ฝุ่นฟ้าฝากฝัน ตอน...
พลั้งไปในวันนี้ แต่..ต้องดีในวันหน้า
หนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร ฉบับ 118
หน้า 1/1

วิภาส เปิดลิ้นชักที่แม่เคยชอบทิ้งเงินไว้หยิบเอาเงินสองร้อยบาท แล้วเดินออกจากบ้านด้วยอารมณ์งุ่นง่าน สุนัขขี้เรื้อนตั้งท่าเห่าหอน อยู่ข้างทาง วิภาสหนุ่มน้อยวัย ๑๔ ปี หงุดหงิด คว้าก้อนหินเท่ากำปั้นปาใส่สุนัขตัวนั้นสุดแรง แต่พลาดเป้ามันวิ่งหางจุกตูดหนีไป

วิภาสมายืนอยู่ริมรั้วข้างบ้านสองชั้นหลังหนึ่ง แล้วยกมือชูสองนิ้วขึ้นไม่นาน ชายเจ้าของบ้านก็เดินออกมาหาพร้อมยื่นห่อกระดาษเล็กๆ ส่งให้วิภาสและรับเงินสองร้อยบาทไปอย่างว่องไว

บ้านไม้สองชั้นที่ปลูกอยู่สุดปลายซอยเป็นแหล่งของพวกวัยวุ่นติดยา เพราะเจ้าของบ้านได้ออกไปขายสินค้าตามตลาดนัด เดือนหนึ่งจะกลับมาพักที่บ้านแค่สามสี่วันเท่านั้น มีแต่ลูกชายวัย ๑๔ อยู่บ้านคนเดียว วิภาสเดินมาถึง ด้วยอาการร้อนรนตรงรี่เข้าไปคว้าเข็มฉีดยา และอุปกรณ์มาจัดการฉีดยาเข้าเส้นทันที

วิภาสถอนเข็มออกจากแขนนั่งเหยียดขาหลังพิงฝา หลับตา แต่โสตประสาทนั่นกลับตื่นเต็ม ความกระวนกระวายที่อยากจะตีหัวหมาด่าแม่เจ๊กก่อนนั้นหดหายไปสิ้น มีความสุขสมอยากความเมามันและคิดฟุ้งฝันปั้นแต่งจินตนาการ ด้วยฤทธิ์ของยาเข้ามาแทนที่

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป วิภาสลืมตามองไปรอบๆเห็นพวกเพื่อนๆกำลังนั่งนอนเมามันงัวเงียอยู่ "ก๊อกๆๆๆ" วิภาสลุกขึ้นไปเปิดประตูรับเพื่อนที่มักทยอยมาเสพยา พอประตูเปิดออก หัวใจของวิภาสก็แทบหล่นมากองอยู่กับพื้นเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งนอกและในเครื่องแบบกรูเข้ามา

ประภากำลังจัดเตรียมล้อเข็นอุปกรณ์ชุดทำขนมครก จะไปขายในตลาดช่วงบ่ายมอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าบ้านพร้อมเสียงเรียก "น้าภาอยู่หรือเปล่า" ประภาเดินออกไปหา เป็นเด็กข้างบ้านนั่นเอง "น้าครับ วิภาสกับเพื่อนอีกหลายคนถูกตำรวจจับไปแล้วครับ" ประภารู้สึกเข่าอ่อนจะเป็นลมต้องรีบเข้าไปยืนพิงฝา มองดูหนุ่มผู้หวังดีขับรถออกไปโดยไม่ได้ถามอะไรต่อ แม้แต่คำขอบคุณที่ได้มาส่งข่าว เพราะรู้ดีว่า ลูกชายติดยาเสพย์ติดมาปีกว่าแล้ว แต่ก็จนปัญญาจะแก้ไข

สี่เดือนแล้วที่วิภาสถูกจับนำไปอยู่ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก ประภาต้องหยุดขายขนมไปเยี่ยมลูกชายทุกสัปดาห์ ด้วยความห่วงใยและคิดถึงตามประสาแม่ลูก

สามีก็เอาแต่ไปมั่วสุมการพนัน กลับบ้านไม่เป็นเวลา ส่วนลูกสาวสองคนพอแต่งงานแล้วก็ไปอยู่กับสามีต่างหมู่บ้าน นานๆ จะโผล่มาเยี่ยมพ่อแม่สักครั้งเธอจึงอยู่เดียวดาย

ข่าวประจำวันภาคค่ำ วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๔๓ เริ่มขึ้นด้วย ข่าวเหตุการณ์เด็กชายที่อยู่ในความปกครองของเจ้าหน้าที่บ้านกรุณาสถานพินิจ และคุ้มครองเด็กกลางกระทรวงยุติธรรม ถนนสรรพาวุธ แขวงและเขตบางนาประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ คน ใช้ค้อนและอุปกรณ์ก่อสร้างเท่าที่จะหามาได้ทลายกำแพงหลบหนีออกไป

ประภาตกใจเป็นห่วงลูกชายจะได้รับอันตรายจนยากจะฝืนกล้ำกลืนคำข้าวที่พึ่งจะกินได้ การปล่อยให้น้ำตามันไหลเอ่อออกมาเท่านั้นที่จะทำให้ความทุกข์ใจคลายลงบ้าง "ลูกรักของแม่ ตอนที่เจ้าเกิดมาแม่ก็เจ็บปวดแทบขาดใจ แต่ก็เป็นความเจ็บปวดแค่ชั่ววันคืน แต่พอลูกเติบใหญ่เป็นวัยรุ่น ลูกกลับทำให้แม่เจ็บปวดดวงใจ ทุกข์ใจด้วยความรักและห่วงใยอยู่ไม่เว้นวัน" ประภารำพึงรำพันพร้อมสายน้ำตาที่ไหลรินลงอาบแก้ม "สาธุขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และคุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองลูกของข้าน้อยให้รอดปลอดภัยด้วยเถิด" เธอไหว้วอนร้องขอตามความรู้สึกของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม เมื่อตกอยู่ในยามตกยากคับขัน

เธอเป็นอีกคนหนึ่งในหลายร้อยหลายพันคนที่กำลังแสดงละครชีวิตบทเศร้าสะเทือนใจในเรื่อง ลูกผู้ทำให้พ่อแม่ตกอยู่ในกองทุกข์ได้ตลอดทั้งคืนและวัน

ในสังคมปัจจุบัน เยาวชนที่หลงไปติดยาเสพย์ติดนับวันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น และส่วนใหญ่ก็จะมาจากครอบครัวที่ขาดความอบอุ่นมีปัญหาและขาดศีลธรรมไม่เว้นแม้ครอบครัวที่มั่งคั่งมีเงินทอง

ผู้นำครอบครัวที่พากันหลงทางชีวิต เช่น มั่วสุมการพนันหวยใต้ดิน หวยรัฐ ติดเหล้าเข้า คลับเข้าบาร์เป็นนิสัย จึงไม่ต่างจากช้างเท้าหน้าที่กำลังนำพาครอบครัวมุ่งสู่ทางตกต่ำหุบเหวแห่งชีวิต โดยไม่คำนึงห่วงใยช้างเท้าหลังแม้แต่น้อยเลย

แท้จริงแล้วพระสงฆ์องค์เจ้าตามวัดในแทบทุกชุมชนนั่นแหละ ที่จะเป็นผู้นำพระธรรมคำสั่งสอนมาสอนสั่งผู้นำครอบครัว และเยาวชนให้ประพฤติตนเป็นคนดี แต่ก็น่าเสียดายเมื่อพระสงฆ์ที่ตั้งตนเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายรูป กลับมาหมกมุ่นประกอบกิจอยู่แต่ในเรื่องเดรัจฉานวิชาหรือมุ่งคิดแต่เรื่องหาเงินจากกองกฐินผ้าป่า และมุ่งแต่จะสร้างถาวรวัตถุ จนชาวพุทธพากันหลงทางพากันไปกราบต้นไม้หรือรูปปั้นอนุสาวรีย์ ขอหวยใต้ดินเกร่อทั่วบ้านทั่วเมือง ทั้งที่เป็นเมืองพุทธแท้ๆ อบายมุขทุกรูปแบบ ครอบคลุมมอมเมาประชาชนทุกมุมเมือง และบ้านนอกบ้านนาบ้านป่ากลางพงไพร

ชาวพุทธหลายคนพูดออกมาเต็มปากว่า "เราเป็นชาวพุทธแค่สังกัดอยู่ในทะเบียนบ้านเท่านั้น ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยตักบาตรเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรมและกราบพระด้วยความศรัทธาอย่างจริงจังสักครั้งเลย" ยิ่งข่าวใหญ่ที่หนังสือพิมพ์ลงหน้าหนึ่งอยู่บ่อยๆ เรื่องพระข่มขืนกระทำชำเราสตรีเพศ พระค้ายาบ้า พระฆ่าพระ ก็ยิ่งทำให้ปุถุชนชาวพุทธหลายคนไม่ใส่ใจในพระพุทธศาสนา และคิดว่าพระธรรมคำสอนของพระศาสนานั้นไม่มีความจำเป็นต่อชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันของเขาเลย

ถึงแม้พระอลัชชีที่กระทำผิดพระวินัยอย่างร้ายแรง จะมีอยู่เพียงน้อยนิดก็ตาม แต่ก็ทำให้แปดเปื้อนภาพลักษณ์พระสงฆ์ส่วนใหญ่ของศาสนา หากพระสงฆ์ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยกันอย่างจริงจัง เริ่มต้นแต่ปฏิบัติงดเว้นจากเงิน (พระไม่รับเงิน)ได้ พระอลัชชีก็จะลดน้อยหดหายไปจากแวดวงพระสงฆ์ไทยเป็นแน่ พระอลัชชีไม่ได้มุ่งหวังพระนิพพาน แต่มุ่งหวังเงินทอง ลาภยศศักดิ์ยิ่งกว่าอื่นใด

ในยุคสมัยนี้ พลังของศีลธรรมเท่านั้น ที่จะมาฉุดดึงผู้นำครอบครัวให้เกิดจิตสำนึกและเป็นแบบอย่างนำเยาวชนสืบสานสังคมอันดีงามต่อไป.