สุขภาพคนจน
คือ ทางออกของสังคม...ส.ศิวรักษ์
(ปาฐกถาในงานเวทีประชาทรรศน์เพื่อระบบสุขภาพองค์รวม
ณ คุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๔๓)
--ตอน
๓--
มนุษย์จะมีอิสรภาพที่แท้หรือสุขภาพที่แท้ได้
ต้องเข้าใจในเรื่อง มัจฉริยะ ๕ และเอาชนะมันได้ กล่าวคือ
๑. อาวาสมัจฉริยะ หวงที่อยู่ หวงบ้านเรือน หวงประเทศชาติ คอยกีดกันคนกลุ่มน้อย รวมถึงคนที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น
เอาเปรียบ คนเล็ก คนน้อย ที่อาศัยอยู่ในบ้านเมือง และในแหล่งเสื่อมโทรมต่างๆ
รวมถึงที่อาศัย อยู่ตามป่าเขา ลำนำห้วย
๒. กุลมัจฉริยะ ถือตนในเรื่องชาติตระกูล เหยียดหยันดูถูกดูแคลนคนเล็กคนน้อย คนยาก คนจน ถือดีในทางชาติวุฒิ
ในทางภูมิปัญญา ในทางทรัพย์ศฤงคาร ในทางอำนาจวาสนา หรือ ความเป็นชาตินิยม
๓. ลาภมัจฉริยะ หวงผลประโยชน์ ผูกขาดในทางตลาด เอาเปรียบในทางการค้านานาชาติ เน้นที่ระบบทุนนิยม
รวมตลอดถึงบริโภคนิยม อันแสดงออกโดยบรรษัทข้ามชาติต่างๆ รวมถึงธนาคารโลก
กองทุนระหว่างประเทศ และองค์การค้าโลกเป็นต้น
๔. วรรณมัจฉริยะ หวงคุณความดี และวิชาความรู้ไว้ในพวกของตนเท่านั้น
ถือว่าความงามตามผิวพรรณ ต้องเป็นไป ดังที่พวกตนกำหนด โดยจะเห็นได้จาก ละครน้ำเน่าทั้งหลาย
และการโฆษณาสินค้ าอย่างชวนเชื่อ และมอมเมาต่างๆ ที่ใช้คนครึ่งชาติ มาอวดศักดาเดชว่า
สวยงามกว่า เก่งกาจกว่า แคล่วคล่องว่องไวกว่า หรือจะสรุปว่า ศรีวิไลกว่า
ชาวพื้นเมืองทั่วๆ ไป ยิ่งชาวไร่ชาวนา ชาวป่า ชาวเขา ด้วยแล้ว ถูกรังเกียจ
เดียจฉันท์เอาเลย
๕. ธรรมมัจฉริยะ หวงวิชาความรู้ กลัวคนอื่นจะรู้เท่าทันตน จะได้หลอกลวง หรือครอบงำคนอื่นๆ
อีกต่อไปไม่ได้
ที่ว่ามานั้นเป็นหลักการทั่วๆ
ไป แต่ในสมัยปัจจุบัน เราถูกถอนรากถอนโคน จากคุณธรรมดั้งเดิม ดังที่พรรณนามานี้
เกือบหมดสิ้น เพราะเราถูกมิจฉาทิฐิ จากตะวันตก เข้ามาครอบงำ จึงจำต้องเข้าใจ
ในประเด็นที่ สะกดความคิด และจิตใจของเราไว้ ให้กระจ่าง ดังต่อไปนี้คือ
๑. วิทยาศาสตร์กระแสหลัก โดยที่นักวิทยาศาสตร์กระแสนี้
มักมีจิตใจอันคับแคบและเห็นแก่ตัว อวดอ้างวิธีวิทยาว่า ของตนเท่านั้น ที่ประยุกต์ใช้ได้
กับทุกสาขาวิชา ทั้งที่การอ้าขาผวาปีกเช่นนี้ พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ร้อยปีนี้เอง
ด้วยการเริ่มที่ยุโรป โดยอ้างความคิด หรือหัวสมอง ของมนุษย์ สามารถใช้คณิตศาสตร์
หรือตรรกวิทยา บวกกับห้องทดลอง ทางสสารวิทยาแล้ว อาจหาบทสรุป ในทางความรู้
ได้ทั้งหมดสิ้น ทั้งๆที่วิธีวิทยาดังกล่าว ตีกรอบขอบเขตไว้แต่ในทางวัตถุธรรม
ในทางปริมาณ ในขณะที่ศาสนธรรม และรหัสยนัย รวมถึงคุณภาพ ที่ไม่อาจตวงวัดได้
มิไยต้องเอ่ยถึงถึง ปรมัตถสัจ ย่อมอยู่นอกขอบเขต ของวิทยาศาสตร์ กระแสหลัก
ดังกล่าว แต่วิทยาศาสตร์ กระแสนี้ ก็ครอบงำโลกสมัยใหม่ จนเกิดการปฏิวัติใหญ่
ในทางอุตสาหกรรมขึ้น แล้วแพร่ขยายอิทธิพล ออกไปใน ทางแพทยศาสตร์ และวิชาสังคมศาสตร์ต่างๆ
ซึ่งยิ่งนับวันก ็ยิ่งแตกแขนง ออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างฝังตัวเอง ให้ลงร่องลึก
ลงไปทุกที ถ้าเราขาดวิจารณญาณ เราจะมองไม่เห็นว่า วิทยาศาสตร์กระแสนี้ มีผลมาแต่อวิชชา
ที่รู้เพียงบางส่วน ของสัจจะ หรือธรรมะ แล้วทึกทักว่ารู้หมด ทั้งนี้ก็เพราะ
ความอหังการ และความเห็นแก่ตัว ของนักวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์ ให้ได้แต่ความรู้
ที่เป็นเสี่ยงๆ และเป็นความรู้ ที่ขีดไว้ในทางวัตถุธรรม อย่างโยง ไปถึงคุณธรรมไม่ได้
ยิ่งการแพทย์กระแสหลักจากตะวันตก
ที่แตกแยกออกเป็นแขนงวิชาต่างๆ และเจาะลึก อย่างฝังตนเอง ลงไปนั้น อวิชชา
ครอบงำ ผู้เชี่ยวชาญ การแพทย์ อย่างน่าสงสาร ยิ่งวิชาแพทยศาสตร์ ไปผูกติดกับลัทธิทุนนิยม
หรือ อำนาจนิยมด้วยแล้ว นายแพทย์ชั้นนำ เป็นจำนวนไม่น้อย ก็เลยตกอยู่ใต้อำนาจของเงิน
หรืออำนาจ เป็นจำนวนไม่น้อย ที่ร้ายยิ่งกว่านั้น ก็คือนายแพทย์ชั้นนำ ที่หาญเข้าไป
บริหาร กิจการต่างๆ ที่ตนไม่มีความรู้ โดยที่ตนไม่เข้าใจ ในเรื่องของคุณธรรม
และศีลธรรม ผลร้าย ย่อมตามมา อย่างน่าเศร้าสลดใจ ดังขอให้ดูได้ที่นายแพทย์
ซึ่งเป็นอธิการบดี ของมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมถึงที่ไปเป็นผู้อำนวยการกองทุนวิจัยแห่งชาติ
โดยที่ทั้งหมดนี้ เป็นไปในขนบของตะวันตกกระแสหลักทั้งสิ้น และถ้าอยากรู้เบื้องหลังทางด้านการแทพย์ให้ยิ่งไปกว่านี้
ควรอ่าน แพทย์เทพเจ้ากาลี ที่นายแพทย์ สันต์
หัตถีรัตน์ แปลมาจากต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ ของไอวัน อิลิช ซึ่งเป็นคนแรกๆ ที่เตือนเราว่า ระบบโรงเรียน ตามที่เป็นอยู่นั้น ตายเสียแล้ว
อนึ่งเราต้องไม่ลืมว่าการแพทย์แบบตะวันตกผูกติดอยู่กับบรรษัทข้ามชาติ
และการแพทย์ยิ่งพัฒนาไป ในทางวิชาการ ที่ก้าวหน้า มากเท่าไร ย่อมมีเทคโนโลยี
การแพทย์ ที่ทันสมัย ยิ่งขึ้นเพียงนั้น นั่นหมายความว่า การแพทย์ดังกล่าว
ย่อมได้รับใช้ คนมีสตางค์ หรือมีอำนาจ โดยแทบไม่รับใช้คนยากคนจน ที่ปราศจากศักดิ์ศรี
หรือทรัพย์ศฤงคารเอาเลย ยิ่งปล่อยให้มี โรงพยาบาลเอกชน มากเพียงไร นั่นก็คือ
การใช้ทุนนิยม ผสมโลภจริต กับวิชาชีพอย่างเลวร้าย ลงได้เพียงนั้น แม้นายแพทย์หลายคน
ในโรงพยาบาลเอกชน จะเป็นคนดี คนพวกนี้มีจำนวนไม่น้อย ที่ใช้ประโยชน์ จากโรงพยาบาลของรัฐ
เพื่อคนไข้ส่วนตัว ของตนด้วย โดยเข้าใจในเรื่องหิริ ความละอายใจ และ โอตตัปปะ
ในทางความกลัวเกรงบาป บ้างหรือไม่ น่าสงสัยอยู่
ก็ในเมื่อวิทยาศาสตร์กระแสหลัก
ไม่อาจพิสูจน์ได้ ในเรื่องบุญบาป นรกสวรรค์ โลกนี้โลกหน้า เทวดา และผี ปีศาจ
อะไรๆ ก็เลยเป็น สสารนิยม หรือ วัตถุนิยมไปหมด ยิ่งมีบริบท ของทุนนิยม และบริโภคนิยม
กับอำนาจนิยม มาแนบสนิทเข้าไปด้วยแล้ว เรายังไม่เห็น โทษทัณฑ์ ของมันกันอีกหรือ
อนึ่งเทคโนโลยีที่ทันสมัย
และเครื่องยนต์กลไกต่างๆก็เป็นผลผลิต ของวิทยาศาสตร์กระแสนี้ โดยที่สิ่งเหล่านี้ให้โทษยิ่งกว่าให้คุณ
โดยเฉพาะ ก็กับคนเล็กคนน้อย คนปลายอ้อปลายแขม แม้นายทุนขุนศึก ก็อยู่ใต้อำนาจ
เครื่องมหัคฆภัณฑ์ พวกนี้กัน แทบทั้งนั้น โดยที่ องคาพยพดังกล่าว สามารถทำให้คน
กลายเป็นเครื่องจักร ไปอีกด้วย แม้สถาบันต่างๆ รวมทั้งประเทศชาติ ก็ถูกกำหนด
ในทางจักรกล จนความเป็นมนุษย์ ที่มีจิตใจสูง อย่างเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ ปลาสนาการไปเรื่อยๆ
โดยมีสัตว์เศรษฐกิจ และสัตว์การเมือง มาแทนที่
๒. ถ้าเรานับถือเทคโนโลยีที่ทันสมัยต่างๆ
อย่างปราศจากวิจารณญาณ นั่นคือ ความหายนะ ของสุขภาพ และอิสรภาพของมนุษย์
เพราะเทคโนโลยี พวกนี้นี่แล ที่กลายมาเป็น เขื่อนต่างๆ ที่เป็นโรงงานอุตสหกรรมต่างๆ
ที่เป็นถนนขนาดใหญ่ และยาว ให้รถแล่นได้ ทีละ ๔ คัน แล้วเกิดถนนซ้อนขึ้นไปหลายๆ
ชั้น โดยโยงไปถึง อาวุธที่ทันสมัย หรือล้ำสมัย ที่แพงยิ่งนัก และการวิจัยต่างๆ
ในประเทศ ที่ร่ำรวย ก็เน้นไปทาง ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธเป็นส่วนใหญ่ โดยมี
บรรษัทค้าขายอาวุธ เป็นตัวกำหนด ที่สำคัญในทางเศรษฐกิจ การเมือง ระดับชาติ
และนานาชาติ หากเราตีประเด็นนี้กันไม่แตก ก็อย่าเพิ่งไปพูดถึงสุขภาพ และอิสรภาพของทวยราษฎร์เอาเลย
แม้การแพทย์อย่างพื้นเมือง และ การดูแลสุขภาพ อนามัย ของคนเล็กคนน้อย ก็จะถูกนักวิชาการชั้นนำ
ที่มีโมหจริต โลภจริต และโทสจริต เป็นเจ้าเรือน เข้ามาก้าวก่าย อย่างน่ากลัวนัก
๓. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่กล่าวมาแล้วนี้
ผูกติดอยู่กับระบบตลาดที่อ้างว่าเสรี แต่ที่แท้ เปิดให้ ใครมือยาว สาวได้สาวเอา
จนตั้ง WTO ขึ้นมา ก็เพื่ออุดหนุน บรรษัทข้ามชาติต่างๆ แม้อภิมหาอำนาจ ก็อยู่ใต้บรรษัทข้ามชาติ
โดยเฉพาะก็บรรษัทค้าอาวุธ ค้าน้ำมัน อย่าง
UNOCAL และ TOTEL ที่เข้ามาปู้ยี่ปู้ยำพม่า
และคนไทย ดังกำลังจะใช้เมืองไทยเข้าไปทำลาย มาเลเซียอยู่ในบัดนี้เป็นตัวอย่าง
ผลกระทบในในทางนี้ ไม่ต้องพูดถึงก็ได้
ที่สำคัญก็คือ ใครๆ พากันนับถือเงิน เป็นพระเจ้า นับถือลัทธ ิบริโภคนนิยม
ในการเสพ สิ่งฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ที่เป็นโทษต่อสุขภาพ และอิสรภาพ เพราะระบบตลาด
คุมสื่อสารมวลชน ที่ล้างสมองผู้คน อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งนัก
ระบบการตลาดที่อ้างว่าเสรี
ที่เกิดลัทธิทุนนิยมขึ้นนั้น ช่วยเน้นในเรื่อง ความเห็นแก่ตัว เห็นว่าทุน
สำคัญกว่ามนุษย์ มนุษย์เองก็แข่งขัน แก่งแย่ง แข่งดีกัน แทนที่จะร่วมมือกัน
อย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จนเกิดการกดขี่ การครอบงำ แทนที่ไมตรีจิต มิตรภาพ
หรือ ภราดรภาพ แต่ละคน เลยถูกตัณหา และ อุปาทานครอบงำ เพื่อจะได้มีมากขึ้น
รวยมากขึ้น ไต่เต้าเอาดี ในบันไดของสังคม อันหลอกลวง และ จอมปลอมยิ่งๆ ขึ้น
อีกนัยหนึ่งก็คือ การเป็นเครื่องจักรกล ของมนุษย์ เป็นโทษทัณฑ์ แก่มนุษยชาติ
ทำลายสุขภาพ และอิสรภาพ ยิ่งคนเล็กคนน้อย คนปลายอ้อปลายแขมด้วยแล้ว ย่อมถูกทำลาย
ได้มากกว่าคนอื่นๆ และคนพวกนี้ ไม่มีทางเข้าถึง โรงพยาบาลเอกชน แม้โรงพยาบาลของรัฐ
พวกนี้ก็จะได้รับ การบริการ อย่างเศษอย่างเดน โดยที่ กระทรวงสาธารณสุขเอง ก็ถูกวิทยาศาสตร์ การแพทย์ อย่างตะวันตกครอบงำ โดยไม่เข้าใจ
ในเรื่องของโรค ตามแนวทางของ พระไภษัชคุรุพุทธ หากได้แต่รักษาโรค อย่างเป็นเสี่ยงๆ
ตามอย่าง โลกตะวันตก กระแสหลัก
อ่านต่อฉบับหน้า
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๓๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๔) |