสมบัติบ้ารวยไม่เสร็จ เหมือนกับเด็กโง่ เดินหน้าหาขอบฟ้า ขอบฟ้าก็เลื่อนออกไปเรื่อย เดี๋ยวนี้ ใครยังโง่งม ปานนี้อยู่หรือเปล่า... เพราะเห็นบ้านเรามีนายใหญ่ ชายหญิงกล้ารวยเป็นบ้า หาตัวจับยากจริงๆ โลกนี้ จึงมีตัวอย่าง ทางเลือกมากมาย แล้วแต่คน จะนิยมชมชอบเอาดีแบบไหน ระหว่างกล้ารวยกับกล้าจน

โดยเฉพาะจะแข่งรวยด้วยคนบ้าง คู่แข่งมันเต็มโลก ซ้ำร้ายจะกลายเป็นศัตรูคู่ต่อสู้กันเองอีกต่างหาก เอาแค่ขอรวย เงินล้านสดๆ ทันทีวันนี้เลย สำหรับเราๆ ท่านๆ คงหมดท่าแน่นอนที่จะทำได้

ในขณะเดียวกัน ถ้าจะลองแข่งจนดูบ้าง มันกลับมีทางจนได้ง่ายกว่าบ้ารวยไม่รู้เท่าไหร่ แม้นมีเงินแสน เงินล้าน เพียงสลัดออกวันนี้ ก็จนได้สำเร็จวันนี้ เหมือนพระพันธุ์แท้ ตามอย่างคนจนผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลก คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อนึ่ง พวกกล้ารวย มีคนแห่กันไปทั้งโลกอยู่แล้ว จะวิเศษแค่ไหนเชียว ดูตัวอย่างมหาเศรษฐีติดอันดับโลก ทั้งหลาย มีใครไปกราบบูชา อะไรนักหนา มีใครจดจำยกย่องเท่าไหร่

คงเทียบไม่ติดกับฝ่ายกล้าจนกล้าให้ สองพันกว่าปี โลกยังเทิดทูนบูชาพระบรมศาสดาไม่รู้ลืม แม้ฝ่ายทวน กระแสโลก จะมีพวกน้อยกว่าน้อย แต่ท้าทายกว่า เยอะแน่นอน กระทั่งพวกกล้ารวย ก็ยังนับถือบูชา พระพุทธเจ้า ผู้กลัวรวย ถึงพวกเขาจะไม่เอาอย่าง ทางกล้าจน อะไรนักก็ตาม

รวยกระจุก - จนกระจาย
จนกระจุก - รวยกระจาย

อยู่ในกรุงมักยุ่งเหยิง จนไม่ค่อยได้เบิ่งมองท้องฟ้ามากนัก ฟ้าในเมืองหมอกควันเต็มไม่ค่อยมีชีวิตชีวา ไม่เหมือน บ้านนอก ท้องทุ่งฟ้ากว้าง ยามเช้าฝูงนก บินออกหากิน เป็นหมู่ๆ ตกเย็นบินกลับรังเป็นหมู่เหล่า ต่างพึ่งตัวเอง ออกแรงบินหาอาหารตามธรรมชาติ

ช่างผิดกันลิบลับกับคน ยิ่งพวกในเมืองกลายเป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่ได้ทำปัจจัยสี่เลี้ยงตัวเอง เพราะดูถูกว่า เป็นงานต่ำต้อย เลยหนีไปเลือกงานดี ทำเงินได้แพงกว่า แล้วค่อยใช้เงินซื้อข้าวที่ตาสีตาสาทำอีกทีหนึ่ง พวกเขานึกว่า มันเป็นวิธีฉลาดได้เปรียบดีแล้ว ที่แท้หารู้ไม่ว่า มนุษย์เงินเดือน ตกเป็นขี้ข้ารับ ใช้นายทุน ให้สามารถขูดรีด เอาเปรียบกว้างไกล หนักขึ้นอีก เรียกง่ายๆ ว่า โดนเงินจูงจมูกให้ทำงาน

ลำพังทำมาหากินเพื่อปัจจัยสี่ ชีวิตที่มีเศรษฐกิจพอเพียงเลี้ยงตนโดยพึ่งตัวเอง งานแค่นี้จะหนักหนา สาหัส ขนาดไหน มันก็ไม่ยุ่งวุ่นวายนรกแตก เหมือนที่บ้าทำมาหาเงิน กันอุตลุด คนเมืองสมัยนี้ ไม่ต้องหาบน้ำ ตำข้าว หาฟืน เที่ยวเก็บผักหญ้า งานก็เบาไม่ต้องก้าวเท้าแกว่งแข้งขา โยกมือยกไม้ แบกหามอะไรมาก มันประหยัดแรงเก่งนัก เลยจะเป็นง่อยเอา เสร็จแล้วต้องหาเรื่องเสียเงิน ออกกำลังอีกต่างหาก ซวยกี่ต่อ ไม่รู้ซี

เมื่อมีเวลาว่างเยอะนักทั้งแรงเหลือใช้คนสบายเกินไปมันจะพาเครียดง่ายเหมือนกันผิดกับคนทำงานทั้งวัน สายตัวเป็นเกลียว แทบขาดไม่เหลือเวลาที่ไหน ว่างพอไปคิดมาก กลุ้มนั่นทุกข์นี่ แน่นอน ถึงตอนหมดแรง เหนื่อยอ่อน ต้องพักผ่อนกายา พอล้มตัวหัวถึงหมอน หลับเป็นตาย หลายคนติดโรคนอนไม่เป็น ต้องกินยา นอนหลับเสียก่อน ค่อยนอนหลับได้ มันเป็นปัญหาของคน คิดเก่งเกินไป จนไม่มีปัญญา หยุดคิดพักหัว ตัวเองบ้าง จึงน่าสงสาร คนเก่งไม่จริง...ยิ่งพวกยึดดีถือดีมากเกินเท่าไหร่ ย่อมเครียดเก่งมากเท่านั้น ความดี จึงมีละเอียด ความเกลียดพึงละก่อน พ่อท่านสอนไว้

ย้อนเข้าเรื่องถึงนกบินหากินเป็นฝูง สัตว์ชั้นสูงธรรมชาติหาอยู่กินกันเป็นฝูงทั้งนั้น เกาะกลุ่มพึ่งพากัน เช่น โขลงช้าง ฝูงลิงป่า มันมีจ่าโขลง หัวหน้าหมู่ ผู้นำฝูง ฝูงสัตว์เหล่านี้ ไม่มีปัญญาหากิน อย่างยุ่งเหยิง เหมือนคนเลย ในขณะที่มนุษย์ถือตัวว่า ประเสริฐเลิศยอด กว่าสัตว์เดรัจฉาน เสร็จแล้วพวกมนุษย์ ด้วยกันเอง ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ ในการหาอยู่หากิน สาหัสสากรรจ์ มากกว่าเดรัจฉานไม่รู้กี่ร้อยพันเท่า มนุษย์ฉลาดจริงรึเปล่า บ้างไหมเอ่ย... มันน่าคิดให้ลึกซึ้ง ไม่ใช่เล่นๆ

เพื่อไม่ให้อายขายขี้หน้าฝูงนกกาไก่ลิงช้างกวางม้า ที่รวมกันอยู่เป็นหมู่เหล่า คนก็รู้จักรวมตัวกันอยู่ เป็นหมู่บ้าน ละแวกคุ้ม ชุมชนมาแต่ไหนๆ ถือว่ามาถูกทางแล้ว แต่เริ่มเดิมทีเราอยู่ในสังคมกสิกรรม ต่างทำนา ทำไร่ ขยันประหยัด ไม่เป็นทาสอบายมุข มันก็เหลือกินพอใช้ เศรษฐกิจพอเพียง

พอเข้ายุคอุตส่าหากรรม งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข กระทั่งแย่งกันหาเงินโกลาหล อะไรๆ เลยเป๋ ยิ่งเปี๋ยนไป๋ อย่างแรง ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ป่าเขาเขียวสด ธรรมชาติหายไปเกือบหมด เหลือล้นก็น้ำเน่า จะมีข้าวผัก ก็สารพิษเพียบ

ไม่รู้เร่งรัดพัฒนาประสาอันใด ไม่ทันถึง ๕๐ ปี ธรรมชาติถึงพินาศสิ้นเห็นปานนี้

นี่เป็นฝีมือของลัทธิทุนนิยม อันเอาเงินเป็นตัวตั้ง ดังพระเจ้าตัวจริงของเขาก็ว่าได้

ตัวอย่างที่น่าเจ็บแสบอันอันหนึ่งคือ น้ำไฟ เมื่อบ้านเมืองยิ่งพัฒนา น้ำไฟต้องอุดมเหลือล้น ถึงจะถูกต้อง แต่มันกลับ ตาลปัตร คือยิ่งขาดแคลน ไม่เคยพอ หรือเหลือใช้สักที นี่เพราะอะไร ถ้าไม่ใช่บริโภคนิยม โทษฐาน ชอบอยากแข่งกันกิน แจกใช้เปลืองดีนัก มันน่าสมน้ำหน้า ถ้าไม่ใช่คนขี้โลภ ทุกตัวตน และ แล้วผู้ใด ต้องตายก่อนกัน คนมีหรือคนจน...

ความเจริญหรูหราของเศรษฐกิจทุนนิยม ซึ่งเป็นภาพลวงตาสิ้นดี ไปดูสินค้าน่ากินชวนใช้หลากหลาย ตามห้างใหญ่ ล้วนสนองกิเลสตัณหา คนมีสตางค์หัวสูง ขณะเดียวกัน ก็หลอกล่อ ดูดเงินกระเป๋าคนจน ที่บ้าเห่อ ตามแฟชั่นไปด้วย สำหรับคนรวยโดนหลอก เขาเต็มใจภาคภูมิ ไม่ต้องห่วง สำคัญที่คนจน อยากสะเออะตามแห่ มันน่าเศร้า

ด้วยเหตุนี้ ผลพวงของลัทธิมือยาวสาวได้สาวเอา ปลาใหญ่กินปลาเล็ก แน่นอนปลาซิวปลาสร้อย มันจึงกลาย เป็นเหยื่อที่น่าสงสาร การแข่งกันรวย มันช่วยให้คนรวย ได้หยิบมือเดียว แล้วกว่าจะสร้างคนรวย ให้แจ้งเกิด ได้หนึ่งคน มันต้องมีคนจนลงไป นับร้อยนับพัน ประมาณนั้น เป็นอย่างน้อย

บรรดาทรัพย์สิน ดิน น้ำ ลมไฟ อีกสารพัดข้าวของทองเงินต่างๆ ล้วนมีอยู่จำกัดทั้งสิ้น เมื่อถูกดูดให้ไปโป่ง อยู่มุมหนึ่ง ส่วนอื่นๆ ก็ต้องแฟบยุบลงเป็นธรรมดา

การแย่งกันเอาเปรียบ เพื่อรวยวันรวยคืน จนรวยไม่เสร็จ มันหนีไม่พ้นที่จะต้องเบียดบัง ขูดรีดกินแรง หยาดเหงื่อ ของผู้คนนับไม่ถ้วน ลำพังทำมาหากิน สร้างสรรสิ่งจำเป็น กินใช้ปัจจัยสี่ ข้าวผ้ายาบ้าน ด้วยลำแข้ง ลำขาตัวเอง ขยันให้ตายคามือยังไง ก็ไม่มีวันรวยล้นเป็นร้อยล้านพันล้านดอกน่า

แต่เพราะความฉลาดเป็นกรดของทุนนิยม วิถีทำมาหาเงิน เชิงซื้อขายแลกเปลี่ยนยักย้ายถ่ายเทซ่อนเล่ห์กล ฟาดฟันกำไร ได้เปรียบเท่าไหร่เป็นเยี่ยม นักธุรกิจเลยแข่งกันรวยได้เป็นวรรคเป็นเวร ซ้ำร้ายยกย่องชูเชิด เป็นนักธุรกิจ ดีเด่นแห่งปี ว่ากันไปตามประสาลัทธินิยมทุน ห่วงแต่ว่ามันกลายเป็นทำนาบนหลังคน ขนาดไหน กันเนี่ย... โดยเฉพาะการฉกฉวย แย่งชิงเชือดเฉือน เหมือนดูดเลือด กินเนื้อเถือหนัง เพื่อนมนุษย์ ร่วมแผ่นดินเดียวกัน มันเป็นการกระทำของมิตร พึงทำกับมิตร อย่างนั้นหรือ...

หากคนเราอุตส่าห์เข้าใจฉลาดรวมกันอยู่เป็นหมู่เหล่า เผื่อช่วยเหลือเมื่อเดือดเนื้อร้อนใจในการหาอยู่หากิน เสร็จแล้วกลับมาพลิกผัน ห้ำหั่นกันอย่างเลือดเย็น โดยคนไม่รู้ทัน คือสงครามธุรกิจ สนามการค้า ที่เปลี่ยนรูป แปลงร่าง มาจากสนามรบ อันฆ่าทิ้งตายเปล่าๆ สู้เอามาเป็นทาสเศรษฐกิจ ที่ปล่อยไม่ไปดีกว่า แบบนี้ จะสุมหัวรวมตัวกันอยู่ เป็นเหยื่อใครทำไมให้โง่เง่า สู้แยกย้ายกันอยู่ไกลห่าง ต่างคนต่างหากิน ทำข้าวผ้ายาบ้าน เอาเอง ตัวใครตัวมัน จะแบ่งงานกันทำอิหยัง ให้เกิดชนชั้นศรีธนญชัย สบช่อง จ้องแบ่ง งานเบาๆ ทีแบ่งเงินพวกเอาเงินหนักๆ ใครไม่ยอมพึ่งตน เป็นไทแก่ตัวเอง จำต้องก้มหน้าก้มตาเป็นทาส ทุนนิยม ดักดานไปทั้งชาติ เวรกรรมของ สัตวโลก เมื่อไหร่จะรู้สักที!

ชาวนาทำนาบนผืนดินพระแม่ธรณี ค่า-นิยมสังคมชอบเหยียดหยามว่าต่ำต้อยด้อยศักดิ์ศรี ไม่มีเกียรติเพราะ เงินน้อย ไม่ดีเลย แต่ทุกคนก็ต้องกินข้าว ของชาวนาทุกวัน

หันไปดูอีกด้าน ธุระกิจทำนาบนหลังคนต่างๆ ทั้งหลาย แข่งกันรวยเอาเป็นว่าเล่น ดูแต่เม็ดเงิน คงน่าเพลิน ภูมิใจในตัวเลข หรือแผ่นกระดาษ

ผลพวงทำนาบนดินโดยเสียสละ กับ ผลกำไรทำนาบนหลังคนโดยเอาเปรียบ อันหนึ่งทำนาหากิน อีกอันทำเงิน หารวย ธรรมดาโลกนิยมชมชอบ ทำเงินมากกว่า ข้อสำคัญคือ แล้วตัวเราจะเข้าข้างไหนดี...

ใครๆ คงตอบถูกว่า เสียสละเป็นความดี เอาเปรียบเป็นความเลว แต่ชีวิตจริงทำอะไรมากน้อย

ถ้าคนเชื่อบาปบุญกรรมเวรมีจริง คงจะต้องละอายใจและน่ากลัวหัวหดอีกเยอะ กับวิถีทำมาหารับประทาน ที่แย่กว่า เดรัจฉานไม่รู้กี่มากน้อย...

ตกลงอยากจะฟันธงตรงประเด็น ทุนนิยมเสรีแม้จะเก่งกล้าสามารถสร้างสารพัดสะดวกด้วยเทคโนก้าวไกล พร้อมกันนั้น มันไม่วายมีผลข้างเคียง ร้ายกาจเกินคาด ไม่อาจรู้ทันปัญญาชนปนยาบ้า จะก้าวหน้าวัตถุ วิเศษวิโส ถึงไหนก็ไม่ว่า แต่ถ้านำพาจิตวิญญาณต่ำทราม แข่งกับเสือ สิงห์ กระทิง แรด ให้ชิดซ้ายไปเลย มันจะไหวหรือ ท่านที่เคารพ...

จึงอย่าประหลาดใจเลย ทำไมหนอยิ่งพัฒนา เงินยิ่งเฟ้อ คนเบี้ยน้อยหอยน้อยมีเงินได้นิดหน่อยพลอยตาย หย่างเขียด นี่ผิดทางแล้ว ถ้าทุกคนมันทำ ข้าวผ้ายาบ้าน สารพันจำเป็นของกินใช้ ได้มากกว่า ที่แต่ละคน แบ่งซื้อแบ่งปัน ไปกินไปใช้ ข้าวของสินค้าสารพัด มันมีแต่จะเหลือเฟือทุกวันคืน ราคามันจะแพงขึ้น ได้อย่างไร นับวันแต่จะถูกลง ถูกลง ค่าเงินจะต้อง แพงขึ้นต่างหาก ถึงจะคุยได้ว่าพัฒนามาถูกทางแม่นแล้ว นี่สิคือ เศรษฐกิจพอเพียง บุญนิยม ทุกคนรวยพอกินพอใช้ ไม่มีสลัม ไม่มีคนจรจัด ตกงาน ไม่ได้ยินใคร หนี้อ่วม โดดตึกตาย จนกระจุก รวยกระจาย มันต้องพรรค์นี้ ห้าสิบปีก่อน ถอยหลังไปไม่ต้องนาน เงินเดือน
ข้าราษฎร เริ่มต้น ๔๕๐ บาท อยู่กันได้ทั้งบ้าน ทองบาทหนึ่งไม่ถึง ๔๐๐

เศรษฐศาสตร์ทุนนิยม ใช้ตัวขี้โลภจูงใจให้คนแข่งรวยหากำไร กระตุ้นตัณหายิ่งยุให้คนบ้าเห่อกินมาก ใช้เปลือง เพื่อเดินเครื่อง เศรษฐกิจสะพัด พาซื้อง่าย ขายคล่อง เชื่อกันอย่างนั้น มันได้ฉาบฉวย ข้าวของ เลยแพงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยฝีมือพวกกินใช้ผลาญพร่า มากกว่าทำออกมาแลกเปลี่ยน พอข้าวของขาดแคลน ฝืดเคือง พวกฉวยโอกาสได้ที โก่งราคาทำกำไร ในขณะที่ค่าแรงกรรมกรถูกกด เงินเฟ้ออ่อนๆ ที่ชอบใจกัน มันก็พลิกผัน เป็นฟองสบู่แตก กระแทกเงินเฟ้อ หลุดอย่างแรง คนรู้แกวปั่นราคาปั่นหุ้นกักตุนสินค้า ถูกช่อง ถูกหวย รวยเละไป ทุนนิยมถึงช่วยให้รวยกระจุก เพิ่มทุกข์ยาก ให้คนจนกระจาย ขยายหนี้ท่วมหัวทั่วไทย เช่นนี้แล

เมื่อเกิดชัดแจ้งว่า ทุนนิยมยิ่งจำเริญสำเร็จผลมากเท่าไหร่ มันหมายถึง คนรวยหยิบมือเดียว แข่งกันรวย ล้นฟ้า ในขณะที่คนจน ต้องจนกรอบถ้วนหน้า เต็มแผ่นดิน โดยเป็นมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ ซึ่งได้ค่าจ้าง พอยาไส้ ไม่อิ่มท้องก็เยอะ ส่วนมากไม่มีที่ดินทำกิน พึ่งตัวเองไม่ได้ด้วย ต้องแออัดยัดเยียด อยู่ในเมือง ดีแต่ขายแรง ไปวันๆ จนเกษียณ

สังคมทุนนิยมยิ่งพัฒนา ช่องว่างชนชั้นยิ่งถ่างห่างกว้างขึ้นทุกที ครั้นจะปล่อยให้คนจนทุรนทุรายตายทั้งเป็น มากเกินไป คนรวยก็จะเสวยสุข ไปได้ไม่รอด จึงจำเป็นอยู่เอง ที่จะเลี้ยงทาสเศรษฐกิจ ให้มีชีวิตพอรับใช้ พวกตนต่อไป ระบบสังคมสงเคราะห์ และประกันสังคม ถึงเกิดขึ้นเพื่อบรรเทาทุกข์ ของคนยากไร้บ้าง

ระบบสังคมนิยมต่างๆ ทั้งวิธีสหกรณ์ก็ดีกลายเป็นทางเลือก เข้ามาแก้ปัญหาทุนนิยมที่ล้มเหลว ซึ่งจะพูดไป ให้เมื่อยทำไม กับการกระจายรายได้ ดูมันตลกสิ้นดีเปล่าๆ ในเมื่อพวกเขา ตั้งใจดูดเงิน ให้เข้าเป้าเท่าไหร่ ไม่เคยพอเลย แล้วผู้ใดจะไปดึงเงินกระจุกที่ไหน จากใคร มากระจายให้คนเล็ก คนน้อย มันสวนทาง เป็นไปไม่ได้เห็นๆ เป็นไปได้แค่โปรยหว่าน ประชานิยม พอเป็นพิธี ผักชีโรยหน้ายาหอมแก้ลม หลอกต้ม ชาวบ้าน ไปวันๆ

แม้ว่าสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์จะพังครืนเพราะฝืนธรรมชาติสุดโต่งเลยดี เพียงใช้แก้ขัดอยู่ได้หลายสิบปี เหมือนกัน โดยเฉพาะคน มันไม่มีปัญญาศรัทธา กล้าเสียสละ ไม่เต็มใจจึงทำได้อยู่พักเดียว พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ ยังเสียดายคาร์ลมาร์กซ์ มักแก้แต่ระบบ สู้ทำแต่วัตถุ โดยมองข้ามจิตวิญญาณ อันเป็น ประธานสิ่งทั้งปวง ถ้าเขามาศึกษาวิถีพุทธ มันจะครบเครื่อง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ และสังคม จะแก้ปัญหา ฉลุยไปโลด

กล่าวคือ ในเมื่อกระแสโลกมันแย่งกันเอาท่าเดียว ทางแก้ลำก็ต้องสร้างค่านิยมแข่งกันให้ขึ้นมา ให้จงได้ นั่นเอง โลกมันเอียงไปข้างหนึ่ง เราต้องช่วยถ่วงดุล อีกด้านหนึ่ง ท่านว่าคนกล้าให้กับคนกล้าเอา อยู่ด้วยกัน ได้ดี ไม่เป็นศัตรูคู่กัดทำร้ายกัน

ในสังคมพุทธ เริ่มเดิมที่เรามีของกลางสงฆ์ พระมีสมบัติติดตัวเล็กน้อยแค่บาตรจีวรกับบริขารเบ็ดเตล็ด ไม่กี่ชิ้น ของใช้จำเป็นอื่น มีอยู่ในวัดไว้แบ่งปันให้พระ เมื่อต้องการ แม้อาหารบิณฑบาตมาได้ ก็ควรกองรวม แบ่งแจกภัต อีกทีหนึ่ง ยิ่งฉันรวมบนศาลา พร้อมหน้ากัน มันเป็นตัวอย่างชัดเจ นของสาธารณโภคี

นอกจากของกลางเพื่อพระสงฆ์ใช้แล้วของวัดหลายอย่างเช่น ถ้วยชามหม้อโต๊ะเก้าอี้ ชาวบ้านงานมักมายืม ของวัด ไปใช้ เป็นประจำ ของกลางสงฆ์ จึงมีประโยชน์ถึงชุมชนด้วยบ้าง

เคยมีตัวอย่างครั้งพุทธกาลมากมายเช่น อุบาสกผู้กล้าให้ใจถึงมีดวงตาเห็นธรรม เป็นพวกช่างไม้ชื่อ อิสิทัตตะ กับ ปุราณะ ทั้งสองมีคุณธรรม โสดาปัตติยังคะ ๔ คือเป็น พระโสดาบัน เพราะศรัทธาไม่หวั่นไหว ในพระพุทธ พระธรรม พร้อมพระสงฆ์ ตลอดทั้งมีจาคะ ไม่ตระหนี่ยินดีสละ ควรแก่การขอ กล้าให้ทาน ด้วยใจถึงศรัทธาเต็มๆ คือไทยธรรมทุกอย่าง ในตระกูล (สมบัติ) เป็นของไม่แบ่งแยก กับท่านผู้มีศีล มีธรรมอันงาม นิยามของความไม่แบ่งแยก ท่านอุปมาเหมือนว่า ชาวโกศลมีจำนวนเท่าไร ก็เฉลี่ยแบ่งปัน ให้เท่าๆ กันปานนั้น (ข้อมูลถปติสูตร พระไตรปิฏก เล่ม ๑๙)

รวมความมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เมื่อจะต้องรวมกันอยู่เป็นหมู่กลุ่มชุมชน แต่ละคนจำเป็นต้องเป็นมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี อันเป็นทั้งหมดทั้งสิ้น ของศาสนา ทุกวันนี้คนเมืองกรุง ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกัน อยู่แบบ ตัวใครตัวมัน แต่ต่างหาทางเอาเปรียบ สุดลิ่มทิ่มประตู ทางรอดของผู้คน จึงขึ้นอยู่กับว่า จะเลือก อยู่ในสังคมไหนดีกว่าเอ่ย

หมู่เหล่าอันน่าเข้าร่วมด้วยช่วยพึ่งพาอาศัยได้ดี มันสำคัญที่คนมีคุณภาพสมานฉันท์ดังทำนองพี่น้องสมัคร รักใคร่ จากไปให้คิดถึง กล่าวคือ

สาราณียะ ชวนระลึกถึงเสมอ
ปิยกรณะ เป็นที่น่ารักใคร่
ครุกรณะ เป็นที่เคารพนับถือ
สังคหะ เข้าหมู่กลุ่มกลมกลืน
อวิวาทะ ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง
สามัคคียะ สมานฉันท์น้องพี่
เอกีภาวะ อันหนึ่งอันเดียวกัน

คุณธรรมพึงปรารถนาทั้ง ๖ ข้างต้น เกิดจากผลพวงปฏิบัติตัวเองตามวิถีสาราณียธรรม ๖ ได้แก่ เมตตา กายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม สาธารณโภคี ศีลสามัญญตา และทิฏฐิสามัญญตา โดยทำตัว สมัครสมาน กับหมู่สหายธรรม ทั้งต่อหน้าและลับหลังเสมอต้นชนปลาย

อย่างไรก็ดี หลักสาธารณโภคีสมัยพระพุทธเจ้าทรงนำพาปฏิบัติยังคงจำกัดในแวดวงหมู่สงฆ์เป็นหลักใหญ่ ยังไม่ขยายออกนอก ถึงพุทธบริษัทอุบาสกอุบาสิกา ท่านว่าสังคมยุคนั้น ปัญหาเศรษฐกิจ ไม่รุนแรงเหมือน สงครามธุรกิจ ในสมัยนี้ ทั้งยังมีระบบศักดินา ข้าทาสเข้มแข็ง ผู้คนยังไม่รู้เดียงสา กับประชาธิปไตย หรือสิทธิมนุษยชน อะไรเลย

ผิดกันไกลกับทุกวันนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องซิ่งหาทางออกนอกสงครามเศรษฐกิจมหาโหดแทนที่จะบ้าเห่อ แข่งรวย ให้ซวยบรรลัย ซ้ำร้าย เลือดตาแทบกระเด็น กว่าจะรวยได้ขนหน้าแข้งใครบ้าง

ดังนั้น หากหันมาหาเศรษฐกิจพอเพียงพึ่งตนเองพร้อมหมู่คณะศรัทธา มีทางหายห่วงอนาคตได้ง่าย ด้วยหลักประกัน สาธารณโภคี อันเหนือชั้นกว่าระบบคอมมูนของจีนที่ล้มเหลวไม่เป็นท่าไปแล้ว ในทุกชุมชน ชาวอโศกทุกวันนี้ สมบัติทุกอย่างเป็นของกลาง ทุกคนช่วยกันทำแบ่งปันกินใช้ ไม่มีอดอยากปากแห้ง ไม่มีใครผลาญเพราะหมู่บ้าน ปลอดอบายมุขทุกชนิด ทุกคนถูกล้างสมองให้ขยันกล้าให้ ไม่กล้าเอามาก เพราะไม่หนาพอ เหมือนคนใหญ่คนโตในวงการไหนๆ ใครจะเข้าใหม่เข้าเก่ารายได้เท่าเทียมกัน เพราะ กระจาย รายได้ ไม่มีใครเหมือน ต่างมีสิทธิ์กินใช้ เหมือนได้อยู่ในครอบครัวใหญ่ทั้งชุมชน คล้ายอย่าง ชาวจีน กินอยู่แบบกงสี ในครอบครัวตระกูลยุคก่อน แต่ระบบกงสีอยู่ไม่นาน พอพ่อแม่แบ่งสมบัติ หลักประกัน กงสี เลยไม่มีเหลืออีกต่อไป

ส่วนระบบสาธารณโภคี เป็นวิถีแก้จน ให้คนไม่ตกงาน ทั้งประกันอนาคตชีวิตเบ็ดเสร็จอีกต่างหาก โดยเฉพาะ หลักประกัน สาธารณโภคี นับวันยิ่งงอกงาม ด้วยความสามารถ ของขบวนการกลุ่มอาริยชน รุ่นต่อรุ่น สืบทอดเจตนารมณ์กันไป ไม่ขาดสาย เชื่อมั่นได้ว่าสาธารณโภคีวิถีพุทธบริษัทนี้ จะยั่งยืนไพบูลย์ จริงแท้ แน่นอนกว่ากิจการ บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ทั้งจะอยู่ยง สร้างสรรเหนือชั้นกว่ามหาศาลสมบัติ ตระกูลดัง ต่างๆ ฟังแล้วเหมือนฝัน ถึงประหนึ่ง โลกพระศรีอาริย์น้อยๆ นั่นเทียว...

สาธารณโภคี เป็นวิถีอาริยชนช่วยแก้จนทันตาเห็น เพราะสานฝันให้เป็นจริงได้ทุกคนเลย ขอเพียงใจถึง ซึ้งปัญญา ศรัทธาพอ...

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๒ กันยายน ๒๕๔๘ -