สมณะเดินดิน ติกขวีโร นักรบกองทัพธรรม ด้วยปัญญาเฉียบคม แทงทะลุนัยของธรรมะอย่างเข้าใจ ประวัติ การศึกษา ** พื้นฐานชีวิตในวัยเด็ก ความสงสัย เหล่านี้ หมดสิ้นไปเมื่อได้มาฝึกฝน เรียนรู้จิตวิญญาณอันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ที่อยู่ในกายยาววาหนาคืบ ของเรานี้ ด้วยการปฏิบัติตามศีล-สมาธิ-ปัญญา ซึ่งเป็นหลักไตรสิกขาของพระพุทธเจ้า จึงพ้นความสงสัย เพราะได้เห็นนรก สวรรค์ นิพพาน อยู่ที่จิตวิญญาณของเรานี่เอง เราสามารถพิสูจน์และเข้าถึงได้ตั้งแต่ยังไม่ตาย ** เหตุจูงใจที่ทำให้บวช และอุปสรรคปัญหา กลับจากสวนโมกข์แล้วก็หันมาเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองหลายอย่าง เริ่มใช้ชีวิตคล้ายๆ พระ เช่น ไม่กินข้าวเย็น ไม่นอนฟูก ก่อนนอนก็ทำวัตรสวดมนต์ รู้สึกว่าทำให้จิตใจของเราสงบดี และเผอิญได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับประโยชน์ของอาหาร มังสวิรัติด้วย ก็ทดลอง ทำดู เลยยิ่งรู้สึกว่าชีวิตนี้เรียบง่ายสบายไปใหญ่ วันหนึ่งเพื่อนชวนไปฟังธรรมะที่ลานอโศกวัดมหาธาตุซึ่งอยู่ติดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พบพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ กำลัง บรรยายธรรมเป็นเชิงสากัจฉา แบบโต้กันไปโต้กันมากับอาจารย์ไสว แก้วสม ในสมัยนั้นยังหนุ่มทั้งคู่ ฟังแล้วมันมาก ก็ยิ่ง ประทับใจ ในศาสนา ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำชีวิตของเราให้สงบและเรียบง่ายยิ่งขึ้น ฝึกกินอาหารวันละหนึ่งมื้อ และถือศีลแปด อย่างเคร่งครัด ทำไปๆ ไม่นานก็รู้สึกว่าชีวิตง่ายอย่างนี้เราไม่น่าเสียเวลาอยู่กับสิ่งที่ไร้สาระทางโลกเลย น่าจะหันมาศึกษาธรรมะ เอาชีวิต ของเรา มาทดลองปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้า ซึ่งจะทำให้ชีวิตพ้นทุกข์ได้ดียิ่งกว่า ก็เลยไปขออนุญาตทางบ้าน หยุดการศึกษาทางโลก เอาไว้ก่อน ขอเอาชีวิตมาศึกษาทางธรรมให้เต็มที่ โยมพ่อไม่ว่าอะไร คิดว่าลูกโตแล้ว ก็ให้อิสระเต็มที่ ส่วนโยมแม่ไม่ยอม เพราะอาตมาเป็นลูกชายคนเดียว ยื่นคำขาดว่า ถ้าบวชเมื่อไหร่ ก็ตัดขาด แม่ลูกกัน สุดท้ายจริงๆ ก็ประนี ประนอมกันได้ เพราะแม่ตัดลูกได้แต่ปากเท่านั้น จะลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ยังไงๆ ใจของแม่ก็ตามลูกไปด้วยอยู่แล้ว ** เข้าถึงสัจจะการบวชจริง เกิดผลจริง ** ปัญหาสุขภาพกับชีวิตนักบวช ในที่สุดอาตมาลองเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตใหม่ จากเดิมที่ไม่ค่อยสนใจไยดีกับสุขภาพร่างกาย หันมาสนใจศึกษาเรื่องอาหาร และมีอิริยาบถ เคลื่อนไหวมากขึ้น เคยฉันอาหารที่ทำให้ร่างกายเย็น ก็ปรับเป็นอาหารให้ความร้อนมากขึ้น แต่ก่อนเราทรมาน ใช้ร่างกายอย่างไม่ใส่ใจ ก็ให้ความสำคัญแก่สัญญาณเตือนจากร่างกายมากขึ้น เวลาปวดปัสสาวะ ก็รีบเข้าห้องน้ำ เมื่อยเนื้อ เมื่อยตัว ก็ยืดกายคลายเส้นบ้าง ขนาดสุนัขมันยังทำเป็นเลย สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าเราวิ่งฝ่าไฟแดงทั้งที่ร่างกายคอยบอกคอยเตือน ให้รู้ว่าเมื่อเมื่อย ก็ควรจะผ่อนคลายอิริยาบถ รู้ว่า อ่อนเพลีย ก็ควรจะพักผ่อน ถ้าอากาศหนาวก็ควรรีบอาบน้ำตั้งแต่ตอนบ่ายไม่ใช่ไปอาบอย่างทรมาน เมื่อเสร็จงานแล้ว ตอนค่ำๆ ดึกๆ เมื่อได้ปรับวิถีชีวิต โดยเพิ่มอิริยาบถเคลื่อนไหวให้มากขึ้น ฉันอาหารที่เหมาะสมกับร่างกาย จัดสมดุล ของร่างกาย อาการปัสสาวะเป็นเลือดก็หายไป ได้ข้อสรุปว่ายาและหมอวิเศษจริงๆ อยู่ในตัวเรา เราต้องฝึกเป็นหมอวิเศษ ที่ดูแลตัวเอง ปกติในตัวเรามีหมอวิเศษคอยดูแล คอยบอกคอยเตือนเราอยู่ตลอดเวลา ยาวิเศษที่สำคัญที่สุดก็คือ ภูมิต้านทาน ในร่างกายของเรา ซึ่งสามารถบำบัดโรคได้ทุกชนิด ไม่ว่าเป็นเอดส์หรือเป็นมะเร็งโรคร้ายต่างๆ ถ้าภูมิต้านทานของเราดี ก็สามารถบำบัดโรคได้ทั้งหมด แต่ต้องศึกษาเรื่องอารมณ์ดี อาหารดี ออกกำลังกายดี อิริยาบถดี ฯลฯ สรุปได้ว่า ยาดี หมอดี สุขภาพดี อยู่ในตัวเรานี่เอง ไม่มีขายอยากได้ต้องทำเอาเอง ** การบวชมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างสำคัญ เมื่อคิดเอาตนเองเป็นหลักและเอาอัตตา ของเราเป็นใหญ่ มุ่งจะละหน่ายคลายกิเลสให้ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ มันน่าเบื่อหน่าย ไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่สังขารร่างกายของตนเองก็ปล่อยให้ผอมเหมือนกระดูกเดินได้ จนเพื่อนนักบวชด้วยกันแซวว่า ระวังลมพัด ปลิวขึ้นไปอยู่บนยอดไม้ แต่เรากลับรู้สึกภูมิใจว่า นี่เป็นการปฏิบัติแบบตัดโลกธรรม เป็นการฝึกชีวิตให้อยู่เหนือ คำนินทา คำสรรเสริญ จิตที่คิดหมกมุ่นอยู่กับกิเลสทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายแม้แต่ชีวิตของตัวเอง คิดว่าจะทนอยู่กับโลกสัก ๕๐-๖๐ ปีก็พอแล้ว ถ้าดับสูญได้ ก็จะไม่ขอเกิดใหม่อีก เพราะโลกนี้มีแต่ความทุกข์ทรมาน คิดว่าสักวันหนึ่งคงต้องขอแยกตัวออกจากหมู่กลุ่ม ไปหาป่าที่สงบบำเพ็ญเพื่อเป็นพระอรหันต์ให้ได้ เพราะตัวอย่างของพระอรหันต์ที่มีในพระไตรปิฎก ก็มักจะระบุเอาไว้ เป็นสำนวนว่า "เธอออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว ไม่ช้าไม่นานก็เป็นพระอรหันต์" ทั้งหมดนี้คือภูเขาของมิจฉาทิฐิที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก ที่ได้รับการอบรมบ่มเพาะมาจากค่านิยมสังคมศาสนาของเถรวาท แต่ชีวิตพลิกผันเมื่อมาบำเพ็ญอยู่ที่ป่าศีรษะอโศก ต้องรับงานที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เพราะที่นี่มีประเพณีอบรม บำเพ็ญธรรม สำหรับฆราวาส อาตมาก็ได้ช่วยเขาด้วย ทำไปๆ ก็มีคนมาฝึกฝนอบรมตนได้ผลดีเพิ่มมากขึ้นๆ ก็คิดมาจัด ที่บ้านเกิดของตนเอง ที่อำเภอไพศาลีนครสวรรค์ ซึ่งก็มีพุทธสถานศาลีอโศกตั้งอยู่ สุดท้ายงานทั้งสองก็พัฒนา เป็นงาน ประจำปี ของชาวอโศก คืองานปลุกเสกฯ และงานพุทธาภิเษกฯ (งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ และงานพุทธาภิเษก สุดยอดปาฏิหาริย์ เป็นงานอบรมธรรมะเข้มข้นของชาวอโศก บรรจุพุทธคุณลงสู่จิตวิญญาณ ผู้เข้าร่วมอบรมถือศีล ๘ กินมังสวิรัติ วันละ ๑ มื้อ ไม่สูบบุหรี่ ไม่เคี้ยวหมาก เป็นต้น) ซึ่งเดิมจัดกันมีคนไม่ถึงร้อย ปัจจุบันนี้เพิ่มมาเป็น ๑,๐๐๐-๒,๐๐๐ คน อาตมาต้องเข้าไปรับผิดชอบ จิตวิญญาณที่เคยไม่อยากยุ่งเกี่ยว ไม่อยากเอาภาระอะไรก็ต้องมาเอาภาระ กลายเป็นแม่งาน ร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยกัน ได้เรียนรู้กิเลสของเราและของคนอื่นๆ ได้ลดความเอาแต่ใจตัว ได้เห็นประโยชน์ ของการทำงานว่า เป็นการพัฒนาตัวเองและได้ช่วยเหลือผู้อื่นไปในตัวด้วย มีความสุขมากขึ้นกว่าการที่เราจะไปจมบีบบี้ บดขยี้กิเลส ของเราอย่างเดียว และก็ไม่รู้ว่าจะหมดเมื่อไหร่ จากความบังเอิญที่ได้ออกมาขวนขวาย เอาภาระงานการของหมู่กลุ่มมายี่สิบกว่าปี เลยหมดความสงสัยว่า ทำไม พระอรหันต์ ท่านจึงต้อง กลับมาบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ เพราะขนาดเรายังไม่เป็นพระอรหันต์ ยังรู้สึกได้ว่า ชีวิตของเรา อยู่มาได้ เพราะผู้อื่น ได้ช่วยเหลือ เลี้ยงดู มีอุปการคุณทำให้เราได้พัฒนาก้าวหน้า พระพุทธเจ้าเองได้ให้ภิกษุรำลึกอยู่เสมอว่า ชีวิตของเรา เนื่องด้วยผู้อื่น เราเองจะต้องมีความสำนึกตอบแทนบุญคุณของเขา ศาสนาพุทธเสื่อมเพราะไปตัดวงจรชีวิต ของพระอรหันต์ทิ้งไป โดยกำหนดหมายให้พระอรหันต์ตายแล้วต้องดับสูญหมด ศาสนาพุทธสายเถรวาทจึงเสื่อม เพราะไม่มี พระอรหันต์สืบทอด จะเป็นพระอริยะก็ไม่ได้ เพราะทางเถรวาทถือว่า ถ้าใครบอกว่าตนเองเป็นพระอริยะ คนนั้นปาราชิกทันที ( ต่อฉบับหน้า ) -เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ - |