นาฬิกาอวัยวะ (Organ clock)
การหมุนเวียนของพลังงานในร่างกาย


เวลา ๑๓.๐๐ น. ถึง ๑๕.๐๐ น. (ลำไส้เล็ก-SI)

พลังงานจะเคลื่อนเข้าสู่ลำไส้เล็ก ถ้าร่างกายไม่ได้รับอาหารเช้า อาหารที่มารอย่อยในลำไส้เล็กก็ไม่มี ลำไส้เล็กก็จะย่อยตัวเอง และ เริ่มอ่อนแอลง เพราะลำไส้เล็กจะทำงานโดยเปลี่ยนรูปอาหารที่ได้จากตอนเช้า ทั้งคาร์โบไฮเดรท ไขมัน เกลือแร่ เป็นพลังงานทั้งหมด

ลำไส้เล็กตอนบน (Duodinum) ทำหน้าที่หลั่งน้ำย่อยที่เป็นด่างจำนวนมาก ถ้าท่านเคี้ยวอาหารจากปากมาละเอียดดีแล้ว แต่ถ้ากินขนมหรือของทอดมันๆ ลำไส้เล็กตอนบนจะไม่หลั่งด่างออกมา ทำให้อาหารย่อยยาก เกิดอาการท้องอืด เพราะ ลำไส้เล็กตอนกลาง และตอนปลายจะหลั่งกรดออกมา ทำให้เกิดกรดและแก๊สเพิ่มขึ้นในลำไส้เล็ก ถ้ายังกินอาหารขยะ อย่างที่ ว่ามาข้างต้นนานๆ จะทำให้ลำไส้เล็กบวม และมีแก๊สตลอดเวลา ทำให้ลำไส้เล็กดูดซึมยาก

ปัญหาที่เกิดในลำไส้เล็ก ยังส่งผลไปที่สมองเพราะทุกหยักในลำไส้เล็ก คือ รอยหยักของสมอง เมื่อเกิดปัญหากับลำไส้เล็ก เช่นใด ก็จะส่งผลไปยังสมองเช่นนั้น เช่น ถ้ากินอาหารขยะ ของทอด ของมัน ของหวาน จะรู้สึกมึนๆ ที่หัว

ส่วนคนที่ยกของหนักเป็นประจำมากๆ ลำไส้จะขยายบวม ทำให้ปวดหัวง่าย ส่งผลทำให้เสียดหน้าอก และปวดสะบักหลัง บางคนก็จะว่าเป็นโรคหัวใจ บางคนก็ว่าสะบักจมวิธีแก้ง่ายๆ คือ ใช้หม้อดินใส่เกลือเม็ด (ทะเล) ๓ ใน ๔ ของหม้อ (ประมาณ ๓ กิโล) นาบหน้าท้อง (ขนาดหม้อเท่าหน้าท้องของเรา) โดยเอาหม้อเกลือไปตั้งไฟ(แก๊สก็ได้) ให้มีเสียงดังเป๊าะแป๊ะ ประมาณ ๕ นาที จึงดับไฟ รอจนเสียงดังหมด ค่อยเอามาวางบนหน้าท้อง ใช้ผ้าฝ้ายรองก้นหม้อหลายๆ ชั้น แล้วค่อยๆ ชักผ้าฝ้าย ออกทีละชั้นๆ เมื่อความร้อนพอทนได้ จนสุดท้ายสามารถวางหม้อเกลือแนบเนื้อได้ (ถ้ามีใบพลับพลึงวางแนบกับท้องจะยิ่งดี) ข้อพึงปฏิบัติ ทุกครั้งก่อนที่จะเอาหม้อเกลือ มานาบหน้าท้อง ควรจะเขย่าเสียก่อน เพื่อไม่ให้เกลือ เกาะติดกันเป็นแผง

อาหารที่บำรุงหัวใจและลำไส้เล็ก
จาก พืช ผัก ผลไม้ ที่มี.....

-สีแดงและรสขม- คนโบราณบอกว่าดีบัวแก้ปัญหาโรคหัวใจซึ่งดีบัวมีรสขม ทำให้ฟื้นฟูลำไส้เล็กและหัวใจ แต่ก็ไม่ใช่ ให้กินขม โดดๆ อย่างเดียว ต้องมีเปรี้ยวหวาน มัน เค็ม ตามด้วย โดยมีขมนำ เช่น หัวปลีสีแดง มีรสขม บำรุงและฟื้นฟู ลำไส้เล็ก และหัวใจ เช่นเดียวกัน สมัยโบราณจะให้แม่ลูกอ่อนกินต้มยำหัวปลี เพื่อเพิ่มเม็ดเลือดจึงจะมีนมให้ลูก คนโบราณ บางคน เอาหัวปลีไปหั่นตากแล้วคั่ว ชงเป็นชากินเพื่อฟื้นฟูลำไส้เล็กและหัวใจ

-ฤดูร้อน- อากาศร้อนจะทำให้ลำไส้เล็กดูดซึมยากหรือช้าลง ฉะนั้นอาหารที่กินในหน้าร้อน ควรจะเป็นอาหาร เช่น แกงจืด มะระ ใส่ผักดอง ที่มีรสขม เปรี้ยว เค็ม หวานชุ่มคอ ส่วนใหญ่คนที่อาศัยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร จะกินอาหาร ที่มีเครื่องเทศ มากขึ้นตามลำดับ

-เส้นเลือด- ถ้านอนดึกเกิน ๓ ทุ่ม จะทำให้ถุงน้ำดีไม่ย่อยไขมัน ซึ่งจะทำให้วิตามินที่ต้องละลายในไขมัน คือ เอ ดี อี เค ไม่สามารถ ถูกดูดซึมไปเลี้ยงร่างกายได้ ทำให้เส้นเลือดน้อยใหญ่ไม่สามารถยืดหยุ่นตัวได้ตามปกติ ถ้านอนดึกเป็นเวลานานๆ จะเกิดปัญหา เกี่ยวกับเส้นเลือด

-ลิ้น- บ่งบอกถึงปัญหาที่เกิดจากลำไส้เล็กและหัวใจได้ เช่น ที่ปลายลิ้นบ่งบอกถึงหัวใจ ถ้าเป็นสีชมพู หมายถึงหัวใจปกติ ถ้ามีสีแดง หมายถึงหัวใจกำลังทำงานหนักเกินไป บริเวณส่วนลิ้นตอนกลางบ่งบอกถึงลำไส้เล็ก ถ้าตำแหน่งนั้นมีฝ้าขาว แสดงว่ามีมูกมาก เกิดจากน้ำตาลและไขมันสะสมอยู่ที่บริเวณนั้นมาก

-รื่นเริง ตื่นเต้น ดีใจจนเกินไป- ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดมากเกินไป จนเกิดอาการช็อค อาจถึงตายได้เพราะหายใจไม่ทัน

เวลา ๑๕.๐๐ น. ถึง ๑๗.๐๐ น. (กระเพาะปัสสาวะ-UB)
เป็นเวลาที่พลังงานจะเคลื่อนมาที่กระเพาะปัสสาวะ ของเสียจากการแปรรูปอาหารที่ลำไส้เล็กจะเกิดขึ้น กระเพาะปัสสาวะ จะทำงาน มากที่สุด เพื่อขับกรด และของเสียออกจากร่างกาย หลังจากที่ร่างกายได้ทำงาน(จะเกิดกรดแลคติค) กินอาหาร (จะเกิดกรดยูริค) คร่ำเคร่งกับงาน(จะเกิดกรดอะดรีนาลีนและสารเคมีต่างๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นมา)

ถ้าเราอั้นฉี่เป็นเวลานานๆ จะส่งผลกระทบต่อกล้ามเนื้อหูรูดของกระเพาะปัสสาวะทำให้อักเสบ มีผลกระทบไปถึงตา ทำให้ ตาพร่าและตามัว ถ้าทำบ่อยๆ มากๆ นานๆ อาจทำให้ตาบอดได้

ถ้านอนดึกเกิน ๓ ทุ่ม เซลล์เม็ดเลือดจะแตกและตกค้างอยู่ในกระแสเลือด แล้วถูกลำเลียงไปทิ้งที่กระเพาะปัสสาวะ เป็นจำนวนมาก จนเกิดอาการปวดร้าวที่เส้นคู่ขนาน ระหว่างกลางหลังจนถึงก้นกบ ถ้าเป็นน้อยๆ อาการจะเหมือนสะบักจม และ ปวดบริเวณสะโพก ขาพับ และน่อง

น้ำควรดื่มเวลาเช้า-กลางวัน-บ่าย ได้เป็นจำนวนมากแต่เมื่อถึงเวลาบ่าย ๓ โมงถึง๕ โมงเย็น ไม่ควรดื่มน้ำมาก เพราะจะทำให้ กระเพาะปัสสาวะและไตทำงานหนัก


๑๗.๐๐ น. ถึง ๑๙.๐๐ น. (ไต-K)
เป็นเวลาที่พลังงานจะเคลื่อนมาที่ไต๕ โมงเย็น ทุกคนต้องหยุดงานเพื่อไม่เพิ่มกรดในร่างกาย ทำให้ไตต้องทำงานหนักยิ่งขึ้น ช่วงนี้เราไม่ควรออกกำลังกายแบบเต้น วิ่งหรือการเคลื่อนไหวมากๆ เพราะไตทำงานหนักอยู่แล้ว การออกกำลังกายช่วงเย็น จะทำให้ไตวายง่าย เวียนหัว ตาพร่า ปวดศีรษะง่าย ยกเว้นการออกกำลังกายแบบโยคะ หรือไทเก็ก ซึ่งจะไม่ทำให้เกิด กรดแลคติค และควรจะกินอาหารเย็นให้เสร็จก่อน ๑๘.๐๐ น. ควรจะเป็น อาหารที่เบาๆ เช่น สลัดผัก น้ำผัก-ผลไม้ เพื่อให้ ร่างกายย่อยง่าย และควรกินให้เสร็จก่อนเข้านอน ๓ ชั่วโมง

คนที่ทำงานหนักมาทั้งวันแล้วไม่พัก ถ้าทำอยู่เป็นประจำจะทำให้ไตอ่อนแอลง เกิดการปวดหลัง ปวดข้อต่างๆ ปวดเข่า เพราะไต มีหน้าที่ควบคุมกระดูก ไขข้อ ฮอร์โมน ควบคุมพลังชีวิต อวัยวะสืบพันธุ์ เส้นผม เลือด หู และตา

ถ้าทำให้ไตอ่อนแอโดยการไม่ได้พัก ก็จะทำให้อวัยวะส่วนต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นเสื่อมลง เช่น หญิงมีครรภ์ ถ้ายังทำงานหนัก ทั้งทางกาย และทางสมอง จะทำให้แท้งได้ หรือถ้าไม่แท้ง ลูกที่เกิดออกมาก็จะไม่แข็งแรง

ยุคสมัยนี้ผู้คนมีชีวิตอยู่กับเครื่องอิเล็กทรอนิกส์รอบตัวจึงได้รับคลื่น และรังสีมากจนทำให้เซลล์เม็ดเลือดแตกอยู่เป็นประจำ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์อยู่เสมอมักจะเกิดอาการมึนหัว ตาพร่า ปวดหลัง ปวดเอว ปวดต้นขา ปวดน่อง แสดงว่า มีเซลล์ เม็ดเลือดตาย แออัดอยู่ในร่างกาย จนทำให้ร่างกายขับเซลล์เม็ดเลือดตายออกไม่ทัน จึงเกิดอาการปวดต่างๆ ขึ้น ถ้ามีอาการ ตามกระดูกส่วนต่างๆของร่างกาย แสดงว่าร่างกายได้สูญเสียเซลล์เม็ดเลือด จึงต้องดึงออกมาใช้จากส่วนต่างๆ ของไข กระดูก ถ้าไม่เข้าใจก็จะหายาแก้ปวดต่างๆ มากิน ซึ่งที่จริงร่างกายต้องการสารอาหารจำนวนมาก เพื่อไปทดแทน เซลล์เม็ดเลือด ที่สูญเสียไป โดยเฉพาะแคลเซียม และแมกนีเซียม จะหาได้จาก ผัก พืช ผลไม้ ต่างๆ

วิธีแก้คือ กินสลัดผัก ต้มจืดผัก น้ำปั่นผัก หรือใช้สายไฟที่มีเส้นทองแดง สามเส้นมาใส่รอบเอวเหมือนเข็มขัด

อาหารที่บำรุงไต
ควรเน้น พืช ผัก ผลไม้ ที่มี......
-สีเข้ม(ดำหรือม่วง)- ไม่ใช่ให้กินสีดำอย่างเดียว ควรมีสีอื่นผสมผสานด้วย

-เค็ม- ปกติความเค็มจะมีปัญหาต่อไต ฉะนั้นควรจะกินเค็มจาก ผัก พืช ผลไม้ โดยการนำไปหมัก หรือดองเป็นเวลา ๒ ปี เพราะจะทำให้ผัก พืช ผลไม้ มีรสเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม อยู่ในตัว และย่อยสลายเป็นกรดอะมิโน ที่ร่างกายสามารถดูดซึม ไปใช้ได้ทันที

ส่วนใหญ่มักจะห้ามของหมักดอง เพราะยุคปัจจุบันนี้มักจะใช้เคมีเร่งในการหมักดองในเวลาอันสั้น ซึ่งจะเป็นพิษภัยมาก แต่ถ้าหมักดองแบบธรรมชาติเป็นเวลา ๒ ปี เช่น บ๊วยดองของคนจีน ช่วยในการย่อยได้ดี หรือ มิโซ่(miso,ถั่วหมัก) ของญี่ปุ่น (เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่น โดนระเบิดปรมาณู คนที่ถูกกัมมันตภาพรังสี เซลล์จะตาย และเน่า เม็ดเลือดจะแตก แต่คนญี่ปุ่นกินมิโซ่เป็นหลักจึงได้รับพิษภัยจากกัมมันตภาพรังสีน้อย แผลหายเร็ว) ด้วยมิโซ่และบ๊วยดอง สามารถช่วย กำจัดรังสีได้ ถ้ากินเป็นประจำ

-หนาว- เมื่อฤดูหนาว อากาศหนาวเส้นเลือดจะหดตัว ไตจะผลิตเลือดได้น้อยลง เราจึงต้องรักษาความอบอุ่นให้ร่างกาย อยู่เสมอ เพื่อให้ไตได้ผลิตเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้อย่างสมดุล ปกติคนโบราณหลายต่อหลายชาติ มีวัฒนธรรม ในการแต่งตัว ที่ป้องกันไต ไม่ให้ได้รับความเย็นมากเกินไป โดยมีผ้ารัดเอว ที่ใหญ่และหนา

-กระดูก- ในกระดูกจะมีโพรงกระดูกและไขกระดูก เป็นจำนวนมากมาย เพื่อผลิตเม็ดเลือด ถ้าไตแข็งแรง โพรงกระดูก และ ไขกระดูก จะสามารถผลิตเม็ดเลือดได้อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อใดที่ไตอ่อนแอ ก็จะผลิตเม็ดเลือดได้น้อยลง ดังเช่น อาการไข้ใดๆ ก็หมาย ถึงร่างกายต้องรีบเผาไขกระดูก เพื่อนำไปสร้างเม็ดเลือดให้ร่างกายสมดุล แต่ถ้าเป็นไข้ติดเชื้อ ก็จะต้องเผา ไขกระดูก นานขึ้น คนโบราณเวลาเป็นไข้ จะดื่มน้ำอุ่นและใช้ผ้าห่มคลุมร่างกาย เพื่อให้ร่างกายหมุนเวียนเลือด ได้เร็วขึ้น หรือ มักจะใช้คำว่า หยอดน้ำข้าวต้ม หมายความว่าในน้ำข้าวมีกลูโคส(Glucose) ทำให้ร่างกายย่อยอาหารที่ตกค้าง ได้อย่างรวดเร็ว จึงสามารถนำไปสร้างเม็ดเลือด และทำให้ฟื้นไข้ได้อย่างรวดเร็ว

-หู- บ่งบอกถึงไต กลางรูหูหมายถึงตำแหน่งของไต ขนาดของใบหู แสดงถึงความแข็งแรงของไต ใบหูยิ่งใหญ่ คนโบราณ บอกว่า อายุจะยืนเพราะไตแข็งแรงมาก ถ้าใบหูแข็ง แสดงว่าการหมุนเวียนของเลือดไม่ดี มีกรด ตกค้างอยู่ในร่างกายมาก เพราะใบหู เป็นตัวแสดงถึงอวัยวะทั้งหมดของร่างกาย เวลาง่วงหรือเมื่อย จึงต้องนวดหู เพื่อช่วยกระตุ้นให้ไตหมุนเวียนเลือด ส่งไปเลี้ยงร่างกายให้ดีขึ้น คนหูตึงแสดงว่า มีปัญหาที่ไต เพราะกินอาหาร มัน หวาน เป็นเวลาต่อเนื่องนานๆ มูกจึงไปพอก อยู่ที่กระดูก ทั้ง ๓ คือ ค้อน ทั่ง โกลน ทำให้ส่งสัญญาณได้ไม่ชัดเจน นำไปสู่การหูตึง

-ตกใจ กลัว- เมื่อไหร่ที่เรามีอาการตกใจกลัว จะส่งผลไปที่ไตทันที บางครั้งเมื่อเกิดการตกใจกลัวสุดขีด ก็จะทำให้ผมขาวได้ ในช่วงข้ามคืน และอาจจะสลบได้เพราะเลือดส่งไปเลี้ยงสมองไม่ทันเช่นเวลาไฟไหม้บางคนสามารถยกตุ่มน้ำเต็มๆ หนักๆ ออกจากบ้านได้ เพราะต่อมอาดรีนอลที่กรวยไตหลั่งสารอะดรี-นาลีนออกมามากเกินไป

จากเวลา ๑ ทุ่ม ถึง ๓ ทุ่ม ช่วงนี้ต้องพักผ่อน และหลังจากช่วงเวลานี้แล้ว ร่างกายก็จะต้องเตรียมตัวพักผ่อน หลับนอน แล้วสะสมพลังงานรวมอีกครั้ง

เนื่องจากโลหิตในร่างกายมนุษย์มีการหมุนเวียนเป็นระยะทางเก้าหมื่นกิโลเมตรโดยประมาณ วงจรจะขัดข้องเนื่องจาก การกินอาหาร การพักผ่อนไม่ตรงเวลา และการกระทบกระเทือนร่างกายจากอุบัติเหตุ กับการกระทบกระเทือนจิตใจ ด้วยอารมณ์ "ต้องการ" ดูดเข้ามามากไม่รู้จักพอ(โลภ) หรือผลักไสออกไปแรงๆ (โกรธ)

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสาเหตุหลักในการทำร้ายตัวเอง เราจึงกลายเป็นคนอกตัญญูหรือคนทรยศต่อธรรมะ ที่สร้างให้เราเกิดขึ้นมา เป็นมนุษย์ เพราะการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก แล้วเรายังประมาทปล่อยให้กาลเวลากลืนกินชีวิตของเราไปเสียอีก ใครเลย จะช่วยท่านได้ ถ้าท่านไม่ช่วยตัวของท่านเอง.

-เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๘๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ -