# สามคนพูดถึงเสือ
สมัยที่จีนยังแบ่งเป็นก๊กมากมายและต่างรบพุ่งชิงกันเป็นใหญ่เนืองๆ ครั้งหนึ่งรัฐเว่ยทำศึกแพ้รัฐจ้าว จำต้องส่งพระราชบุตร และขุนนาง "ผังกง" ไปเป็นตัวประกัน ที่เมืองหานตานของรัฐจ้าว ก่อนออกเดินทาง ผังกงได้ทูลถามกษัตริย์แห่งรัฐเว่ยว่า "ถ้ามีคนวิ่งมาทราบทูลพระองค์ว่า มีเสือตัวหนึ่งออกมาเดินอยู่ในถนน พระองค์จะเชื่อไหม" กษัตริย์แห่งรัฐเว่ยตอบว่า "ไม่เชื่อ เพราะเสือต้องอยู่ในป่า" ผังกงทูลถามต่อว่า "ต่อมาถ้ามีคนวิ่งมากราบทูลอีกว่า มีเสือตัวหนึ่งเพ่นพ่านอยู่กลางถนน ขอให้พระองค์ ส่งทหารไปปราบเสือเถิด จะเชื่อไหม"กษัตริย์หยุดคิดแล้วตอบ "ไม่เชื่อ เสือต้องอยู่ในป่า มิใช่มาเพ่นพ่าน อยู่กลางถนน" คราวนี้ผังกงถามรุกต่อว่า "ในบัดนั้นเอง มีคนวิ่งกระหืดกระหอบมากราบทูลว่า มีเสือตัวหนึ่ง กำลังอาละวาด อยู่กลางถนน ขอให้ส่งทหารไปปราบโดยด่วนเถิด พระองค์จะเชื่อไหม" กษัตริย์ตอบว่า "เราเชื่อแล้วเพราะมีคนยืนยัน ตั้งสามคน เช่นนี้ ย่อมเป็นจริง" ผังกงจึงกราบทูลว่า "ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าเสือต้องอยู่ในป่า แต่เมื่อมีคนสามคนมากราบทูลว่า เห็นเสืออยู่กลางถนน พระองค์ก็ทรงเชื่อว่าจริง บัดนี้ข้าพระองค์จำต้องไปเมืองหานตาน ผู้ที่จะกล่าวร้ายข้าพระองค์ ย่อมมิใช่ เพียงสามคนหรอก เมื่อพระองค์ได้ฟังคำคนเหล่านั้นแล้ว ขอได้โปรดชั่งพระทัยเถิด เพื่อความเที่ยงธรรมในตัวของพระองค์เอง หาใช่ของผู้ใดไม่" เรื่องใจนี้สะท้อนให้เห็นความจริงในทุกยุคสมัยเล่ห์กลไม่เคยหมดไปจากวงการเมือง ผู้บริสุทธิ์ที่ภักดีต่อ ชาติบ้านเมือง มักตกเป็นเหยื่อของคนชั่วร้าย เพราะ "ความเท็จที่พูดซ้ำๆ กันหลายๆ คนย่อมกลายเป็นความจริงได้เสมอ"... "ชมรมคนรู้ทันทักษิณ" ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือจากความไม่พอใจของประชาชน แต่มันเป็นไปเพื่อหวังผลทางการเมือง พยายาม ล้มล้างรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างต่อเนื่องจนกว่าสำเร็จ...
๏ สมบัติ ตั้งก่อเกียรติ กรุงเทพฯ

- ใคร่ขอฝากข้อสังเกตว่า ไฉน "ชมรมคนรู้ทันทักษิณ" จึงมีศักยภาพชวนเชื่อความเท็จเพื่อล้มล้างรัฐบาลได้ ทั้งที่รัฐบาล ซึ่งมีอำนาจรัฐ และสารพัดสื่ออยู่ในมือ พรั่งพร้อมทั้งองครักษ์เจนจัดวิทยายุทธ์ แต่มิอาจต่อต้านได้ น่าคิดได้ ๒ นัย นัยแรก ประชาชนเห็นว่ามีมูลความจริงน่าเชื่อถือ หรืออีกนัยหนึ่งสารพัดสื่อในมือรัฐและองครักษ์พิทักษ์นาย ไร้น้ำยา มิอาจต่อต้าน ข่าวลวงได้ มองกลับไปอีกมุมหนึ่ง จะไม่มีใครเพ็ดทูลท่านนายกฯ เรื่องเสือโหยออกจากป่ามาอาละวาดในเมืองบ้างเลยหรือไร ท่านจึงย้ำแล้ว ย้ำอีกว่ามาถูกทางแล้ว



# แพะ
ผมมีโอกาสไปจังหวัดนราธิวาส พบหญิงอิสลามวัยน่ารักและขอถ่ายภาพเธอไว้เป็นที่ระลึก ฟังเธอพูดแล้วอึ้ง ทึ่งในสติปัญญา เฉียบแหลม
ขอถ่ายทอดให้อ่านดังนี้ "ดิฉันชื่อ ฮันนาน ฟาติมะ นักศึกษามหาวิทยาลัย ศึกษาด้านปรัชญาศาสนา เห็นปัญหาภาคใต้มา ตั้งแต่จำความได้ เป็นเรื่องผงเข้าตา เช่น ข้อความบนปีกนกกระดาษสันติภาพ ร้อยล้านกว่าตัว หาใช่จะมีแต่ลายเซ็น ของผู้ใหญ่ คนร่ำรวยในแผ่นดิน ที่อ้างนักอ้างหนา ว่าจะอนุเคราะห์โชคให้คนที่เก็บนกตัวนั้นได้ เป็นถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม เพราะสิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง ในศาสนา อิสลาม และชนมุสลิม พึงรับไม่ได้ อย่าไปหยิบยื่นให้พวกเขา และผู้นำหรือผู้ปกครอง จำต้องให้ความเป็นธรรม แก่ราษฎร จะลำเอียงหรือหลอกลวงมิได้อย่างเด็ดขาด ที่ดิฉันพูดนี้คืออัลหะดิษ" ในการประชุม รัฐสภา ที่ผ่านมา บรรดา ส.ส. และ ส.ว. โดยเฉพาะจากภาคใต้ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นเรื่องปัญหาของ ๓ จังหวัดชายแดน ภาคใต้ อย่างต่อเนื่องและมีสีสัน หลายคน รู้จริงและรู้ลึก แต่ที่ผ่านมา ในการแก้ปัญหาของรัฐบาล ไม่ได้มีการแลกเปลี่ยน และ ตอบสนอง การนำเสนอแนวทาง แก้ไขอย่างจริงจัง ปัญหาภาคใต้นั้น มาถึงวันนี้กลายเป็นปัญหาในระดับโครงสร้าง และเกี่ยวพัน เชื่อมโยงไปถึง สากลเสียแล้ว ประเด็นหนึ่ง ที่ผมสนใจ คือ การอภิปรายของคุณเด่น โต๊ะมีนา ส.ว.ปัตตานี พูดเรื่องการตรวจสอบ การปราบปราม ผู้มีอิทธิพล ในภาคใต้ และประเด็นที่สำคัญคือ ให้ตรวจสอบความเคลื่อนไหวของ ซีไอเอ. ที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เคยเปิด ประเด็นไว้ก่อนแล้ว การที่คุณเด่น โต๊ะมีนา พูดอย่างนี้ย่อมไม่ใช่เรื่อง ธรรมดาแน่นอน เพราะอย่างที่รู้กันอยู่ว่า อย่างน้อยที่สุด เขาก็เป็นแพะคนหนึ่ง ที่ถูกชี้หน้าว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังต่อปัญหานี้ รัฐบาลน่าจะสนใจอย่างแท้จริง แต่ที่แน่ๆ คุณเพชรดาว โต๊ะมีนา ลูกสาวคุณเด่นก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการสมานฉันท์ คงมีข้อมูลเชิงลึกแน่นอน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๐ อาจินต์ ปัญจพรรค์ ชนะเลิศประกวดคำขวัญว่า "สงครามคือบาป สันติภาพ คือบุญ" ได้รับรางวัล จากองค์การ สหประชาชาติ ๕๐๐ บาท ขุนประเสริฐศุภมาศ นักกฎหมายและสอนวิชาปรัชญา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ดำเนินการ ประกวดคำขวัญ กล่าวว่า "สงครามก่อบาป สันติภาพก่อบุญ และ สงคราม สร้างบาป สันติภาพสร้างบุญ" เป็นอีก ๒ คำขวัญ ที่ดีมาก...
๏ ชูเกียรติ วรรณศูทร พระนครศรีอยุธยา

- เหตุที่ ส.ว.เด่น โต๊ะมีนา กลายเป็นแพะไปได้นั้น เพราะผู้ครองอำนาจรัฐเชื่อว่าเสือทิ้งป่าเข้ามาอาละวาดในเมืองหรือเปล่าหนอ น่าเห็นใจครับ คนเมืองกลัวเสือป่า ก็อาจ หวาดผวา จนระแวงภัยเห็นอะไรๆ เป็นเสือไปหมด แล้วก็ระดมพลตีป่าล่าเสือทั้งที่ไม่รู้จักเสือ เจอแพะคิดว่าใช่แล้วๆ หารู้ไม่เสือเมือง ร้ายกว่าเสือป่าเป็นไหนๆ



# หลวงพ่อคูณ
อ่านเดลินิวส์ เห็นภาพหลวงพ่อคูณ พระเกจิดังเคาะหัวศิษยานุศิษย์ที่หลั่งไหลไปร่วมทำบุญในวันครบรอบอายุ ๘๒ ปี ที่วัดหนองบัวรอง โคราช ซึ่งท่านก็ย้ำเตือนให้ญาติโยมรักษาศีล ๕ ไม่ขาดปาก เห็นว่าสอนถูกต้องที่เน้นให้คนรักษาศีล ๕ แต่ทำไม ยังใช้วิธีเคาะหัวอยู่ ดูเป็นเรื่องงมงายมาก
๏ ลูกหลานย่าโม โคราชบ้านเอง

- เฒ่าปูนนี้ยังวุ่นไม่เว้นว่าง
คนโน้นบ้างคนนี้บ้างให้เคาะหัว
กูขี้คร้านขัดใจให้หมองมัว
ก็เคาะหัวตามใจมันยังงั้นเอง



# คาถาบูชาเมีย
ผมเห็นข้าราชการผู้ใหญ่และนักการเมืองหลายคนก้าวหน้าในราชการ หรือในทางการเมือง ถึงระดับปลัดกระทรวง เสนาบดี เพราะได้คู่ชีวิตอุปถัมภ์ ใครเป็นใครบ้างในสังคมก็คงรู้กันอยู่ เพราะโดดเด่น โด่งดัง ฉาวไปทั้งแผ่นดิน
๏ โสด ห้าสิบหก ชัยภูมิ

- เรื่องของชาวบ้าน บ้านใครบ้านมัน อย่าไปจุ้นกับเขาเลย ถ้าตัวเองยังเป็นโสดสมชื่อ ริอ่านจะลองบ้างก็ได้ พอดีเจอเสื้อยืด ที่ลูกสาว ใช้ทำผ้าเช็ดรถ เห็นยังพอใช้ใส่ได้ก็เก็บมาซัก มีคาถาดีพิมพ์ติดเสื้ออยู่ด้วย ลองเอาไปบูชาสวดเช้าสวดเย็น และ ก่อนนอนทุกวัน สวดไปกราบไป รับรองศักดิ์สิทธิ์จนหมดสิทธิเสรีภาพเชียวละ

"รักเมียต้องอดทน ต้องเป็นคนเคารพเมีย
รักเมียต้องส่งเสีย อย่าให้เมียต้องเสียใจ
รักเมียต้องรักเดียว อย่าได้เที่ยวไปรักใคร
รักเมียต้องทำใจ ถึงอย่างไรเธอก็เมีย
รักเมียอย่าขี้เหล้า ถ้าเมียเหงาเราจะเสีย
รักเมียอย่าอ่อนเพลีย คนรักเมียต้องแข็งแรง
รักเมียอย่าเที่ยวดึก จะเกิดศึกผิดสำแดง
รักเมียอย่ารุนแรง ค่อยๆ แซงอย่าขับไว
รักเมียต้องยอมเมีย เพราะว่าเมียไม่ยอมใคร
รักเมียต้องเข้าใจ ไม่มีใครใหญ่กว่าเมีย
รักเมียอย่าเถียงเมีย คำพูดเมียใหญ่กว่าใคร
ชาติหน้ามีฉันใด จงจำไว้อย่ามีเมีย"

* บรรณาธิการ

-เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ -