พ่อแม่ไหนได้สั่งสอน การศึกษาบูรณาการวิถีพุทธ เป็นองค์รวมตามหลักสัมมาอาริยมรรค เป็นวิถีชีวิตการเรียนรู้อันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ยังจะมี การศึกษาบูรณาการ สูตรอื่นฉบับใดที่สัมบูรณ์สัมฤทธิผล ครบเครื่องยั่งยืนถาวรเท่าอาริยมรรคมีองค์ ๘ ทั้งในด้านโลกียผล หรือ โลกุตรธรรม เด็กๆ ยุคนี้ เวลาทะเลาะด่าทอกัน ข้าพเจ้าไม่ทันรู้ว่าพวกเขายังนิยมด่ากันถึงโคตรตระกูลขนาดไหนรึเปล่า เอาเป็นว่าสมัยก่อน ตั้งแต่ หลายสิบปีมาแล้ว มีคำด่าที่เจ็บแสบอันหนึ่ง คือด่ากระทบถึงโคตรพ่อโคตรแม่กัน เชียวล่ะ ตั้งใจให้กระเทือนซาง ผู้มีพระคุณ เช่นว่า ไอ้พ่อแม่ไม่สั่งสอน... เด็กๆ ยุคก่อนโน้น เคยขุดโคตรเหง้ามากล่าวหาประจานกันเห็นปานนั้น ทุกคนเกิดมาได้ด้วยมีพ่อแม่ที่เคารพรักทั้งนั้น เพราะไม่ได้คลอดออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ แม้รอดออกมาจากท้องแม่แล้ว พ่อแม่ ยังต้องเลี้ยงดูตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย กว่าจะโตใหญ่จนหมาเลียตูดไม่ถึง กระทั่งโตปานนั้นจนมีเมียได้ ก็ยังต้องส่งเสีย ให้เรียนปริญญา เดี๋ยวนี้ปริญญาตรีไม่พอ ต้องต่อยอดปริญญาโทไปด้วย ทำไมถึงเกิดกระแสแห่เข้ากล่องห้อง บ้าเห่อปริญญา อะไรขนาดนั้น... เรื่องเป็นเพราะว่า พอจบตรีออกมาแล้ว มันหางานทำ ไม่ได้ แทนที่จะตกงานอยู่เปล่าๆ เลยซื้อเวลาไปต่อโทมันเสียเลย ครั้นจบโทแล้วต้องเตะฝุ่นอีก ค่อยว่ากันใหม่ คงไม่จำเป็นต้องพูดว่าการศึกษาไทย ล้มเหลวหมดท่ายังไง ถอยหลังไปร้อยปีก่อน ปู่ย่าตายายได้เรียนหนังสือที่ไหน แต่ผู้คนก็มีปัญญาทำมาหากิน ออกลูกเต็มบ้าน เลี้ยงกันมาได้ ไม่อดอยาก ปากแห้ง พ่อแม่มีอาชีพอะไร ลูกหลานก็ต่อทอดอาชีพนั้น ถ่ายทอดวิชามีการศึกษาเพื่อชีวิต ใครอยากมีวิชาชีพ อันไหน ก็ไปอยู่กินฝึกงานกับผู้มีอาชีพฝีมือนั้นๆ เช่นไปอยู่กับช่างไม้ไม่กี่ปีก็ชำนาญ จะออกมาหากินอิสระ มันทำได้เสมอ อาชีพ ช่างฝีมือต่างๆ จึงเรียนรู้กับผู้มีประสบการณ์จริง เป็นมืออาชีพจริงๆ ไม่เห็นจะยุ่งยากเปลืองเงินเหมือนทุกวันนี้ คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่แก่เฒ่าเข้าโลงกันไปแล้ว ส่วนใหญ่เป็นกสิกรรู้จักทำนาไร่สวนผัก ปลูกเผือกมันกล้วยอ้อย พึ่งตนเอง ด้วยเศรษฐกิจ พอเพียง หาเลี้ยงชีพสร้างหลักฐานบ้านช่องกันมาได้ทั้งนั้น นอกจากวิชากสิกรรมแล้ว ทุกคนเรียนรู้ ธรรมชาติ ฟ้าดิน แดดน้ำลมฝน ต้นไม้ ใบหญ้าสมุนไพรและวิถีดำรงชีพต่างๆ ทั้งหมดจากปู่ย่าตายายและชุมชน สำหรับผู้ชาย ต้องเป็น ช่างจำเป็นสารพัด หนักเอาเบาสู้ ทั้งแบกหามหรืองานจักสานซ่อมสร้างจิปาถะ ทั้งผู้หญิงยิ่งต้องเป็นงานในบ้าน นอกจาก งานครัว เลี้ยงลูก กวาดเช็ดถูแล้วซักผ้ายังมีฝีมือปั่นด้ายทอผ้าตัดเย็บเสื้อผ้าได้ เย็บปักถักร้อยเป็นด้วย ไม่มีวันตกงาน และไม่จำเป็น ต้องไปโลดแล่น หาเงินหรือหากินนอกบ้านเหมือนผู้หญิงทุกวันนี้ วิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง พึ่งตนเองแต่โบราณมา ช่วยให้คนอยู่ในชุมชน มีครอบครัวอบอุ่น มีการศึกษาอบรมในบ้าน โดย ภูมิปัญญา บรรพบุรุษและผ่านวัฒนธรรมท้องถิ่น จะเห็นได้ว่าธรรมชาติคนแม้สัตว์ต่างต้องมี การศึกษาอยู่ตลอดชีวิตทั้งสิ้น โดยเฉพาะตั้งต้น จากพ่อแม่ดูแลแต่แรกเกิด กระทั่ง หล่อหลอมปลูกฝังฟูมฟักนิสัยให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาด้วยอิทธิพลสังคมสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ในบ้านตลอดชุมชน การศึกษาเพื่อชีวิตเหล่านี้ ที่เคยเป็นกระแสหลักมาด้วยดีตามภูมิปัญญาไท แต่ถูก ทิ้งขว้างเพราะบ้าเห่อตามฝรั่ง กำลัง จะถูกพลิกฟื้น ให้คืนมาอีกครั้งหนึ่งในรูปแบบของการศึกษาทางเลือก คนเราอยู่ดีไม่ว่าดีตามวิถีพุทธ อวิชชาพาหลงบ้าจี้ตามฝรั่ง คลั่งเข้ากล่องห้องเรียนสำเร็จรูปอย่างเดียว จนไม่รู้จักชีวิตจริงๆ ในบ้าน ในสังคม คือแทนที่จะเรียนให้มีปัญญา ทำมาหากินเพื่อทำข้าวผ้ายาบ้านปัจจัยสี่พึ่งตนเอง กลับกลายเป็น บ้าเรียน วิชา เพื่อทำมาหาเงินลูกเดียว ผลพวงการศึกษาสมัยใหม่ที่ห่างไกลศาสนา มองข้ามคุณธรรมนำความรู้ เราเลยได้คน ฉลาดแกมโกง มาเป็นใหญ่เป็นโต จนบ้านเมือง เละเทะตลอดมา โดยเฉพาะลูกหลานมีปัญหาเสียนิสัยคนพันธุ์แท้ ตามกระแส บริโภคนิยม เพราะทีวีเป็นพ่อแม่สั่งสอนแต่เช้ายันค่ำ การศึกษาตามก้นฝรั่ง น่าอนาถที่เขาจัดขึ้น เพื่อให้เป็นทาสรับใช้ทุนนิยมตามสะดวกโดยใช้ เงินจูงจมูก ให้เป็นมนุษย์ เงินเดือน ที่ต้อง ขายแรงงานไปทั้งชาติ กลายเป็นเครื่องมือทำเงินทำกำไรให้นายทุน เสร็จแล้วได้เศษเงินจ้างมาหน่อยหนึ่ง เท่านั้นเอง ข้อเสียสำคัญอีกอย่างคือ ไปเรียนความรู้นอกตัวไกลเกินใช้ได้จริง เช่นเรียนท่วมหัวจมหูทั้งร้อย เอาไปใช้งานได้จริงๆ ถึงสิบ ยี่สิบ รึเปล่า...ยาก วิชาเกินเฟ้อเหล่านั้นจะมีประโยชน์บ้างคือเอาไว้เล่นแข่งขันเกมทีวีแค่นั้นแหละ ไม่เห็นมันจะเอาไปใช้ ประโยชน์อะไร ได้มากกว่านั้น ช่างพิลึกดี อย่างไรก็ตาม ในยุคความรู้ข้อมูลข่าวสาร เป็นเรื่องจำเป็นของโลกไร้พรมแดน เราคงปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องเรียนหนังสือ ให้รู้ เท่าทันโลก และมีหลักวิชาเพื่อสร้างสรรสารพันให้ เกิดประโยชน์สุขถูกกาลเทศะ ไม่เฟ้อเกินเปลือง เปล่าๆ อย่างที่เรียนกัน เป็นบ้าเป็นหลัง เพียงเพื่อ กระดาษแผ่นเดียว แล้วใช้เป็นใบเบิกทางเสือผ่าน อะไรเทือกนั้น ในด้านการศึกษาบุญนิยม จึงมีบูรณาการ โดยชูธงหลักสำคัญของสัมมาสิกขาว่า ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ลำดับของ น้ำหนัก ความสำคัญปรัชญาทั้งสาม คือ ศีลเด่น ๔๐% เป็นงาน ๓๕% และชาญวิชา ๒๕% เฉพาะอย่างยิ่ง เป้าประสงค์ของการศึกษา วิถีพุทธอันทวนกระแสโลก พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ต้องการสร้างคนพันธุ์ใหม่ โดยลูกหลานไทย จะได้อานิสงส์สำคัญ คือ ๑. พ้นทุกข์อาริยสัจ นับตั้งแต่อบายมุข เป็นต้นโดยถือศีล ๕ เป็นชีวิตจิตใจ ผลสำเร็จของการศึกษาบูรณาการดังกล่าวข้างต้น แม้ว่าจะยังคืบหน้าไปตามลำดับพลวปัจจัย ไม่สามารถเร่งรัดก้าวกระโดด ให้เกิด มากมวลอย่างขนานใหญ่ทันทีทันใด แต่นับว่า น่าพึงพอใจไม่น้อย และนับวันยิ่งเพิ่มพูน ความเชื่อมั่นในสิ่งดีนั้นๆ อันคือ "เราทำได้แล้ว โดยกำลังทำอยู่ ทั้งกำลังพาทำ" อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้เริ่มมีการปฏิรูป การศึกษาบูรณาการในโรงเรียนสัมมาสิกขา ให้ รุดหน้าเข้มข้นขึ้นอีกก้าวหนึ่งอย่างสำคัญ คือ ปรับระบบการเรียนการสอน ในห้องเรียน ให้ไป อยู่ในฐานงานปฏิบัติจริงของชุมชนให้เหมาะสม ยิ่งขึ้น ชีวิตที่มีการทำงานสร้างสรร ย่อมเป็นห้องเรียนชีวิตจริงอันวิเศษ ทำให้คนฉลาดขึ้น ฝึกฝนสมรรถนะทั้งทางกายใจ โดยเพิ่มพูน สมรรถภาพครบวงจร ทั้งความคิด การพูด การทำงาน กระทั่งการดำรงชีพ นอกจากผลผลิตจากฝีมือแรงงานแล้ว ที่สุดยอด คือการสังเคราะห์ด้านนิสัยทิฐิจิตวิญญาณ จากการได้ร่วมกันทำงานกับผู้คน มันห่างไกลลิบลับกับการเรียน ที่เพียงได้ยิน ได้เห็น คิดนึกจดจำ ตามคำสอนหรือตำรา คงจะเห็นชัดเจนว่าการศึกษาแบบตะวันตก เป็นการเรียนแบบแยกส่วน เพราะหลักวิชาไม่ได้ประยุกต์พร้อมกันไปกับการ ปฏิบัติ การศึกษาไทย น่าสมเพชขนาดไหน ดูที่ครูก็ไม่ต้องบรรยาย ครูเกือบทั้งหมดมีหนี้น่ารังเกียจ เพราะชักหน้า ไม่ถึงหลัง กินใช้ ไม่เป็น บริหารชีวิตไม่เป็นท่า ไม่มีเศรษฐกิจพอเพียง แล้วจะพานักเรียนเก่งกาจ อะไรได้ จะว่าไป เทียบกับการปฏิบัติธรรม เช่นถือศีล ก็ได้แต่ควบคุมกายวาจา วันหนึ่งคืนหนึ่ง ไม่ทันลึกซึ้งถึงใจเต็มๆ สมาธิก็ได้แต่ สะกดจิตสงบนิ่งชั่วคราว ปัญญาก็วิปัสสนาวิปัสสนึกไปลำพัง แยกส่วนทำไปคนละที ไม่เป็นสมังคีในชีวิตประจำวัน การคิด พูดทำงาน ไม่เกิดศีลสมาธิปัญญาไปด้วย คล้ายๆ ฤาษีทำใจได้บ้าง พอเข้าสังคมไม่สงบใจ กล่าวโดยย่อ การศึกษาบูรณาการวิถีพุทธ เป็นองค์รวม่ตามหลักสัมมาอาริยมรรค เป็นวิถีชีวิตการเรียนรู้อันยิ่งใหญ่ ของ มนุษยชาติ ยังจะมีการศึกษาบูรณาการสูตรอื่นฉบับใดที่สมบูรณ์สัมฤทธิ์ผล ครบเครื่องยั่งยืนถาวรเท่าอาริยมรรคมีองค์ ๘ ทั้งในด้านโลกียผล หรือโลกุตรธรรมใครเห็นมีที่ไหนอีกบ้าง ช่วยบอกที ถึงวันนี้ ไม่น่าสงสัยเลยว่า การศึกษาแบบ ทุนนิยมพาสังคมสีเทาเมามัวดีชั่วมั่วนิ่ม มุ่งสร้างคนให้เก่งเอาเปรียบ คิดเก่ง พูดเก่ง แม้ยิ่ง ทำเก่ง มันยิ่งร้ายกาจทวีคูณ แล้วโลกจะไม่เดือดร้อนขึ้นได้อย่างไร เมื่อรวยกระจุก จนกระจาย พอใครกระจายความจนมาให้ถึงที่ มีหน้าไหนยินดีรับประทานบ้าง ถ้ารู้ทันและปัดทิ้ง ส่งคืนไปได้ ก็ดีซิ มันคงไม่ง่าย สำหรับ คนส่วนใหญ่ ที่ตกเป็นเหยื่อหรือเป็นทาสจำใจจำนน ก่อนจะพูดถึงทุนนิยม น่าจะกล่าวขวัญถึงเศรษฐกิจพอเพียง อันเป็นวัฒนธรรมพื้นฐานตะวันออก ตั้งแต่ฤาษีชีไพร มาจนถึง ศาสดา ทุกศาสนา ตลอดทั้งผู้มีมโนธรรมสำนึกเพียงพอ ต่างสอนให้เป็นอยู่สุข ด้วยมักน้อยสันโดษทั้งนั้น ตอนเป็นเด็กๆ ได้ยินผู้ใหญ่ชอบพูดสอนลูกหลานหรือใครๆ ว่าให้รู้จักหากินหาอยู่พอรอด สบายวันต่อวันก็ดีแล้ว หรือมีข้าวกิน มีผ้านุ่ง ไปวันๆ ก็ใช้ได้ ให้รู้จักนุ่งเจียมห่มเจียม ใครจะให้อะไรกับเด็กๆ หรือผู้น้อยอื่นมักได้รับ คำปฏิเสธก่อนเสมอ ผู้ใหญ่ จะให้อะไรใคร ต้องคะยั้นคะยอให้รับไปเถอะ คนถูกสอนให้หยิ่งในศักดิ์ศรี กลัวติดหนี้บุญหนี้คุณ มีน้อย ให้กินน้อย (ถึงมีมาก ก็กินพอควร) ไม่มีข้าวสวยให้กินข้าวต้ม ข้าพเจ้าโชคดีที่เติบโตในยุคเศรษฐกิจ พอเพียง ยังเป็นวัฒนธรรมสง่างาม ผู้คนใส่เสื้อปะสบายๆ ไม่เห็นต้องอายใคร กรรมกร รับจ้าง หาเช้ากินค่ำ เขาก็กินอิ่มนอนหลับ ไม่มีหนี้ทับหัว ผู้หญิงไม่เห็นมีแฟชั่นบ้าบวมเหมือนคนป่า ที่นิยมกันทุกวันนี้ บ้านช่อง ถึงจะมุงจากก็อยู่ได้ เป็นสิบปี เล้าหมูเล้าไก่คอกควายบ้านนอก ยังอยู่ได้สบายกว่าสลัมน้ำเน่า ขยะแขยง ในเมืองเทวดา คำสอนให้ขยัน ประหยัด เสียสละ เป็นหลักคำสอนอมตะ ให้คนพึ่งตนเองเสมอ คนจนที่หากินด้วยหยาดเหงื่อ สุจริต ไม่คดโกง ไม่ก่อหนี้ มีความสุขกับการกินอยู่อย่างคนจนๆ สบายๆ มันไม่เห็นต้องน่าอายตรงไหน ตรงกันข้าม คนที่ชอบอวดรวย ใส่สร้อยเส้นโต อวดเข็มขัดทอง ถ้าเป็นงานปีทีหน คนก็ พอดูได้ ถ้าอวดโอ่บ่อยๆ ไม่ถูก กาลเทศะชาวบ้าน จะหมั่นไส้เอาด้วยซ้ำ มีทองต้องห่อผ้าขี้ริ้ว ทุกวันนี้ ทุนนิยมโดนเพ่งเล็งหนัก แม้คอมมิวนิสต์จะล่มสลาย มันไม่ได้แปลว่าทุนนิยม เสรีนี้แสนเลิศประเสริฐศรี ได้ยินผู้นำรัฐบาลประกาศจุดยืน ยึดมั่นถือมั่นในระบบทุนนิยมเสรีเต็มที่ ประหนึ่งว่ามันเป็นความชอบธรรมล้นเหลือ สำหรับ ผู้ศรัทธาถือทุนนิยมเสรีนี้หนึ่งเดียว เป็นสรณะเหนือสิ่งอื่นใด ถอดรหัสนัยออกมาอย่างนี้คงไม่ผิดในสาระสำคัญ ก็คงถูกต้อง ตามหลักสิทธิมนุษยชนคนมีกิเลส ทุนนิยมน่าจะมีฤทธิ์เดชราวกับศาสนา อันมีเงินตราเป็นพระเจ้า ขณะเดียวกัน อดประหลาดใจไม่ได้ ในเมื่อ ความรู้สึกส่วนตัวมันกลับฟ้องว่า ทุนนิยมนั้น มันน่าละอายอดสูใจต่างหาก ยิ่งรู้ๆ กันอยู่ว่า เป็นระบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก มือใครยาวสาวได้สาวเอา ตายละหว่า คนอ่อนแอ คนเล็ก คนน้อยแบบปลาซิว ปลาสร้อย จะทำยังไงดีล่ะ จะหนีไปทางไหนรอดบ้าง เจ้าประคุณเอ๋ย! เป็นที่น่าสังเกตบ้างไหมว่า หลังล่มสลายค่ายคอมมิวนิสต์ พวกทุนนิยมดูจะผงาดประกาศศักดาแผลงฤทธิ์เหิมเกริมยิ่งขึ้น เหมือนไร้คู่แข่ง ดังเช่นเจ้าอเมริกาหัวโจกใหญ่ แท้จริงแล้ว เข้าใจผิดอย่างมหันต์ เพราะลัทธิทุนนิยมแสนจะอัปลักษณ์สิ้นดี แล้วจะมีอะไรหาญกล้าสง่างามตรงไหน ในเมื่อ ตั้งหน้าเอาเปรียบสุดลิ่มทิ่มประตู เช่นความฝันอันยิ่งใหญ่ของธุรกิจ คือทำกำไรสูงสุด เรียกว่าถ้าดูดเอา โลกนี้เป็นของกู คนเดียว มันคงจะสมเจตนารมณ์ของทุนนิยมเต็มเปาไปเลย... คิดดูเถิด ความดีในโลกไหนๆ คือ เสียสละ เมื่อมีน้ำใจแล้ว ใครๆ ก็ชอบรับด้วยความยินดี ให้ตรงกันข้าม มีใครอยาก ถูกเอาเปรียบบ้าง การเอาเปรียบเป็นความดีหรือความเลว ใครๆ ก็ตอบได้ไม่ผิดทั้งนั้น แต่ทำจริงล่ะ... ทุนนิยม เป็นลัทธิทำลายโลก โทษฐานเป็น ตัวดูดกินรวบหมด ในขณะที่ธรรมชาติสรรพสิ่ง ไม่มีใครเป็นเจ้าของสัมปทานเลย พระอาทิตย์ให้พลังงานโดยไม่เคยคิดมูลค่าใดๆ ลมมีให้คนหายใจโดยไร้ราคาหาค่าบ่มิได้ ถ้าลัทธิทุนนิยมแปรพลัง แสงอาทิตย์ เป็นทุนผูกขาดได้ ถ้าแปรลมให้เป็นทุนต้องซื้อขายเวลาหายใจ โลกนี้จักเป็นเช่นใดหนอ... ช่างเถอะที่เป็นไปไม่ได้ ยกไว้ก่อน เรื่องที่เป็นจริงโทนโท่ เช่น นโยบายทุนนิยมเป็นตัวกระจายความจน พาคนไทยจนดักดาน เห็นง่ายๆ ใช้อบายมุข และหวยสูบเลือดกินเนื้อสดๆ จากคนจนหน้าโง่ จนโงหัวไม่ขึ้นตั้งเท่าไหร่ ถ้าไม่ยอมแก้ตัว ผีเปรต พาจนบรรลัยพวกนี้ แล้วจะไปงมโข่งแก้จนใครท่าไหนได้ พิลึกดีไหม เหมือนตุ่มรั่วรูเบ้อเร่อ ฝันว่าจะตักน้ำใส่ให้เต็ม ไม่ทราบว่า มันจะขังน้ำไว้ได้กี่น้ำ... อนึ่ง เลือดทุนนิยมชอบกอบโกยสะสมขี้โลภไม่เสร็จ มันเป็นสัญชาตญาณสันดานดิบของทุกคนล้นเหลือ เมื่อไหร่เกิด มโนธรรมสำนึกดี มีใจละอายบาปซาบซึ้งถึงขั้นกระตุ้นต่อมยางอายหิริโอตตัปปะ ให้ทำงานขึ้นมา เราก็จะกล้าขุดสันดอน ถอนสันดาน ขี้โลภตัว ต้นเหตุชั่วร้ายทั้งหลาย แทนที่จะตั้งหน้ากล้ารวยไม่รู้จักพอ กลับพลิกผันหันมากล้าจน กระทั่ง กลายเป็น คนจนมหัศจรรย์ ตามวิถีพุทธ ตระกูลมุ่งมาจน ตามรอยพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นต้นฉบับ คนจนผู้ยิ่งใหญ่
บุญนิยมจึงมุ่งมาจนพร้อมกับสร้างมิตรไม่คิดเป็นปฏิปักษ์กับลัทธิอื่นใดที่ตั้งหน้ารวยไม่เสร็จ พวกกล้าให้กับกล้าเอา ไม่ต้องกัดกัน ต่างคนนานาจิตตัง ถ้าจะไปขวางสิทธิเสรีภาพเกินไป มันไม่ใช่ศาสนาซึ่งอยู่ที่ศรัทธา สรุปแล้ว ใครๆ ต่างมีพ่อแม่ให้กำเนิดทางกาย ทั้งฟูมฟักจิตวิญญาณนิสัยใจคอ เพื่อตั้งหลักเป็นผู้คนดีๆ มีน้ำใจ แต่ละคน ได้เติบใหญ่ โดยมีวัฒนธรรมสังคมสิ่งแวดล้อมหล่อหลอม มีศาสนาจูงนำชี้ทางสว่าง ทุกอย่างล้วนมีอิทธิพล เหมือนพ่อแม่ ทำนุบำรุงปั้นแต่ง จิตวิญญาณทุกคนจึงเหมือนลูกอันต้องมีมโนธรรมสำนึก หิริ-โอตตัปปะคอยกำกับ ใจของเราจึงอยู่ที่ ตัวเรา จะปรุงแต่ง จะพาลงนรกตกสวรรค์ได้ทั้งนั้น ดังนั้น แต่ละคนจึงต้องรับผิดชอบชีวิตในฐานะเป็นพ่อแม่ตัวพาจิตวิญญาณให้เป็นผีเปรต ยักษ์มาร หรือจะเป็นเทวดาพรหม เมตตา เสียสละ ท่ามกลางสังคมที่เป็นครูของเรา ใครจะสอนเราวิเศษอย่างไร หากเราไม่เอาดีเสียเอง มันก็เหลว ดังคำกลอน สอนใจง่ายๆ ว่า ตนเตือนตนของตนให้พ้นผิด -เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ - |