ชาดกทันยุค ตอน .ยิ่งใหญ่อย่าไร้ธรรม หนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร ฉบับ 128 เดือนมีนาคม 2544
หน้า 1/1

ยิ่งใหญ่อย่าไร้ธรรม (สัพพทาฐชาดก)

ผู้ยิ่งใหญ่แต่ไร้ธรรม
แม้มีทั้งอำนาจ ทั้งบริวาร
ก็รังแต่จะเบียดเบียนผู้อื่น
จะไม่ยอมให้ปวงชนเป็นใหญ่

วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันในธรรมสภา

“ท่านทั้งหลาย พระเทวทัตทำให้พระเจ้าอชาติศัตรู เลื่อมใส แล้ว ก็ได้รับลาภสักการะมากมาย แต่ก็ไม่สามารถรักษาลาภสักการะ เหล่านั้นให้ดำรงอยู่ได้นาน ต้องมีหมดสิ้นไปในเวลาเร็ววันเลยทีเดียว”

ขณะนั้นเอง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จมาถึง ทรงเอ่ยถามขึ้นว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอกำลังสนทนากันอยู่ด้วยเรื่องอะไร?”

เหล่าภิกษุได้กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ พระศาสดา จึงตรัสว่า “เทวทัตนี้ มิใช่ทำลาภสักการะที่เกิดแก่ตน ให้หมดสิ้นไปในกาลนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนก็เคยทำให้หมดสิ้นไปแล้วเหมือนกัน”

แล้วตรัสเล่าเรื่องในกาลก่อนนั้น


ในอดีตกาล ณ กรุงพาราณสี พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ มีปุโรหิต

ผู้จบไตรเพท (๓ คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพราหมณ์) และจบศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ รอบรู้แม้แต่ปฐวีวิชัยมนต์ (มนต์สะกดใจให้หลง) เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของพระองค์

อยู่มาวันหนึ่ง ปุโรหิตคิดใคร่ที่จะทบทวนมนต์ของตน จึงหาที่ห่างไกลผู้คน หลีกเร้นไปที่ถ้ำหินดาด ณ เนินผาแห่งหนึ่ง เพราะปฐวีวิชัยมนต์ นั้นหากผู้ท่องสวดมีจิตใจวอกแวก ขาดสมาธิแล้ว ความทรงจำย่อมไม่ดี ไม่อาจจะท่องตั้งแต่ต้นจนจบได้สำเร็จ

ขณะที่ปุโรหิตเร้นกายสาธยายมนต์อยู่นั้น มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในโพรงหินใกล้ๆ ได้ยินมนต์นั้นชัดเจน แล้วสามารถท่องจำได้อย่างคล่องแคล่วเช่นกัน เนื่องจากว่าในอดีตชาติของสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ เคยเกิดเป็นพราหมณ์ ผู้ท่องสวดปฐวีวิชัย-มนต์มาแล้วอย่างช่ำชองนั่นเอง

ครั้นปุโรหิตสาธยายมนต์ได้ครบถ้วนดีแล้ว ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างภาคภูมิใจ พร้อมกับอดคิดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมตัวเองว่า “เราช่างชำนาญแคล่ว- คล่อง ในมนต์ของเราจริงหนอ”

แล้วมุ่งกลับสู่เรือนของตน ฝ่ายสุนัขจิ้งจอกก็ก้าวออกมาจากโพรงหิน แล้วตะโกนไล่หลังปุโรหิตไปว่า “ต้องข้านี่สิ! ถึงจะท่องมนต์ได้แคล่วคล่องกว่าท่านซะอีก”

ปุโรหิตได้ยินเช่นนั้นจึงหันกลับมาดู เห็นเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง ก็เกิดความคิดขึ้นว่า “สุนัขจิ้งจอกตัวนี้ เห็นทีจะสร้างอกุศลใหญ่หลวงให้บังเกิดขึ้นเป็นแน่”

แล้วสาวเท้าเข้าไปหา แต่สุนัขจิ้งจอกรีบวิ่งหนีอย่างเร็ว พอปุโรหิตติดตามไปได้หน่อยหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกก็หลบ หายเข้าป่าไปแล้ว ปุโรหิตจึงกลับคืนเรือนของตน

วันหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกตัวนั้น ได้พบเข้ากับนางสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง เกิดความพึงพอใจนัก จึงตรงเข้าหยอกเย้างับใส่เบาๆ นางสุนัขจิ้งจอกร้องโวยวายขึ้นว่า “อะไรกันนี่! เราไม่รู้จักเจ้าสักหน่อย”

“รู้จักสิ!” ว่าแล้วสุนัขจิ้งจอกก็ร่ายปฐวีวิชัยมนต์ สะกดใจนางสุนัขจิ้งจอกให้หลงใหลตน ยอมตัวเป็นบริวารแต่โดยดี เมื่อเห็นปฐวีวิชัยมนต์ได้ผล สุนัขจิ้งจอกก็เที่ยวไปในป่าใหญ่ ใช้มนต์สะกดใจสัตว์ทั้งหลายเอาไว้เป็นบริวาร ทั้งสิงโต เสือ ช้าง ม้า สุกร เนื้อ กระต่าย เป็นต้น ล้วนตกอยู่ในอำนาจของสุนัขจิ้งจอกทั้งสิ้น

สุนัขจิ้งจอกจึงตั้งตัวเป็นใหญ่เหนือสัตว์ทั้งหลาย เป็นราชาแห่งสัตว์ทั้งปวงชื่อ สัพพทาฐะ (สัตว์มีเขี้ยวงาทั้งปวง) โดยมีนางสุนัขจิ้งจอกเป็นอัครมเหสี นั่งอยู่บนบัลลังก์คือหลังของพญาราชสีห์ตัวหนึ่ง ซึ่งพญาราชสีห์ยืนอยู่บนหลังช้างสองเชือก อวดโอ่แสดงยศอันยิ่งใหญ่ของตนเต็มที่

ต่อมาไม่นานนัก ด้วยความมัวเมาในลาภยศสักการะ สัพพทาฐะยิ่งบังเกิดความมักใหญ่ใฝ่สูง ปรารถนาจะครอบครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี จึงยกพลกองทัพสัตว์นานาชนิด เข้าล้อมกรุงพาราณสีเอาไว้ทุกด้าน แล้วส่งสารถึงพระเจ้าพรหมทัตว่า

“จงมอบราชสมบัติแก่เรา มิฉะนั้นจะต้องรบกัน”

พระราชาทรงหวั่นพระทัย ตรัสปรึกษาพวกขุนนางอำมาตย์ทั้งหลายทันที ปุโรหิตจึงปลอบใจพระราชา พร้อมทั้งรับอาสาขึ้นว่า

“ขอพระองค์อย่าทรงกลัวเลย การต่อสู้กับสุนัขจิ้งจอกสัพพทาฐะนั้น เป็นภาระของข้าพระองค์เอง เพราะเว้นจากข้าพระองค์ เสียแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถรบกับมันได้ พระเจ้าข้า”

จากนั้นปุโรหิตก็ตระเวนปลอบใจประชาชน ให้คลายความสะดุ้งหวาดกลัว แล้วมุ่งตรงไปที่กำแพงเมือง ขึ้นสู่ป้อมที่บนประตูเมือง ร้องตะโกนถามออกไปว่า “ดูก่อนสัพพทาฐะ ท่านมีฝีมือพอหรือที่จะชิงเอาราชสมบัตินี้ไปได้”

สุนัขจิ้งจอกผู้ทะนงตนได้ฟังเช่นนั้น จึงตอบว่า “เราจะให้พญาราชสีห์เปล่งเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัว (สีหนาท) ทำให้มหาชนตกใจขวัญหาย แล้วจึงยึดเอาราชสมบัติอย่างง่ายดาย”

“ไม่ง่ายหรอก ท่านคิดฝันแต่ได้ถ่ายเดียว หากไม่เชื่อ! ท่านจงรอสักครู่ เดี๋ยวเราจะพิสูจน์ให้ท่านเห็น ท่านกล้ารอเราหรือไม่เล่า”

“ทำไมจะไม่ได้ อีกสักครู่จะเป็นไรไป”

ปุโรหิตรีบลงจากป้อม สั่งทหารให้เที่ยวไปกระจายข่าวทั่วพระนครว่า “ขอให้ทุกคนจงเอาแป้งถั่วราชมาสปิดช่องหูให้แน่น พร้อมทั้งอุดหูของสัตว์ทั้งหลายไว้ด้วย แม้กระทั่งแมวก็ตาม กระทำเดี๋ยวนี้ทันที แล้วอย่าเปิดออกจนกว่าจะมีผู้ไปแจ้งให้รับรู้”

ครั้นสั่งเรียบร้อย รอสักครู่ใหญ่จึงปีนขึ้นบนป้อมอีกครั้ง ตะโกนท้าทายสุนัขจิ้งจอกว่า “ท่านยังคิดว่าจะชิงเอาราชสมบัติได้อีกหรือ”

“ได้แน่ พญาราชสีห์เปล่งสีหนาทเมื่อใด พวกมนุษย์จะพากันหวาดหวั่น ตกใจกลัวถึงแก่ความตายแน่ๆ”

“เราไม่เชื่อท่านหรอก เพราะพญาราชสีห์ผู้เป็นเจ้าป่า สมบูรณ์ด้วยชาติ มีหรือจะทำตามคำสั่งของสุนัขจิ้งจอกแก่เช่นท่าน”

ถูกยั่วยุเยาะเย้ยเช่นนั้น สุนัขจิ้งจอกผู้โอหังอวดดีจึงบังเกิดความดื้อรั้น ที่จะเอาชนะให้ได้ หมายอวดแสดงอำนาจของตน จึงสั่งการออกไปว่า “ราชสีห์ทุกตัวจงยืนนิ่งเฉยไว้ ให้เฉพาะพญาราชสีห์ตัวที่เรานั่งอยู่บนหลังเท่านั้น จงแผดเสียงร้องคำรามให้กึกก้อง จงบันลือสีหนาทเดี๋ยวนี้”

กล่าวจบสุนัขจิ้งจอกก็ใช้เท้าของตน ตบลงที่หัวของพญาราชสีห์ทันที พญาราชสีห์จึงเม้มปากหายใจเข้าเต็มปอด แล้วแผดคำราม ร้องสุดเสียงเต็มที่ถึงสามครั้ง เสียงดังสะเทือนไปทั่วบริเวณนั้น สัตว์ทั้งหลายตื่นตระหนก แตกฮือวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวอย่างยิ่ง แม้แต่ช้างสองเชือกที่พญาราชสีห์ยืนเหยียบอยู่ ก็สะดุ้งตกใจกลัวสุดขีด สลัดพญาราชสีห์ออกจากหลังทันที ทำให้สุนัขจิ้งจอกพลอยหลุดกระเด็นหล่นลงที่พื้นดิน ตกอยู่ท่ามกลางฝูงช้างตื่น จึงถูกเหยียบย่ำในดงเท้าช้าง ทำให้สุนัขจิ้งจอกต้องตายร่างแหลกเหลวอยู่ตรงนั้นนั่นเอง

สัตว์ทั้งปวงล้วนวิ่งหนีด้วยความกลัวภัย แตกตื่นชุลมุนวุ่นวายเหยียบกันตายมากมาย ยกเว้นช้างม้ากับราชสีห์และเสือแล้ว บรรดาสัตว์เล็กเช่น เนื้อ สุกร กระต่ายเป็นต้น ล้วนถูกเหยียบตายแทบทั้งสิ้น ซากศพสัตว์นอนตายเกลื่อนหน้าประตูเมืองพระนคร ส่วนที่บาดเจ็บก็หนีกลับคืนสู่ป่าตามเดิม

ปุโรหิตเห็นเหตุการณ์อย่างนั้นแล้ว จึงให้ชาวเมืองเอาที่อุดหูออก แล้วประกาศว่า

“ใครต้องการเนื้อสัตว์เป็นอาหาร จงไปเก็บเอาเถิด”

ผู้คนทั้งหลายจึงมีเนื้อให้กินอย่างเหลือเฟือ เนื้อที่เหลือก็นำไปตากแห้ง ทำเป็นเนื้อแผ่นเก็บไว้กินต่อไป จึงกล่าวกันว่า การทำเนื้อแผ่นตากแห้งเกิดขึ้นในครั้งนั้นเอง

พระศาสดาแสดงชาดกนี้จบแล้ว ตรัสว่า “สุนัขจิ้งจอกสัพพทาฐะ ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัต ในครั้งนี้ พระราชาในครั้งนั้นได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนปุโรหิตได้มาเป็นเราตถาคต นี้เอง”

แล้วทรงกล่าวเตือนสติแก่ภิกษุทั้งหลายไว้ว่า

“สุนัขจิ้งจอกผู้กระด้างด้วยความถือตัว มีความต้องการบริวารมาก ปรารถนาสมบัติยิ่งใหญ่ ได้เป็นราชาแห่งสัตว์มีเขี้ยวงาทั้งปวง ฉันใด

ในมวลหมู่มนุษย์ ผู้ใดใคร่อยากบริวารมากๆ ต้อง การความเป็นใหญ่ มีอำนาจแต่ไร้ธรรม เข้าถึงความประมาท ย่อมถึงความพินาศ ดุจสุนัข-จิ้งจอก ฉันนั้น"

 

ชาดกทันยุค อดีตชาติของพระพุทธเจ้า ณวมพุทธ (เราคิดอะไร ฉบับ ๑๒๘ หน้า ๕๗ - ๕๙ เดือนมีนาคม ๒๕๔๔)