สีสันชีวิต
สมณะกรรมกร กุสโล ลูกกตัญญู'
ฝ่ามรสุมชีวิต
ด้วยคุณธรรมแห่งความกตัญญูกตเวที มีน้อยคนนักในสังคม ที่จะเสมอเหมือน
ย้อนอดีตขมขื่นของเด็กชายณรงค์
แซ่จัง
อาตมามีเตี่ยเป็นคนจีนแท้ แม่เป็นคนไทยแท้ เกิดที่อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดอุดรฯ
มีพี่สาว ๒ คน อาตมาเป็นสุดท้อง ตอนนี้อายุ ๕๑ ปี แต่เดิมแม่ขายหวย พอมีคนถูกหวยมาก
แม่ไม่มีเงินจ่าย เลยต้องหลบหนี ทำให้บ้านแตกสาแหรกขาด ต้องไปขออาศัย ใต้ถุนบ้านเขาอยู่
ในสลัม ความยากจน ทำให้แต่ละวัน ไม่เคยได้กินข้าวอิ่ม บางวันต้องไปเก็บ เศษอาหารกิน
ตอนอยู่โรงเรียน ก็ต้องคอยเศษอาหารเหลือ ในถ้วยชามของครู เวลาที่ครูใช้ ให้เก็บไปล้าง
แม่ต้องหาพริกหาเกลือ ไปแลกข้าวชาวบ้านมากิน อาหารแต่ละมื้อ มีแต่ปลาร้า
ปลาหมัก
เมื่ออาตมาอายุประมาณ ๔ ขวบ
แม่ก็เลิกกับเตี่ย กลับไปอยู่บ้านเดิม ที่มหาสารคาม และพาอาตมาไปด้วย ต่อมาแม่มีสามีใหม่
ช่วงนั้น อาตมาเรียนหนังสือ ชั้น ป.๑ ป.๒ กลับบ้าน ก็ต้องไปช่วยพี่สาว ขายปลาหมึกย่าง
ที่วิทยาลัยครู ความยากจน ทำให้ต้องดิ้นรนมาก ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ แต่อาตมา
มีความจำดี ทำให้สอบได้ อยู่ในระดับต้นมาตลอด
พอจบ ป.๔ อายุ ๑๐ ขวบ เตี่ยมีอาการโรคประสาท
อาตมาจึงกลับไปช่วยดูแลเตี่ย ที่บ้านไผ่ ตอนนั้นมีคนรู้จัก ถามว่าจะไปไหน
ก็บอกเขาว่า จะไปทำงาน หาเลี้ยงเตี่ย พูดโดยจิตสำนึกที่รู้ว่า เราเป็นลูก
ต้องมีหน้าที่เลี้ยงดูพ่อแม่ อาตมาไปเป็นลูกจ้าง ขายของสารพัด เงินเดือน
แล้วแต่เขาจะให้ ทำดีเขาก็ให้มาก ทำไม่ดีเขาก็ให้น้อย เคยเป็นเด็กล้างถ้วยกาแฟ
ขายกาแฟที่โรงแรม ขายขนมขบเคี้ยว หน้าโรงหนัง ตามตลาด สถานี บขส. บางทีเถ้าแก่
ก็ให้ไปขายของ ในงานเทศกาลต่างๆ เช่น งานงิ้ว หนังกลางแปลง สวนสนุก งานกฐินผ้าป่า
ได้เงินเดือนตั้งแต่ ๕๐, ๖๐ จนถึง ๑๐๐ บาท เคยเป็นลูกจ้าง อู่ซ่อมรถ ร้านทำประตูเหล็ก
และ ขี่รถสามล้อรับจ้าง
กรรมวิบากที่ท้าทายเกราะแห่งศีลว่ามั่นคงแข็งแกร่งเพียงไร
เตี่ยมีอาชีพเป็นช่างตัดผม แต่มาในยุคของจอมพลสฤษดิ์ เขาสงวนอาชีพตัดผมให้คนไทย
เตี่ยเป็นคนจีน เลยไม่มีอาชีพ เนื่องจากเตี่ย ติดกาแฟ และกินยาแอสโปร เป็นประจำ
จนทำให้เกิด โรคประสาทหลอน มีอาการคลุ้มคลั่ง เป็นบ้าอยู่หลายปี พูดกันไม่รู้เรื่อง
จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่ก็อยู่แถวๆ
นั้น อาตมาไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนนั้นเป็นลูกจ้าง อาศัยกิน อยู่กับเขาเสร็จ
ก็ได้แต่คอยวิ่งหาข้าว หาน้ำให้เตี่ย วันหนึ่ง ขณะกำลังชงกาแฟให้ลูกค้า มีคนวิ่งมาบอก
ว่าเตี่ยกำลังอาละวาด ให้รีบไปช่วย และเตี่ยก็ยังไม่ได้กินข้าว สภาพของเตี่ย
ที่เป็นคนบ้า ทำให้ผู้คนหวาดกลัว และแตกตื่น แต่เตี่ยก็ไม่เคยทำร้ายใคร อาตมา
ไม่รู้จะทำอย่างไร ลูกค้าก็อยู่เต็มร้าน จะทิ้งไปก็ไม่ได้ ขณะนั้น มันมีความรู้สึกรันทดใจ
กับชะตาชีวิตของตัวเอง จำได้ว่า น้ำตามันตกใน
เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นเสมอๆ
และก็จะมีคนมาคอยบอก เตี่ยเอ็งอาละวาด อยู่ที่นั่นที่นี่ คนในละแวกนั้น ส่วนใหญ่
รู้จักอาตมา เขาสงสาร คอยช่วยเหลือ และชื่นชมว่า อาตมาเป็นเด็กขยัน มีความกตัญญู
ช่วงที่เตี่ยมีอาการคลุ้มคลั่ง บางครั้ง จะพยายามฆ่าตัวตาย เคยผูกคอตาย มาหลายครั้ง
แต่มีคนมาพบ และช่วยไว้ทัน ถึงกระนั้น เตี่ยก็ยังหาโอกาส ทำร้ายตัวเองเสมอ
มีเถ้าแก่คนหนึ่ง เคยเป็นเพื่อนสนิทกับเตี่ย
เขาพยายามช่วยเตี่ย แต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร จนในที่สุด คงด้วยความสงสารอาตมา
เขาแนะนำ ว่าถ้าอยากช่วยเตี่ย เอายาพิษให้เตี่ยกิน ให้ตายไปเลย จะได้จบกัน
เพราะเตี่ยเป็นภาระ ให้เอ็งมากเหลือเกิน อาตมาฟังแล้ว ไม่กล้าทำ จิตสำนึกมันบอกว่า
ทำไม่ได้เด็ดขาด ตอนนั้น แม้ยังเด็ก ก็รู้ว่า เราไม่ฆ่าเตี่ย
เตี่ยเป็นบ้าอยู่ ๒-๓ ปี ในที่สุดก็มีพยาบาล
จากโรงพยาบาลศรีมหาโพธิ์ ที่อุบล เกิดสงสาร ให้อาตมานำเตี่ยไปรักษา โดยที่อาตมา
คอยส่งเงิน ส่งอาหาร ไปให้ทุกเดือน ช่วงนั้น อาตมามีเวลา เป็นตัวของตัวเองบ้าง
จึงหัดเรียนภาษาจีน ภาษาอังกฤษ จนพอจะพูดกับลูกค้า ในโรงแรมรู้เรื่อง
เวลาผ่านไปอีก ๓ ปี ทางโรงพยาบาล
ก็ส่งข่าวให้มารับเตี่ยกลับบ้าน เพราะผู้ป่วยคลุ้มคลั่ง อยากกลับบ้าน ถ้าเกิดเป็นอะไรไป
ทางโรงพยาบาล จะไม่รับผิดชอบ อาตมาไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก็คิดถึงเตี่ยมาก
ตอนนั้นเป็นลูกจ้าง ได้เงินเดือน เดือนละ ๓๐๐ บาท มีเงินเก็บอยู่ประมาณ ๑,๐๐๐
บาท เดินทางจากบ้านไผ่ ไปรับเตี่ยที่อุบลฯ พบเตี่ยอยู่ในสภาพ ที่น่าสงสาร
ดูแก่ลงและผอมมาก แถมยัง ติดวัณโรค กับโรคหืดอีกด้วย มีอาการไอมาก ปรากฏว่า
เงินที่ติดตัวไป ต้องจ่ายเป็นค่าเดินทาง ค่ารักษา ค่ายา สุดท้าย เมื่อกลับถึง
บ้านไผ่ เหลือเงินอยู่เพียง ๕ บาทเท่านั้น บ้านก็ไม่มีอยู่ ไปขออาศัยคนรู้จัก
เขาก็ต่อรอง ให้เตี่ยหายไอก่อน จึงมาอยู่ได้ ก็ได้แต่ขอร้อง ฝากเตี่ยไว้ชั่วคราวก่อน
ต่อมาอาตมา พาเตี่ยไปขอพักที่ศาลเจ้า
เวลามีคนมาไหว้เจ้า เตี่ยก็จะได้มีอาหารกินด้วย แต่ไม่มีเงินค่ายา อาตมาจึงไป
ขอความช่วยเหลือ จากเถ้าแก่ ที่เคยรู้จัก เขาเห็นว่า อาตมาเป็นเด็กดี มีความกตัญญู
เขาสงสารให้เงินมา ๑๐๐ บาท เป็นค่ายาเตี่ย อาตมาดีใจมาก เพราะเงิน ๑๐๐ บาท
ในความรู้สึกขณะนั้น เหมือนเงินหนึ่งล้านบาท ที่จะช่วยดลบันดาลทุกสิ่ง ที่ต้องการได้
สำหรับ ตัวอาตมานั้น อดมื้อกินมื้อได้ ไม่มีปัญหา แต่เงินก้อนนี้ ต้องนำไปทำทุน
เพื่อจะซื้ออาหาร รวมทั้งยารักษาวัณโรค และโรคหืดหอบ ให้เตี่ย ซึ่งอาตมาได้พาไป
รับการรักษา ที่โรงพยาบาลขอนแก่น ในช่วงนั้น อาตมาใช้เวลา ดูแลเตี่ย ใกล้ชิด
อาตมารับจ้าง ถีบสามล้อ โดยเสีย ค่าเช่า วันละ ๕ บาท ถีบวันแรกได้เงิน ๗
บาท วันที่สอง ได้ ๒๕ บาท วันที่ ๓ ได้ ๕๐ บาท เนื่องจากคนแถวนั้น เห็นว่า
อาตมา เป็นลูก กตัญญู เขาเลยสงสาร และเรียกใช้บริการ ทำให้อาตมา มีลูกค้าเยอะ
บางวันมีรายได้ ถึงวันละ ๑๐๐ บาท ทำให้อาตมา ตัดสินใจ ผ่อนรถสามล้อ ๑ คัน
ต่อมาเตี่ยเสียชีวิต เพราะโรคหืดกำเริบ ตอนนั้นพักอยู่ที่ศาลเจ้า คนที่ศาลเจ้า
ช่วยกันเรี่ยไร จัดงานศพให้ อาตมาจึงเป็นคนดูแลศาลเจ้าต่อ เป็นลูกเจ้า ไปโดยปริยาย
ทำหน้าที่ชงน้ำชา ทำความสะอาดศาลเจ้า เพื่อตอบแทน พระคุณ ที่เขามี ต่อเตี่ย
และอาตมา
หลังพายุฝนกระหน่ำ
ท้องฟ้าย่อมแจ่มใส
พออายุได้ ๒๐ ปี อาตมาถูกเกณฑ์ทหาร ฝึกอยู่ ๒ เดือน ก็เป็นทหารประจำตัวของ
ผู้พันท่านหนึ่ง ที่บ้านบางกระบือ กทม. เป็นทหาร ที่ไม่เคยจับปืน และที่แย่ที่สุด
สำหรับอาตมาตอนนั้น ก็คือ ชีวิตที่เคยดิ้นรน เหนื่อย มาตั้งแต่เด็ก จนถึงอายุ
๒๐ กว่าปี ก็มาหยุดเอา กะทันหัน เพราะบ้านผู้พัน มีที่อยู่ และอาหารการกินให้พร้อม
เราทำหน้าที่ แค่เฝ้าบ้าน งานอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรต้องทำ มันเหมือน คนที่เคย
วิ่งมาเต็มฝีเท้า และถูกจับให้มาอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ทำเอาเซลล์ต่างๆ และหัวใจจะช็อก
อาตมารู้สึกทุรนทุราย การหยุดนิ่ง ไม่มีงานอะไรทำ เป็นความทรมานอย่างยิ่ง
อาตมาต้องหาทางออก โดยการอ่านหนังสือ รวมทั้งหนังสือธรรมะ จากสำนักต่างๆ
ในบ้านผู้พัน ซึ่งมีอยู่มากมาย
ก่อนหน้านั้น อาตมามีพื้นฐาน
ทางศาสนาอยู่บ้าง เพราะสนใจเรื่องธรรมะ ชอบสาระ เวลาอ่านพบคำสอน ของพระพุทธเจ้า
ตามที่ต่างๆ จะพยายามท่อง และจดอาตมา มีความจำดีมาก เคยอ่านพบในหนังสือ คู่มืออริยะ
เขาเขียนว่า พระอริยะไม่ฉันเนื้อสัตว์ อาตมาก็ทำตาม โดยเลิกกินเนื้อสัตว์ทันที
ตอนนั้น ยังเป็นเด็กขายของ หน้าโรงหนังแต่ก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะยังขาดความรู้ที่ชัดเจน
จึงทำได้ไม่นาน นอกจากนี้ เคยฟังผู้เฒ่า ผู้แก่เล่าว่า เซียน คือคนไม่กินเนื้อสัตว์
เป็นคนมีบุญ อาตมาเป็นคนที่ เวลาฟังเรื่องอะไรดีๆ มักจะดูดซับไว้ทันที และ
มีความสนใจ อยากทำตาม มีนิสัยใฝ่ดี เป็นพื้นฐานอยู่ ตอนที่สนใจเรื่องศาสนาอย่างมาก
กลับไม่ใช่ตอนที่ทุกข์ เพราะทำงานหนัก แต่เป็นตอนที่เป็นทหารเกณฑ์ และอยู่ว่างๆ
ตอนนั้น บังเอิญอาตมา ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งสะดุดใจมาก ชื่อ "ลำธารชีวิต"
อยู่ในตะกร้า ของแม่ผู้พัน ซึ่งอาตมาเรียกว่าคุณยาย ได้หนังสือมาจาก การไปทำบุญ
ที่โรงพยาบาลสงฆ์ พออาตมาอ่านหนังสือ เล่มนั้นจบ ตั้งใจเลยว่า เราจะต้อง
เป็นลูกศิษย์ ของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้
เดินตรงสู่การเป็นอาริยะ
ปี ๒๕๑๕ ไปวัดมหาธาตุ ฟังการบรรยายธรรมที่ลานอโศก ตอนแรก ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเทศน์
รู้สึกมันมาก เหมือนดูหนังกำลังภายใน ที่จอมยุทธ มีอาวุธทุกอย่าง และสามารถหยิบมาใช้ได้หมด
ทั้งหอก แหลนหลาว ง้าว กระบอง ใครซัดอาวุธอะไรมา รับได้ทุกกระบวนท่า มันสุดๆ
เลย ตอนหลัง ท่านบอกว่าชื่อ รัก รักพงษ์ อาตมาก็รู้สึกว่า หัวใจวูบไปอยู่ที่ส้นเท้า
เพราะนี่คืออาจารย์ ที่เรากำลังตามหา เพิ่งมาเจอ มันเหมือนโดนดูดเลยนะ พอท่านเทศน์จบ
อาตมาก็มีปัญหา ถามเรื่องต่างๆ สังเกตเวลาท่านเดิน เหมือนเหาะไปเลย อาตมา
เหมือนถูกสะกด ตามไปอย่างไม่รู้ตัว เกิดมายังไม่เคยเห็นใคร เดินสวยแบบนี้
อาตมาเดินตามไปส่ง และ เกิดความศรัทธามาก บอกกับตัวเองว่า นี่คืออาจารย์
ที่เราต้องเรียนรู้อะไร จากท่านอีกมากมาย
หลังจากนั้นก็เริ่มปฏิบัติธรรม
ลดมื้อ เลิกกินเนื้อสัตว์ หันมากินอาหารมังสวิรัติ ซึ่งก็ได้ง่าย เพราะแต่ก่อน
แทบจะไม่ได้กินอยู่แล้ว อาหารหลัก คือ ผักบุ้งผัดเต้าเจี้ยว ถั่วต่างๆ และข้าวโพด
อาตมากินง่ายๆ เพราะเคยยากจน มาก่อนแล้ว
แม้เส้นทางสายนี้
พญามารก็มักลวงให้หลง
หลังจากปฏิบัติธรรมมาได้
๒๐ เดือน รู้ว่าชีวิตผ่านความลำบากมาเยอะ พอมาปฏิบัต ิเมื่อได้รับความสงบ
ก็เกิดความรู้สึกว่า สุดท้าย ชีวิตนี้ คงต้องบวชแน่ แต่ใจลึกๆ ก็รู้ว่ายังไม่ถึงเวลา
มันเหมือนกับชีวิต ยังขาดอะไรบางอย่าง พอดีในช่วงนั้น เพื่อนมาชวน ไปสมัครเป็น
ทหารพราน ก็รู้อยู่ว่านี่ เป็นเพชฌฆาต แต่มันได้ปลุกวิญญาณ ที่ชอบการต่อสู้
ชอบความรุนแรง ของอาตมาขึ้นมา เนื่องจาก เคยมี ความตั้งใจ แต่เดิม สมัยที่เป็นทหารเกณฑ์
แต่ไม่เคยได้จับปืน ตอนนั้น ยังรู้สึกเจ็บใจ และได้ยืมปืนเพื่อน มายิงเล่น
เมื่อตัดสินใจ จะเป็น เสือพราน เป็นเพชฌฆาต มันก็เหมือนคน ที่พร้อมจะตาย
ทุกโอกาส ดังนั้น ในช่วงที่รอเรียกตัว อาตมาจึงคิดอยากลอง ใช้ชีวิต ให้ครบ
ทุกด้าน ทุกรสก่อน จึงทิ้งธรรมะ เข้าหาอบายมุข กิน เล่น เที่ยว บู๊เต็มที่
ลุยมันหมด ทุกอย่าง โดยเฉพาะ สิ่งที่ติดหนัก คือ เล่นไพ่ เล่นหามรุ่ง หามค่ำ
เวลามีงานศพ ก็ไปเล่นถึงเที่ยงคืน จนตอนเช้า พระมาสวด ก็ยังนั่งเล่นต่อ พระท่านก็ไม่ว่าอะไร
พระสวดไป เราก็เล่นไพ่ไป ตอนแรก อ้างว่าเล่นไพ่เป็นเพื่อนผี ต่อมาเราก็กลายเป็นผี
หน้ามืดไปเสียเอง พอมีสติรู้ตัว ก็นึกละอายใจ ยังสงสัย ตัวเองเลยว าทำได้อย่างไร
เป็นช่วงชีวิต ที่มัวเมา ตกต่ำ ถึงขีดสุด
พลันคิดได้
!
หลังจากชั่วสุดๆ บวกกับได้เห็นการทะเลาะเบาะแว้ง ทางครอบครัวแม่และพี่ๆ น้องๆ
ในเรื่องเงินทอง ที่อยู่ที่กิน จนถึงกับพี่น้อง จะฆ่า แกงกัน จิตก็เลยเกิดความเบื่อหน่าย
เลิกเที่ยว เลิกเล่นไพ่ ขนหนังสือธรรมะ ไปนั่งอ่านในป่าช้า ที่วัดทุ่งศุภมิตร
มหาสารคาม ได้ฝึก ทำสมาธิ ตัดความรู้สึก จนจิตได้นิมิตต่างๆ จิตมันดิ่งดับลงไป
ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนไม่มีสุขอื่น ยิ่งกว่าความสงบ แบบนี้ อาตมาใช้เวลา
๑๕ วัน เคลียร์ตัวเองเสร็จ ก็หันกลับมา ปฏิบัติธรรม กินมังสวิรัติ ๑ มื้อ
จนทำให้ ได้คำตอบว่า ความสุข เป็นอย่างนี้เอง ที่เราเคยอยากมี
อยากได้ทั้งหมดนั้น แท้จริงมันคือ ความทุกข์ และ การที่ไม่อยากได้อะไร
นั่นคือความสุขที่แท้ ต่างหาก ก็เลยเร่ง ปฏิบัติธรรม เพื่อมุ่งเข้าสู่ เป้าหมายสุดท้าย
ที่ต้องการ คือการบวชตลอดชีวิต เลิกคิดเป็นทหารพราน
การบวชเป็นพระชาวอโศก ไม่ใช่เรื่องง่าย อาตมาไม่ผ่านโหวต ถึง ๓ ครั้ง เพราะความดื้อรั้น
มีอัตตามานะ ที่ไม่ยอมใคร อาตมา ไม่รู้จัก มารยาทสังคม ว่าเป็นอย่างไร เพราะเคยอยู่แต่ในสังคมที่เลว
เหมือนเหล็กที่แช่อยู่ในน้ำเน่า มีคราบสนิมจับมานาน จนขูดออก ได้ยาก และตัวเองก็ไม่รู้ว่า
เป็นตัวบาป ตัวอกุศล ความไม่รู้ (โมหะ) จึงทำลายตัวเอง และเนื่องจาก เราได้ทำมา
จนกลายเป็น ความเคยชิน ทำให้แก้ไขไม่ได้ง่ายๆ แต่สุดท้าย ก็ได้บวช เป็นพระชาวอโศก
เมื่อวันที่ ๗ ก.พ. ๒๕๑๗ ในวันมาฆบูชา
เบ้าหลอมอิทธิพลต่อชีวิต
อาตมาได้เรียนรู้เข้าใจเรื่องราวของชีวิต จริงๆ มากมาย ขณะที่ความยากลำบากในอดีต
สร้างให้อาตมา เป็นคนแข็งแกร ง เป็นคนที่รู้งาน เข้าใจงาน เมื่อได้มาใช้ชีวิต
ในรูปนักบวช ทำให้สามารถ นำประสบการณ์มาใช้ประโยชน์ ได้หลายเรื่อง แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง
เนื่องจาก อาตมาถูกบ่มเพาะ มาจากสังคม ที่หยาบกระด้าง ก้าวร้าว สังคมอบายมุข
เพื่อนๆ มีทั้งนักเลงการพนัน แมงดาคุมซ่อง พวกติดยาเสพติด อาตมาจึงมีพื้นฐาน
เป็นคนขี้โกรธ ก้าวร้าว หยาบกระด้าง ไม่ค่อยยอมใคร ที่เคยคิดอยากเป็นเสือพราน
ก็เพราะมีนิสัยบู๊ ชอบความรุนแรง ชอบอะไรที่สุดๆ เป็นพลังที่อัดแน่นอยู่ในตัว
พลังแบบนี้ ถ้าทุ่มโถมไปทางใด ก็จะได้ทางนั้นสุดๆ ไปเลย เป็นสุดทาง แห่งความดี
และ ความชั่วก็ได้
สุดทางแห่งความดีของสมณะกรรมกร
กุสโล
นอกเหนือจากกิจวัตรต่างๆ ของสงฆ์แล้ว พระชาวอโศก ยังมีกฎระเบียบ ที่เคร่งครัด
เช่นฉันวันละ ๑ มื้อ ไม่มีน้ำปานะ ตลอดวัน ต้องขวนขวาย ขยันทำงาน แล้วแต่ใครจะมีหน้าที่
หรือถนัดด้านไหน สำหรับอาตมา วันนี้ ๒๗ ปี ใต้ร่มเงาศาสนา ก็ทำงานหลายอย่าง
ส่วนมาก จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริการ และงานหนักๆ เช่น เรื่องหิน เรื่องไม้
เรื่องโยกย้าย เป็นงานกรรมกร งานที่ต้องออกแรง ยกแบก หาม ซ่อมสร้างแก้ไข
แต่งานหลัก คือ ทำเทปธรรมะ ซึ่งอาตมาทำด้วยใจรัก เห็นความสำคัญ ของการทำเทป
ว่าเป็นการรักษา เนื้อหา สาระคำสอน ของครูบาอาจารย์ อยากให้คำสอน ท่านอยู่นานๆ
เพื่อประโยชน์แก่คนรุ่นหลัง จึงได้พยายาม สร้างฉันทะ ทำด้วยฉันทะ นอกจากนี้
อาตมายังรับหน้าที่ เป็นครูสอนวิชา พุทธศาสนา ให้แก่นักเรียน สัมมาสิกขาปฐมอโศก
อยู่หลายชั้น และอบรมให้ คนทั่วไป มีศีลธรรม แม้กระทั่ง ในพุทธสถาน และที่อื่นๆ
เพื่อให้คนละชั่ว กลัวบาป ยินดีในกุศล ความปรารถนา และอุดมการณ์ ของอาตมานั้น
ก็คือความตั้งใจ จะพากเพียร ให้ถึงจุดสูงสุด ในพุทธศาสนา
ข้อคิดในเรื่องของความกตัญญูกตเวที
และคุณค่าของความอดทนต่องานหนัก
มีคำพังเพยพูดไว้ว่า คนที่กตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ หรือผู้มีพระคุณ จะเป็นคนที่ตกน้ำไม่ไหล
ตกไฟไม่ไหม้ สิ่งที่ไหลไปตามน้ำ ก็คือสิ่งที่ตาย หรือปลาตายนั่นเอง แต่ถ้าปลาเป็น
จะต้องว่ายทวนน้ำ การไหลไปที่ต่ำนั้น ก็คือ ความชั่ว
คนที่มีความกตัญญูกตเวทีจะมีสำนึก
เมื่อไหลไปสู่ที่ต่ำ คลุกคลีกับความชั่วร้าย ก็มักจะมีผู้ให้ความช่วยเหลือ
เพื่อให้รอดพ้น จากทุกข์เข็ญ ความเดือดร้อน ให้ความยกย่อง นับถือ ให้เกียรติ
ในฐานะเป็นบุคคล ที่มีคุณค่า คนจีนจะมีตัวอย่าง ความกตัญญู โดยเขียน เป็นพงศาวดาร
เป็นตำรา แล้วยกย่อง บุคคลเหล่านี้ว่า เป็นบุคคลทองคำ เรื่องนี้เด็กๆ ทุกคน
ควรจะได้เรียนรู้ และเห็นความสำคัญ เห็นสาระ ของคุณธรรมเรื่องนี้
สำหรับความอดทนในการทำงานนั้น
จะเป็นการฝึกตน เพราะงานหนัก คือ ดอกไม้งามของชีวิต งานหนัก จะทำให้เหงื่อออกมาก
แต่น้ำตา จะไหลน้อย เพราะช่วยทำให้ ชีวิตคนเรา พัฒนาแข็งแกร่งขึ้น ผู้ที่จะเป็นอัศวินมาได้
ต้องผ่านสงครามใหญ่ สู้รบในสมรภูมิเลือด สามารถ ปราบริปู เอาชนะข้าศึกมาได้
สามารถที่จะเป็น ยอดอัศวิน ชีวิตที่ไม่ได้ผ่าน ความยากลำบาก และต่อสู้มาเลยนั้น
ก็ไม่ต่างอะไร กับต้นไม้ ที่อยู่ในกระถาง มีดิน มีปุ๋ย มีคนรดน้ำ จึงสามารถอยู่ได้
ชีวิตเช่นนั้น ถ้าหากว่า พ้นจากกระถาง ก็เหี่ยวเฉาตายโดยเร็ว
ส่วนชีวิตที่ได้ผ่านการต่อสู้
ผ่านอุปสรรค ความยากลำบาก จะเป็นการฝึกให้เราแข็งแกร่ง มีพัฒนาการ มหาตมะ
คานธี บอกว่า "อุปสรรค
สร้างคน" ความยากลำบาก จึงเป็นการพัฒนาคน สร้างคน เราจะเห็นได้ว่า ผู้นำในอดีต
ที่ยิ่งใหญ่มาได้นั้น ต้องผ่านการต่อสู้ ผ่านความยาก ลำบาก ผ่านงานหนัก มาทั้งนั้น
งานหนักจึงเป็นความดีงาม เป็นมงคลของชีวิต
ทัศนะเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดในเยาวชน
เด็กติดยาเสพติด เป็นผลผลิต หรือเป็น ผลงานของผู้ใหญ่ ที่ไร้คุณธรรม เห็นแก่ตัว
ไม่เห็นคุณค่าของเด็ก ทำลายเด็ก ปัญหา ยาเสพติด จึงระบาดทั่ว ในสังคม การศึกษาก็เป็นส่วนหนึ่ง
ที่ทำลายเด็กเช่นกัน เพราะการศึกษาของเรา ไม่มีเป้าหมาย ไหลตามกระแส ตะวันตก
เด็กที่เรียนจบ ออกมาแล้ว หนักไม่เอา เบาไม่สู้ หยิบโหย่ง จองหอง เย่อหยิ่ง
ไม่รู้คุณพ่อแม่เท่าที่ควร สุรุ่ยสุร่าย ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย การศึกษา ทุกวันนี้
ทำให้เด็กของเรา ไม่ค่อยจะมีสมอง เพราะไม่ค่อยส่งเสริม ให้เด็กได้ค้นคว้า
ได้อ่าน ได้เขียนหนังสือ เป็นอาหารสมอง ต่อยอด ภูมิปัญญา ให้รักการอ่าน รักการค้นคว้า
รักการศึกษา ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เอกลักษณ์ไทย ส่วนนี้เราขาดไปมาก ในขณะเดียวกัน
ก็ไม่มีแบบอย่างที่ดี ให้เด็กได้ดู
วิธีแก้ เราต้องสร้างค่านิยมที่ดี
สร้างแบบอย่างให้เด็ก ได้เห็น ได้ซึมซับ ต้องมีระบบการศึกษา ที่เน้นการสร้างคน
เน้นการสร้าง ให้เด็ก มีคุณธรรม มีศีลธรรม เด็กที่เรียนจบ จะต้องมีความสามารถ
พึ่งตัวเอง ช่วยตัวเองได้
ในหลักพุทธศาสนานั้น การศึกษาต้องเป็นไปเพื่อเสียสละ
รับใช้ผู้อื่น เราถือว่า ผู้รับใช้นี่แหละ คือผู้นำ คือครูของโลก
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๓๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๔) |