พัดลมตั้งโต๊ะหมุนส่ายไปมา พลังลมกระจายออกไปถึงสามสี่เมตร
ฝูงยูงที่ลาดตระเวนล่าเหยื่อผ่านมา ถึงกับปลิวไปตาม แรงลม
ปู่สิน วัย ๗๗ ปี วันๆ ก็จะออกจากห้องนอนมานั่งอยู่บนม้ายาวไม้สักทอง
มีพนักพิง ที่ตั้งติดฝาของห้องโถงหลังบ้าน มีโต๊ะ ทรงกลมตั้งอยู่ใกล้ๆ
พร้อมถาดผลไม้ มีกล้วยหอม องุ่นและส้มจัดไว้ให้หยิบกินได้ตลอดทั้งวัน ถึงยังแข็งแรงช่วยตัวเองได้ดี
ก็มีแต่สายตาเท่านั้นที่ฝ้าฟาง มองอะไรไม่ค่อยจะชัด
วันนั้นปู่สินคงรู้สึกเหงา ที่ต้องนั่งอยู่ที่เดิมมานานเป็นปีๆ
จึงลุกจากม้านั่งแล้วเดินออกไปยังห้องใหญ่หน้าบ้าน ซึ่งเปิดเป็น ร้านค้า
มีชั้นวางสินค้าวางเต็ม เว้นทางเดินเป็นช่องขนานไว้ พอปู่สินเดินพ้นประตูออกมายังไม่ถึงสองก้าว
ลูกชาย เจ้าของกิจการ เหลือบไปเห็นเข้า ก็ร้องเสียงดัง "อ้าวพ่อออกมาทำไม
เดี๋ยวก็เหยียบข้าวของเสียหายหมดหรอก (แท้จริงแล้วกลัวจะกีดขวางลูกค้า) กลับเข้าไป กลับเข้าไป" ปู่สินหยุดชะงักอย่างคนว่าง่าย
แล้วหันกลับเดินไปนั่งนิ่ง ดั่งหุ่นที่ม้ายาวตัวเดิม ปู่สินก็ไม่รู้เหมือนกันว่า
จะเดินออกไปหน้าร้านทำไม แต่ก็อยากจะออกไป เพราะหลายปีแล้วที่ต้องนั่งๆ
นอนๆ อยู่กับม้ายาวตัวเดิม และที่ปู่สินไม่กล้าฝืนที่ลูกชาย ห้ามออกไปเดินเล่นที่หน้าร้าน
ก็เพราะในใจส่วนลึกนั้นกลัวว่า ลูกจะโกรธแล้วขับไล่ไสส่ง ให้ไปตกระกำลำบากอยู่ที่อื่น
(บ้านพัก คนชรา) เพราะทรัพย์สินทุกอย่างก็โอนให้ลูกหมดแล้ว
ปู่สินคิดไปแบบพ่อค้า เปรียบตัวเองดั่งสินค้าที่เก่าชำรุด เสื่อมค่าไร้ราคา
กลัวว่าลูกจะทอดทิ้ง
ใกล้เที่ยง แม่ครัวสาวใช้ในบ้าน จัดอาหารหวานคาว
มาตั้งไว้บนโต๊ะทรงกลมเช่นทุกมื้อ ซึ่งเป็นอาหารเฉพาะปู่สิน สำหรับ ของลูกชาย
เขาจะกินข้าวที่โต๊ะทำงานในร้าน ส่วนพวกคนงานก็จะสับเปลี่ยนกัน ไปกินที่หลังร้าน
ตามที่แม่ครัวจัดเอาไว้ให้ ถึงแม้จะอยู่กันหลายคน แต่ทุกคนต่างก็มีหน้าที่
ต้องทำกันอยู่ทั้งวัน เสียงรถยนต์วิ่งผ่านหน้าร้านอยู่ไม่ขาดสาย เสียงลูกค้าจอแจ
เลือกซื้อสินค้า บวกกับเสียงลูกชายเจ้าของร้าน สั่งคนงานให้จัดห่อ มัดสิ่งของให้กับลูกค้า
คือเสียงที่ได้ฟังจนชาชินมานานวัน
ปู่สินเงยหน้าขึ้นมองภาพของเมียรัก ที่ได้ล้มหายตายจากไปเมื่อ
๗ ปีก่อน ที่ห้อยติดอยู่ข้างฝา ก็ยิ่งทำให้คิดถึงความหลังที่ เคยได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา
อยากจะย้อนวันเวลาในอดีต ให้กลับคืนมาอีกสักครั้ง เพียงคิดถึงความหลัง
ก็ยังทำให้หัวใจของผู้เฒ่า ชุ่มชื้นขึ้นมาบ้าง คิดถึงความรู้สึกของลูกชายในปัจจุบัน
ซึ่งก็คงไม่แตกต่างอะไร กับความรู้สึกของตนเอง ตอนเป็นหนุ่ม ที่มุ่งหาแต่
เงินเป็นเรื่องใหญ่ และมีความสุขสมใจ กับยอดเงินที่เพิ่มขึ้นทุกๆ วัน
ปู่สินลุกจากม้ายาว มานั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่
คู่กับโต๊ะทรงกลม ที่มีข้าวปลาอาหารพร้อม แต่วันนี้รู้สึกไม่ค่อยหิว เป็นเหมือน
หลายๆ มื้อที่ผ่านๆ มา แต่ก็ต้องฝืนกินไปตามเวลา เมล็ดข้าวสีขาวส่งกลิ่นหอมกรุ่น
แหว่งไปไม่ถึงครึ่งจานก็รู้สึกอิ่ม แต่ปู่สินยังคงนั่งนิ่ง ตาจ้องดูเมล็ดข้าวที่เหลือ
แล้วเรื่องราวในอดีต ที่เกี่ยวกับการซื้อขายข้าว ก็ผุดขึ้นมา
"เถ้าแก่สิน ผมมาเอากระสอบ ๕๐ ใบไปใส่ข้าวเอามาขายให้เถ้าแก่"
ชาวนาต่างมาเอากระสอบ ไปใส่ข้าวเปลือก แล้วนำ มาขาย ที่โกดังเก็บข้าวของเถ้าแก่สิน
แต่จำได้ติดตา คือวิธีการโกงของตน เมื่อชาวนาเอากระสอบข้าวเปลือก มาถึง
ก็ให้คนงานยกขึ้นตาชั่ง ครั้งละสองกระสอบ สายตาของชาวนาทุกคู่จะพากันจับจ้องอยู่ที่ลูกตุ้ม
เลื่อนไปมาตามตัวเลขของเครื่องชั่ง ไม่มีใครจะสังเกตเห็นปลายเท้าของผู้ชั่งข้าว
ที่สอดเข้าไปค้ำยันอยู่ใต้กระสอบ ในการชั่งแต่ละครั้ง จะได้ข้าวมาฟรีๆ
อย่างน้อยสองกิโลกรัม ยิ่งกว่านั้น ก็ยังมีการปรับแต่งเครื่องชั่ง โกงเอาไว้อีกด้วย
ยิ่งเก่งโกงได้หลายทาง กำไรก็ยิ่งพอกพูนขึ้น จนหลายปีต่อมา ได้มีกลุ่มพ่อค้าข้าวหลายเจ้า
มารับซื้อข้าวเปลือกกัน ก็รู้สึกไม่สบายใจที่มีคนค้าข้าวแข่ง แต่ก็รู้สึกสบายใจ
ที่ไปซื้อที่ได้ตรงหน้าตลาด แล้วสร้างตึกสองชั้น กว้างสิบสองคูณยี่สิบห้าเมตร
เป็นร้านค้าตั้งแต่บัดนั้นมา
คิดฟุ้งไปถึงเรื่องราวในอดีตเก่าก่อนผ่านไป
แต่สายตาของปู่สินยังคงจับจ้องอยู่ที่เมล็ดข้าวในจาน แล้วความคิดหนึ่งก็
เกิดแวบขึ้น... เราเคยเป็นเจ้าของเมล็ดข้าว ที่ซื้อไว้ตั้งหลายพันตัน
แท้จริงเราก็กินข้าวได้แค่อิ่มนั่นเอง ไม่ต่างกับแก้ว แหวนเงินทอง ที่ใครๆ
ต่างก็คิดจะกอบโกย เอาเข้ามาเป็นของของตน อย่างไม่รู้จักพอสักที ทั้งที่แท้จริงแล้ว
สุดท้าย ทรัพย์สินเงินทองมหาศาล เหล่านั้น ก็ต้องตกไปอยู่ในมือคนอื่น
มันไม่ใช่ของเราทั้งหมดเลย แม้แต่ทรัพย์สมบัติที่มีไม่น้อย ปัจจุบันก็ยังถูกโยกย้าย
ไปเป็นของลูกชายหมดแล้ว ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ยังไม่ทันตายไปเลย ปู่สินเริ่มเข้าใจกระจ่างชัดมากขึ้น
มันช่างเป็นความคิดใหม่ ที่เขาไม่เคยคิดพิจารณาเช่นนี้ มาก่อนเลยจริงๆ
แม่ครัวเข้ามาเก็บสำรับ ปู่สินลุกจากเก้าอี้
เข้าห้องน้ำ แล้วกลับมานั่งที่ม้ายาวตัวเดิม สายตาจ้องไปที่พัดลมตั้งโต๊ะตัวเดิม
ที่มันหมุนส่ายไปมาอยู่ทั้งวัน แต่ใจของปู่สินนั้น กลับคิดไปถึง ชาวไร่ชาวนารุ่นราวคราวเดียวกัน
ที่ไม่ได้มั่งมีทรัพย์สินเงินทองอะไรมากนัก หลายคนมีฐานะยากจนด้วยซ้ำ แต่พวกนั้นก็ยังมีรอยยิ้ม
ดูท่าทีไม่เห็นทุกข์ร้อนอะไร
ผู้เฒ่าที่ยังแข็งแรงก็เข้าไปหาเก็บเห็ดหรือ
หาหน่อไม้ในป่ากว้างใหญ่อย่างเสรี ท้องทุ่งเหลืองทองอร่ามไปด้วยข้าวสุก
ชาวบ้านมาลงแขกเกี่ยวข้าว ผู้เฒ่าก็มักจะมานั่งคอยให้กำลังใจอยู่ที่เถียงนา
เป็นประเพณีอันดีงาม ที่ยังคงสืบทอดกันมา ผู้เฒ่าหลายคน มีลูกหลานห้อมล้อม
ถามทุกข์สุขอยู่ไม่ขาด และผู้เฒ่าอีกหลายคน ลูกหลานยังมีเวลาพาไปวัด ได้ฟังธรรม
ทำบุญอยู่ไม่ขาด
ชีวิตเสรีมันเกิดขึ้นกับพวกนั้นได้อย่างไร
ปู่สินย้อนนึกถึงตนเองที่ร่ำรวย เข้าตำราที่ว่า "คนมีวาสนาค้าขายอะไรก็ร่ำรวย"
แต่ทำไมความรวยนั้น กลับส่งผลให้เกิดเป็นความทุกข์ทางใจอยู่เล่า
ซ้ำร้ายชีวิตยังตกอยู่ในสภาพ ไม่ต่างกับนกแก้วใน กรงทอง
เป็นเพราะอะไร ปู่สินยังมืดมน
|