กัณฑ์ลูกทุ่ง โดย สมณะหม่อน มุทุกันโต ตอน...
เสียดายชีวิตที่น่ารัก

หน้า 1/2

ทำชีวิตให้สบายๆ แต่ไม่ใช่ตามใจกิเลส เป้าหมายของชีวิตมาทำความสบายให้แก่ตัวเอง ไม่ใช่มาทำความทุกข์ทับถมตนที่มีทุกข์อยู่แล้ว ทุกคนต้องช่วยตัวเอง การให้คนอื่นช่วย เป็นเรื่องน่าอาย ทำความรู้สึกอย่างนี้ให้ได้ ไม่เช่นนั้น ภารกิจจะไม่จบสิ้น การเป็นภาระของคนอื่นเป็นเรื่องน่าอาย เพราะทุกคนก็มีภาระของตัวเองเท่ากันอยู่แล้ว มีร่างกายขันธ์ ๕ เท่ากันทุกคน ต้องรับภาระกับรูป รส กลิ่น เสียงในโลกเท่ากัน ถ้ายังไม่นิพพานก็ยังโง่อยู่ ทุกข์อาจจะทุกข์ไม่เท่ากัน แต่ก็ยังขึ้นอยู่กับอวิชชาหนาบางไม่เท่ากัน

อาตมาเป็นลูกชาวนาที่ยากจน คนสมัยก่อนมีลูกเยอะ เพราะไม่กังวลเรื่องที่อยู่ที่กิน มีลูกมาก ก็จะได้ช่วยกันมาก เพราะชีวิตแต่ก่อนมันง่าย ไม่ยุ่งยาก เป็นชีวิตที่ประเสริฐ แต่คนไม่เข้าใจ

ตั้งแต่เป็นเด็ก อาตมายังระลึกได้ ชาวชนบทตื่นขึ้นก็ต้องลงมาตำข้าว แล้วเผื่อไว้ ๒-๓ วัน เผื่อไว้มากก็กลิ่นไม่ดี เดี๋ยวมอดขึ้นด้วย ก่อนสว่าง ทุกคนต้องลงมาช่วยกันตำข้าวกับพี่น้อง อบอุ่น ตำข้าวเสร็จก็แยกย้ายกันไปทำงานอื่นต่อ พี่ไปตักน้ำบ้าง แม่ไปหาเก็บผัก ในหมู่บ้านก็เป็นอย่างนั้น

อาตมาเข้าโรงเรียนถึง ป.๓ ป.๔ ยังไม่เคยซื้ออะไร ไม่เคยเห็นตลาด ไม่รู้จักกระทรวงเกษตร กระทรวงมหาดไทย ท่องหนังสือพยายามจะจำให้ได้ กระทรวงมหาดไทย นึกไม่ออก เป็นอะไร นึกถึงหาดทรายหรือมันต้นหาด… มันเป็นเรื่องยากในการศึกษา แต่พ่อเคี่ยวเข็ญไปหาครูบาอาจารย์ หาเวทมนตร์คาถามาให้ท่อง คิดว่าจะทำให้สมองโปร่งดล่ง สามารถจำได้ทีเดียว อยากให้ลหูกเรียนเก่ง อาตมาก็พยายามจะเรียนหนังสือตามพ่อ เพราะพ่อเคยเรียนหนังสือแต่ไม่จบ ป.๔ เห็นเพื่อนจบเป็นครูเป็นนาย สบายมีเงินเดือน ก็อยากให้ลูกเป็นอย่างเขา จะได้ไม่ต้องทำงานหนัก เหมือนพ่อ เหมือนแม่ เหมือนพี่ เหมือนชาวบ้าน

อาตมาก็พยายาม เพราะพ่ออุตส่าห์ไปทำสวนพริก เก็บพริกเอามาอบ แสบร้อน ต้องจามกับควันพริก เก็บยัดใส่กระสอบ พ่อเชื่อว่าการศึกษาเป็นความประเสริฐ ส่งพี่สาวก่อนไปไม่รอด ไปถึง ม.๒ คนที่ ๒ ไม่ได้เรียน ไม่มีแวว เลยมาทุ่มให้อาตมา

ตอนอยู่ประถมก็ช่วยพ่อแม่พี่น้องทำงานตำข้าว โอ… สนุก เห็นบ้านนั้นตำ เสียงครกมันดัง เสียงมันจะบอก แสดงว่าคนเดียว หรือผู้เฒ่า เออ เสียงยายคนนั้น หรือสาวคนโน้นตื่นแล้ว

ค่ำๆ ชาวบ้าน จูงควาย แบกไถ แบกฟืน ผู้เป็นแม่ก็เก็บผัก มีหมาตามก้น หมาเห่า ลูกตกคันนาก็ด่าลูกบ้าง อย่างนี้ชีวิตอบอุ่น ตอนนั้นยังไม่มีรองเท้าฟองน้ำ รอยตาสีตาสา ไอ้คนนั้นมาลักไก่ คนนั้นแน่นอน จำได้รอยอย่างนี้ไม่ยุ่งยาก มีเรื่องราวก็จบที่ผู้ใหญ่บ้าน ไม่รู้จักนายอำเภอ ไม่มีความจำเป็นสำหรับชีวิต ทุกคนพึ่งตัวเองในหมู่บ้าน

อาตมาไม่คิดว่าจะมีหมู่บ้านอื่น นอกจากหมู่บ้านตัวเอง ก่อนจะจบป.๔ ไม่คิดว่าจะมีอำเภอวังสะพุงที่อยู่ใกล้เพียง ๒-๓ กิโล ไม่เคยคิดว่าจะมีจังหวัดเลย เคยอ่านหนังสือ นายอำเภอผู้ว่า อาตมานึกไม่ออกว่าเป็นอย่างไร พูดแล้วเหมือนไม่น่าเชื่อ เป็นความอัศจรรย์

มาถึงวังสะพุง อ้าว…มีจริงๆ เพราะไม่เห็นว่าชีวิตจะต้องมีอะไรอีก นอกจากบ้านเรา บ้านก็มีอยู่ ข้าวก็มีกิน ขุดเผือกขุดมัน พริกเกลือ เสื้อผ้าอาภรณ์ พ่อแม่ทุกคนตำเอง ทอเอง หญ้ามุงหลังคาเหมือนกัน ไปตักน้ำบ่อน้ำเหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างกัน แล้วชีวิตก็ไม่เห็นเดือดร้อน นอนก็หลับสบาย ค่ำมาก็หลับ หน้าหนาว ก็ไปหาหลัวหาฟืน หลัวคือไม้ไผ่ที่มันตาย ถ้าไม้ธรรมดาเรียกว่าฟืน หน้าหนาวชายหนุ่มจะไปหาหลัว ผู้ชายจะเป็นคนถาง ลากออกมา ผู้หญิงเป็นคนแบก แล้วกลางคืนก็มานั่งก่อกองไฟ ผู้หญิงก็ลงมาเข็นฝ้าย หมกเผือกหมกมัน เจ้าหนุ่มก็มานั่งกินเผือกกินมัน ก็นั่งคุยกันไปชอบใจกันก็ตี ๑ ตี ๒ ถ้าคู่ประจำก็สว่างแล้วสว่างอีก

ใต้ถุนบ้านสูง ในหมู่บ้านไม่มีรั้วรอบ เวลาอยากรู้ว่าใครเข็นฝ้ายบ้าง ก็ก้มมองลอดใต้ถุน จะเห็นกองไฟหมด คนนั้นคนนี้ ชีวิตบ้านช่องเรือนชานโปร่ง ไม่มีอะไรปิดบังปิดกั้น แม้ในห้องนอนก็เป็นห้องโล่ง บางทีก็กั้นส้วม ห้องส้วมเป็นห้องนอนพิเศษสำหรับลูกสาว

ตอนไปโรงเรียนมัธยมครั้งแรก พ่อแม่ห่อข้าวไป อาตมาก็ห่อไป เลิกเที่ยง ไม่มีใครมากินข้าวห่อ อาตมาไม่รู้จะไปนั่งตรงไหน เขามีโต๊ะ บ้านเราไม่เคยมีโต๊ะ แล้วจะกินยังไง ไม่กล้ากินข้าว ไม่รู้จะยังไง เขาห้ามอะไรหรือเปล่า เห็นเขาซื้อขนมกิน เอ…ของกินทำไมซื้อกัน หาบขนมมาแล้วได้เงิน แล้วเอาเงินไปทำอะไร เออ..ไม่รู้ถึงปานนั้น

มาเข้าโรงเรียนมัธยม ก็งงงวยกับการซื้อการขาย และยังไม่เห็นคุณค่าของการศึกษา ตอนนั้นประมาณปี พ.ศ.๒๔๙๓ สมัยที่จีนแผ่นดินใหญ่ปฏิวัติ แล้วออกข่าว ครูพยายามให้นักเรียนออกมาพูดข่าวทุกวัน อาตมาไม่มีวิทยุฟังข่าว เสียใจมีปมด้อย เราคงจะไม่ได้คะแนน คงจะโง่ ไม่รู้เรื่องราวต่างประเทศ ก็ต่อว่าพ่อแม่อยู่ในใจว่า ทำไมพ่อของเราให้เรามาเรียนหนังสือ แล้วทำไมไม่หาวิทยุ ทำไมไม่เข้ามาในเมือง ทำให้เราต้องอับอายขายหน้า เราตำหนิพ่อแม่ที่อยู่อย่างยากจน ไม่มีวิทยุฟัง เราเริ่มเนรคุณ ดูหมิ่นเหยียดหยามพ่อแม่ตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียน

ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน พยายามจะไม่ต้องไปโรงเรียน แต่เหตุผลไม่พอ แกล้งล้มให้เสื้อผ้ามันเลอะ เราก็อ้างว่าลื่นล้ม ครั้งหนึ่งพ่อจับได้ตบกกหูเปรี้ยง "มันบ่มักดี" พยายามตั้งใจ แต่ก็สอบได้แค่นั้นแหละ หวุดหวิด ๔๙ เฉียด ๕๐ ครูต้องช่วยเหลือ พ่อต้องเอามะนาวบ้าง หน่อไม้บ้าง เอาพริกบ้าง พยายามไปประสานกับครู เพื่อให้ครูเห็นใจ จะได้ช่วยลูก ลูกจะได้พ้นจากความด้อย พ้นจากความเป็นบ้านนอก บ่อยครั้งพ่อต้องเดินเท่าเปล่า ห่อข้าวไปกินอำเภอ เพื่อไปประสานกับครู เอาอกเอาใจครู อาตมาก็ไม่เข้าใจ พ่อจะให้ไปอยู่กับคนนั้นคนนี้ เสี่ยวสหายรักกันเป็นครู เพื่อนที่เป็นครู ก็มีลูกชายเป็นครูอีกอยู่ในอำเภอ ก็เอาไปฝากให้อยู่กับครูคนนั้น ก็ไปเห็นครูกินก๋วยเตี๋ยวชามละ ๒ บาท ถ้าพิเศษ ๓ บาท ใช้อาตมาไปซื้อก็ไปซื้อ จากโรงเรียนไปตลาดกิโลกว่าๆ อาตมาถือมา เอ๊ะกินยังไงนี่เป็นเส้น อาตมาท่องชื่อก๋วยเตี๋ยวนี่นานนะ กว่าจะจำได้ กลัวจะลืม หลายครั้งหลายครา มันหอม อยากจะกินอย่างครู ทีนี้ครูก็ซื้อหมูแดงอีก เอ๊…มันมีหมูแดง ให้เงินไป ๔ บาท ให้ซื้อหมูแดง ไปร้านไม่เห็นหมู แล้วเราจะบอกว่าไง ยังงี้แหละไม่มีปฏิภาณเอาเลย

จบจากอำเภอ เป็นโรงเรียนราษฎร์ มีแค่ ม.๕ ไปต่อที่จังหวัด ไปอยู่กับผู้กอง ผู้กองเลี้ยงห มู แล้วก็ให้เราไปเอาขี้เหล้าที่โรงเหล้าทุกวัน เขาต้มเหล้าขาว แล้วจะมีขี้เหล้า ๔-๕ วันก็จะไปขอขี้เหล้า เขียนจดหมาย จดหมายผู้กองนี่บ่อยนะ สัปดาห์หนึ่งหลายครั้ง ถือลายเซ็นไปที่โรงพักบ้าง ไปเอาที่ร้านเสื้อผ้า ร้านขายบุหรี่บ้าง เอาแต่ลายเซ็นไป ดีแฮะ เราก็อยากเป็นผู้กอง เอ๊ะ… การศึกษามันดีอย่างนี้ เอาละ ชักจะเริ่มเห็นดีแล้ว ได้สิทธิพิเศษอีกอย่างหนึ่ง อาตมาไปแอบสูบบุหรี่เป็นที่ตรงนั้น ทำไมผู้กองสูบทุกวัน กลิ่นทีแรกเหม็นต่อมาก็หอมขึ้นๆ น่าลอง แอบสูบทีแรกกระอักกระอ่วน แต่ก็เป็นจนได้

เมื่อไปอยู่จังหวัดไปอยู่กับผู้กอง เราป่วย ภรรยาผู้กองก็ส่งข่าวไปที่บ้านบอกพ่อแม่ว่า ลูกชายป่วย เพราะภรรยาผู้กองรับซื้อพริก ซื้อข้าวจากชาวบ้าน ภรรยาผู้กองก็ไปบ้านเราด้วย พ่อแม่ก็สงสารลูก มัดผ้าห่มผ้านวม มะลุ่มปุ้มปุ๊ก หาบมะโลงมะเตงไป เราเห็นพ่อแม่ไปเราอาย… พ่อแม่เราเราทำไมซอมซ่อ ทำไมไม่รู้ประสา ทำไมทำน่าอายอย่างนี้

พ่อก็ห่อข้าวมาด้วย ดูซิ…มาจังหวัด ก็ยังห่อข้าวมากิน เราอาย เราหนีต่อหน้าเลย ประชดไม่อยากพูดด้วย อาตมาอาย ความอายเริ่มขยับสูงขึ้นๆ ดังนี้ คือความโง่ ความไม่เข้าใจ ความลบหลู่บุญคุณ เริ่มมีเล่ห์เหลี่ยมซับซ้อนเลวทราม น่าอาย (จริงๆ) มากขึ้น

อาตมาเรียนไม่จบ ม.๘ สอบตก เพราะเริ่มไปรักผู้หญิง มันเป็นสหศึกษารุ่นแรก เมื่อเราเรียนจบ เพื่อนๆก็ไปเป็นครู เป็นโน่นเป็นนี่ เราไปสอบอะไรก็ไม่ได้ พ่อแม่ก็ยิ่งอายที่ลูกตัวเองไม่มีโอกาสจะเป็นเจ้าเป็นนายอย่างเขา ไปที่ไหนพ่อแม่ก็ถูกเพื่อนบ้านวิจารณ์ เห็นไหม มันขายไร่ขายนา มันขายพริกขายถั่ว มันลำบากไม่ได้อยู่ได้กิน ลูกไม่เห็นไปได้ดีอะไร พ่อแม่ก็อับดาย ออกสมาคมมีปมด้อย อาตมาก็สมน้ำหน้าพ่อแม่ อยากไม่มาอยู่ในเมืองทำไม มันไม่ทัน ลูกเต้าก็โง่อย่างนี้แหละ

จนกระทั่ง ไปๆมาๆ มีมานะฮึดสู้ จนเข้ากระแสโลกได้ กู้ศักดิ์ศรีของพ่อแม่ อาตมาไปเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยกับเขา ชื่อมันติดบอร์ด อาตมาจำได้ ตัวมันพองเหมือนจะระเบิดออกมา หัวใจมันวาบ กูก็คนหนึ่งละ นิสิต นักศึกษา เมื่อจบออกมาแล้ว ลึกๆ ไม่อยากอยู่ในเมือง มันรู้สึกลึกๆของหัวใจ มันเห็นคนแย่งกันไปอยู่ในเมือง มันไม่เอา ก็ไปอยู่บ้านนอก มันเริ่มมีความคิดอะไรขึ้นมาพอสมควร

ก็ไม่อยากจะเป็นครู พ่อแม่อยากให้เป็นครู พยายามหลบเลี่ยงหลายครั้ง หลบเลี่ยงไปไม่อยากจะเป็น พอเราระลึกย้อนไป มันอยากกินหมูแดงอย่างครู อยากสูบบุหรี่กินเหล้าใช้สิทธิ์อย่างผู้กอง อยากมีรถแข่งอย่างครู อยากมีมอเตอร์ไซค์อย่างนายห้าง เมื่ออาตมาเป็นครูแล้ว มีมอเตอร์ไซค์ ถูกเขาตีถูกเขายิงเอามอเตอร์ไซค์ อาตมาสมน้ำหน้าตัวเองตอนนั้น ก็เขาไม่มี เรามี เขาอยากได้ ก็ถูกแล้ว ตัวเอ็งชีวิตมันง่ายๆ เอ็งไม่ชอบ เอ็งไม่เข้าใจ ไปหาเรื่องหาราว ให้คนอยากมีอย่างเรา มาถึงวันนี้ได้ศึกษา พยายามจะศึกษาตามความรู้ ตามปัญญา ตามประสบการณ์ของชาวบ้าน

มาเข้าใจว่าทุกชีวิต เรื่องราวของชีวิตอาชีวะทั้งหมดของชีวิตทุกชีวิต ที่อุบัติขึ้นมา หาวิธีการที่จะให้ชีวิตดำรงอยู่อย่างเยี่ยมยอดสุขสันต์เปรมปรีดิ์ เป็นเป้าหมายของชีวิต ที่จะหาวิธีการอยู่ทั้งหมดของชีวิต อาแปลว่าทั่ว ชีวา ชีวะ ชีโว ชีวิต พฤติกรรมของชีวิตมันอุบัติขึ้นมาแล้ว มันหาวิธีป้องกัน พยายามดำรงอยู่ แต่ก็อยู่อย่างวิปริต มันเห็นผิดไป ด้วยความไม่รู้ด้วยความโง่ที่ไม่เข้าใจ แม้แต่พ่อ แม้แต่ชาวบ้าน ที่ไม่เข้าใจ พ่อไม่เข้าใจว่าจริงๆ ชีวิตเรียบง่ายสันโดษ รู้จักพอ ไม่ต้องเบียดเบียนใคร ชีวิตอย่างนั้นดีแล้ว ไม่ต้องส่งลูกเข้าโรงเรียนมันดีแล้ว ทุกวันนี้ เวลาอาตมาเดินผ่านหมู่บ้าน ญาติโยมมาขอโชคขอลาภ ขอบัตรขอเบอร์ ขอของดีของวิเศษ อะไรก็แล้วแต่ เขาจะอ้างหนี้สิน ต้องส่งลูกเรียน ต้องซื้อสมุด ดินสอ รองเท้า ชุดกีฬา ชั้นใน สบู่ โอ… น่าสงสาร…ชีวิต

จริงๆเขาไม่ต้องมีอะไร อยู่กับทุ่งไร่ทุ่งนาดีแล้ว แต่ด้วยความไม่รู้ เขาจึงต้องลำบากลำบน เราพยายามอธิบายว่า เกิดเป็นคนนะดีแล้ว ประเสริฐแล้ว อยู่ทุ่งไร่ทุ่งนาดีอย่างไร ก็พยายามอธิบาย แต่เขาก็ไม่เข้าใจ ต้องมีเงินทอง ต้องมีนั่นมีนี่อย่างที่คนอื่นเขาเป็น เราก็สงสาร เป็นเหมือนเรา เหมือนพ่อแม่เราเมื่อก่อน ก็ยิ่งศรัทธาพระพุทธเจ้า ว่าโอ… พระพุทธเจ้า ท่านมาประกาศยืนหยัดยืนยันชีวิตที่เยี่ยมยอด

การมีชีวิตอยู่ที่ยอดเยี่ยมคืออย่างไร อธิบายไม่หวาดไหว ไม่รู้จะพูดอย่างไร คนจึงจะเข้าใจ พระพุทธเจ้าแสดงธรรม บอกกล่าวชี้แจงเป้าหมายทุกครั้ง ให้คนรู้ความจริงถึงที่สุด เปิดเผยความจริงทุกแง่ทุกมุมในจักรวาลนี้ อะไรมันสลับซับซ้อน มีเล่ห์เหลี่ยมอย่างไรก็เปิดเผย ท่านพูดไม่หวาดไม่ไหว ก็เลยมาเอา "ตัว" มา "เป็น" ให้เห็นเลย ว่าคนอย่างนี้แหละ มีแค่นี้แหละ ไม่ต้องมีบ้านช่องเรือนชาน ไม่ต้องกังวล ถ้าคุณมีชีวิตอยู่แต่ไม่รู้ความจริง ไม่รู้ความเป็นบุญเป็นบาป ก็เหมือนสัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่ประเสริฐอะไร

ท่านมายืนยันความประเสริฐ มาบอกวิถีชีวิตว่า ชีวิตทั้งหลายมันน่าสงสาร เกิดมาเป็นคนแล้วไปทำบาปทำกรรม ทำโง่ๆ หาเงินหาทองนี่ พูดจริงๆเถอะมันน่าอาย มันเอาเปรียบเพื่อนร่วมโลก การหาเงินคือ การเอาเปรียบเพื่อน เริ่มตั้งแต่ความโง่ เอาเปรียบในการแลกสิ่งของ เริ่มตั้งแต่แบ่งปันที่ดิน เริ่มตั้งแต่ตนเองพึ่งตนเองไม่ได้ แล้วก็หาวิธีจะเอาเปรียบกัน เบียดเบียนกัน ตัวเองอยากมีชีวิตอยู่ เขาก็อยากมีชีวิตอยู่ แล้วเอาเปรียบกันทำไม มันน่าสงสารเหมือนกัน คนไม่อยากตายเหมือนกัน ไม่อยากเดือดร้อนเหมือนกัน ทำไมไม่เข้าใจ น่าจะรู้ คนไม่ต้องยุ่งยาก ไม่ต้องมีอะไรมาก

(อ่านต่อหน้า๒/๒)

หนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร ปีที่ 7 ฉบับ 124 เดือนพฤศจิกายน 2543