- เสฏฐชน - ดันทุรังลงอบาย ดูและฟังข่าวการวิจารณ์จากโทรทัศน์ช่องหนึ่งเมื่อ ก.ย. ๒๕๔๘ เกี่ยวกับกรณีผู้ใหญ่คนหนึ่ง
ในคณะบริหารของรัฐบาลชุดนี้ รื้อฟื้นเรื่อง การตั้งบ่อนคาสิโน บ่อนคือแหล่งที่ซ่องสุม สั่งสม ก่อเกิดสิ่งที่ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็น "บ่อนเบี้ย-บ่อนหนอน-บ่อนไส้"...ฯลฯ
คนไทยเราคงไม่ต้องอธิบาย ถึงที่มา ถึงที่เกิดของคำนี้กัน ให้ซ้ำปาก ซ้ำหูกันอีก
ก็ย่อมรู้แก่ใจว่าหมายถึงอะไร ดังนั้นเมื่อได้ร่างคนมาแล้ว ก็น่าที่จะสำนึกให้มากๆ ในการใช้ความเป็นคนให้สมน้ำสมเนื้อ สมตัว สมความเป็นคน มิฉะนั้นแล้วก็อาจต้องกลายเป็นอื่นไป ดังที่เราเคยได้ยินคำเขาด่าคนได้อย่างหลากหลาย จนคนที่ถูกด่าเองก็อดใจที่จะไม่โกรธ ไม่ได้ จนกระทั่ง ลืมตัว ขาดสติปัญญา หันกลับไปทำร้าย สร้างความเลว ความบาปให้แก่ตัวเองที่มีความไม่เต็มคนอยู่แล้ว เพราะคนส่วนมากมักไม่ชอบให้คนมาชี้ความผิดของตน ทั้งๆ ที่ตัวเองชอบพูดถึงความผิดของคนอื่นด้วยซ้ำ และแม้คนที่ทำผิด อยู่นั่นแหละ ก็ยังมีข้ออ้างเพื่อไม่ให้ใครมาว่ากล่าวตนว่าคนอื่นๆ เขาก็ทำผิดอย่างที่ตัวเองกำลังทำอยู่เหมือนกัน เช่นเดียวกับเรื่อง "บ่อนคาสิโน" ผู้ที่คิดเสนอ ยืนยันอยากจะให้มีขึ้นในประเทศไทยก็ด้วยเหตุผลว่าประเทศอื่นๆ เขาก็มีเหมือนกัน และ เขาก็แก้ปัญหา เศรษฐกิจเช่นเดียวกับ ที่เราคิดแก้นั่นแหละ ก็ไม่เห็นว่าประเทศเขาจะหายนะแต่อย่างใด มิหนำซ้ำประเทศเหล่านั้น ก็ยังมีเศรษฐกิจ ดีกว่าเรา มั่งคั่งกว่าเราด้วยซ้ำไป คนส่วนมากก็เชื่อ เห็นด้วย เพราะประเทศที่มีบ่อนคาสิโนเหล่านั้น คนไทยก็นิยมไปรับการศึกษา ไปอยู่อาศัย ไปประกอบอาชีพ แม้แต่ไปเที่ยว คนไทยลืมคิดให้รอบคอบว่า ชีวิตใช่จะอยู่ได้ด้วยเศรษฐกิจการเงินแต่อย่างเดียว
ชีวิตยังมีเรื่องอื่นๆ อยู่อีกมากมายนัก และชีวิตเป็นเรื่องสลับซับซ้อนยิ่งนัก
แต่ข่าวที่เราได้ยินเป็นข่าวซึ่งจัดอยู่ในประเภท "ร้ายแรง" มักมาจากคนมีเงินเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะมีเงินโดยร่ำรวยจากตระกูลเดิม หรือ ร่ำรวย จากการทำมาหากินเอง หรือร่ำรวยจากการทุจริต เห็นได้จากข่าวที่เปิดเผยเรื่องคนถูกล็อตตารี่สองสามคนที่ผ่านมาไม่นาน แม้จะได้รับเงินเป็นล้าน แต่ต้องหลบๆ ลี้ๆ หาความผาสุกไม่ได้ เนื่องจากชีวิต ถูกรบกวนจากสิ่งอื่น คนอื่นที่ต้องการเงินเหมือนกัน คนที่ร่ำรวยมาจากคิดเหลี่ยมโกง มีวิธีคดโกง ใช้เล่ห์ ใช้เหลี่ยมนานาประการ ในวงการบ่อนการพนันนั่นเองแหละ รู้ซึ้งดีที่สุด กว่าใครๆ เพียงแต่ จะเปิดเผยให้ใครฟังหรือไม่เท่านั้น เป็นความร่ำรวยบนพื้นฐานของบาปกรรม เพียงสัจจะ ข้อเดียวนี้เท่านั้น สิ่งอื่นๆ ที่ตามมา เป็นอันหมดความหมาย ที่จะยกขึ้นมาแจกแจงกันอีก เจ้าพ่อในวงการอบายมุขทุกชนิด ใช่ชีวิตจะสดชื่นสำราญอย่างแท้จริง นอกเสียจากจะทำ
"หน้าชื่นใจหู่" สงสารตัวเอง อยู่คนเดียว เพราะไม่อยาก ให้ใครรู้
ให้เสียเกียรติศักดิ์ศรีแห่งตน นอกเสียจากผู้นั้นจะคิดถึง "พระเจ้า"
บ้าง ก็อาจแอบหลบไป "สารภาพบาป" ในพิธีการหนึ่ง ตามบัญญัติของ
คริสต์ศาสนาเท่านั้น ได้อ่านคำตรัสของพระพุทธองค์ที่ว่า "คนโง่จะยังคงบันเทิงในบาป ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล" แล้วอดที่จะนำมารำลึกถึงมิได้ เพราะในยุคนี้ ยากที่จะแยกแยะดีชั่ว บุญบาป เมื่อแยกไม่ออก จึงทำชั่วโดยเข้าในว่าเป็นดี ผู้เขียนถามคนส่วนหนึ่งที่มาอบรมศีลธรรมว่า ถ้ามีเด็กสาวคนหนึ่งไป "ขายตัว" (ประกอบอาชีพโสเภณี) เพื่อนำเงินมาเลี้ยงพ่อแม่ ด้วยความกตัญญู กตเวที ถามว่า เด็กสาวคนนี้ทำผิดหรือไม่? ปรากฏว่ามีผู้ชายหลายคน ตอบว่าไม่ผิด! ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องยกคำสอนของพระพุทธองค์มาเล่าต่อว่าการขายชีวิตเป็นบาป ไม่ว่าเราจะขายชีวิตตัวเอง หรือขายชีวิตสัตว์อื่น แม้แต่ขายอาวุธ ขายยาพิษ ขายยาเสพติดให้โทษ ความกตัญญูกตเวทีเป็นเรื่องดี แต่การไปขายตัวเป็นเรื่องไม่ดี ต้องรู้จักแยกแยะให้ตรงประเด็น อาชีพอื่นมีถมเถไปที่เป็นอาชีพถูกศีลถูกธรรม ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดต่อขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมอันดีงาม พ่อแม่ ที่แท้จริงนั้น ไม่อยากให้ลูกต้องเดือดร้อน หรือได้รับโทษ รับโรค ได้ภัย รับความเหยียดหยามดูหมิ่น เพราะพ่อแม่จริงๆ นั้น จะรัก ลูกมาก จนชีวิตยังตายแทนลูกได้ ยอมอดอยาก ให้ลูกอิ่ม ตัวเองตายให้ลูกอยู่ด้วยซ้ำไป ฉะนั้นการที่ลูกสาวไปขายตัว เพื่อให้พ่อแม่ได้มีบ้านอยู่ ได้มีเสื้อผ้าใส่ ได้มีข้าวกินเพียงแค่นี้ก็คงจะผิวเผินเกินไป ยิ่งถ้าเป็นการขายตัวเพื่อได้เงินมาซื้อเครื่องบำรุงบำเรออื่นๆ ที่เราไม่ต้องมีก็ได้ เพียงแค่ความหลง "ชื่อเสียงสรรเสริญ" ความมีหน้า มีตา ไร้สาระ หรือความอยากอวดว่ามั่งมีศรีสุข แต่ต้องแลกกับความเสียศีลเสียธรรม เสียสุขภาพ เสียชีวิต มันจะเทียบค่ากันไม่ได้เลย ถ้าคนใจร้อน ใจง่ายในการหาเลี้ยงชีพ การดำรงอยู่ของชีวิตเช่นนั้น จะต้องพบกับเคราะห์กรรมอีกมากมาย ถ้าใครรู้ชัด แจ่มแจ้ง ในดอกผล ดอกเบี้ยของบาป-บุญ ก็คงจะไม่กล้าเสี่ยงไปทำ แต่เพราะคนไม่มีปัญญารู้เท่าทันในเรื่องนี้ มิหนำซ้ำยังคิดมักง่ายว่าบาป-บุญ ไม่มีตัว ทั้งๆที่ตัวบาปบุญออกมาให้เห็นชัดๆ แล้วใกล้ตัวก็ คิดไม่ออก เช่น เคยได้เห็น เคยได้ยินกันไหม คนร่ำรวยที่มีลูกเป็นคนวิกลจริต การโกง (กุหนา) หนึ่ง ความเกียจคร้าน และคนพาลก็จะแผ่เผ่าพันธุ์ ขยายพวกพ้องเพิ่มขึ้นจากอาชีพชนิดนี้ เพราะเข้ารูปรอยคำกล่าวของคนโบราณ ที่เตือน สติไว้ว่า "ของร้อนมาเร็ว ไปเร็ว" "ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน" ทั้งข้อมูลเรื่องราวที่ผ่านมา ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินว่า ผู้มีอาชีพ อย่างนี้ๆ จะดำรง วงศ์ตระกูลอยู่ชั่วนิตย์นิรันดร ฉะนั้น หากบ่อนการพนันตั้งอยู่ทั้งสี่ทิศแล้ว คงไม่ต่างจากมียักษ์ยืนเขมือบเหยื่ออยู่ทั้งสี่ทิศล่ะหรือ? ความหวังรายได้จากการพนัน ไม่ต่างจากการหวังความเย็นจากไฟร้อน พระพุทธองค์ทรงสอนให้ชาวพุทธ "เอาชนะความชั่วด้วยความดี" พระพุทธองค์ทรงสอนให้ชาวพุทธ "เอาชนะความตระหนี่ด้วยการให้" การเอาชนะรายได้น้อยด้วยการใช้เงินมากขึ้น การหารายได้ด้วยการเอาเงินไปเสี่ยงในการจ่ายมากขึ้น เป็นทางแก้ที่ถูกฝาถูกตัว ล่ะหรือ? ดูผิวเผินคงจะตอบกันว่าถูกแล้ว! แต่คงจะเหมือนวิธีแก้คนติดฝิ่น ที่ต้องให้ฝิ่นกินต่อไป แล้วคนติดฝิ่นจะยิ่งติดฝิ่น หรือเลิกฝิ่นได้กันแน่? นโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ดีที่สุด พวกเราได้รับคำตอบแล้วจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเน้นเรื่อง "เศรษฐกิจพอเพียง" น่าจะดีกว่าวิธี "เศรษฐกิจพอใจ (ข้า)" การแก้ปัญหาที่ดี น่าจะเป็นวิธี "ดึงขึ้น" ดึงทั้งคุณงามความดี ดึงทั้งคุณภาพชีวิตของประชาชน คงไม่ใช่วิธีดึงดันให้ค่าความดีต่ำลง หรือค่าความเป็นคนต่ำลงแน่ๆ เพราะพุทธพจน์จากพระไตรปิฎกเล่ม ๑๕ ข้อ ๓๓๖ เขียนไว้ว่า "บุคคลพึงรู้ว่าตนนั้นเป็นที่รัก ไม่พึงกระทำบาป ผู้หญิงคนใดบ้างอยากได้ผู้ชายเป็นพนัน แม้ว่าคนส่วนมากอยากมีเงินมากๆ อยากร่ำรวยเงินเยอะๆ แต่ในขณะเดียวกันจะมีสักกี่คนที่อยากบอกให้ใครๆ รู้ว่าตัวเองร่ำรวยจากการพนันขันต่อ หากใครคิดจะสนับสนุนสิ่งไม่ดีทั้งหลายให้แพร่กระจายออกไปกว้างขวางขึ้น ระวัง! จะเกิดผลดุจดังการขว้างปาธุลีไปทั้งทวนลมและตามลม ทั้งหมดนี้เพียงอยากเตือนสติทั้งผู้อยากให้มีอยากหาเงินอยากเล่น...ด้วยวิธีที่รัฐมนตรีคนหนึ่งในคณะรัฐบาลเสนอดึงดันออกมาอีก เท่านั้น เพราะผู้เขียนรู้อยู่ว่าคงเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้คนตาบอดมองเห็นได้ ทั้งที่ตาบอดโดยกำเนิดและมาบอดภายหลัง ทั้งเคยได้ยินมาว่า "ฟ้ากับดินห่างไกลกัน ฝั่งทะเลฝั่งนี้กับฝั่งโน้นห่างไกลกัน อาทิตย์ยามรุ่งอรุณกับอาทิตย์ยามอัสดง ห่างไกลกัน แต่ธรรมะ ของสัตบุรุษ (โลกุตรธรรม) กับธรรมะอสัตบุรุษ (โลกียธรรม) ห่างไกลกันยิ่งกว่านั้น" ขอเปิดเผยความในใจของผู้เขียนในบทความนี้ส่งท้ายว่า "อยากเห็นไทยศิวิไลซ์ในทุกด้าน -เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ - |