เราคิดอะไร.

เวทีความคิด ‘เสฏฐชน
ทำถูก ต้องถูกติ-ชม

ภาษิต "คนรักเท่าผืนหนัง-คนชังเท่าผืนเสื่อ" แม้เป็นคำกล่าวของ คนโบราณ แต่วันนี้ก็ยังเป็นความจริงอยู่ และคงจะยืนยง ตลอดไป ตามธรรมดาของ "โลกธรรม" ผู้ปรารถนาคำสรรเสริญ โดยส่วนเดียว จะผิดหวัง พอๆ กับคนที่ห่อเหี่ยวใจ เพราะคำนินทา ที่จริงนินทา-สรรเสริญ เป็นปลายเหตุ อันเนื่องมาแต่ "จิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ของคน" ที่ยังไม่อาจควบคุม ความรู้สึก ไม่อาจควบคุมอารมณ์ ให้เที่ยงตรง มั่นคง แข็งแรงได้นั่นเอง

ประสบการณ์ชีวิตน่าจะให้ข้อสรุปถึงสัจธรรมแง่นี้ มีน้ำหนักเพียงพอ ที่จะให้คนเรา ไม่ต้องไปแสวงหา เมาหมก อยู่กับมันนัก ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึก ในด้านไหน เพราะความเต็มอิ่มของใจ ไม่อาจหาได้ด้วย "แรงตัณหา"

สังเกตได้จากน้ำในหลอดแก้วจะมีเต็มหลอดหรือไม่ก็ตาม ถ้ายังโดนแรงเขย่าอยู่ก็มีวันกระฉอก แต่ถ้าเราค่อยๆเติมน้ำ ลงใน หลอดแก้ว โดยที่หลอดแก้ว ไม่ต้องโดนเขย่า น้ำก็จะเต็มหลอดแก้วโดยถ่ายเดียว

การแก้ปัญหาของสังคมก็ไม่แตกต่างกัน ถ้าเราแก้ปัญหาโดยการค่อยๆเติมให้เต็ม พัฒนาการของสังคม ก็จะมีทิศทาง ที่ดีขึ้นไป ตามลำดับ

วันเวลาเคลื่อนผ่าน วันแล้ววันเล่า โลกของคนปุถุชนก็ยังคงปรุงแต่งไม่รู้จักหยุดหย่อน มีแสงอาทิตย์ก็ยังไม่พอใจ ต้องพลิกแพลง แสงอื่นๆ ขึ้นแทน ที่เร้าใจมากคือ "แสงสียามราตรี" เพื่อคนเที่ยวกลางคืนโดยเฉพาะ บาร์,คาราโอเกะ,ไนท์คลับ,ผับ,เธค ฯลฯ สุดแล้ว แต่ใคร จะสรรหา มาตั้งให้เท่-หรู-โก้แค่ไหน ระดับโลโซ, ไฮโซ ขนาดใดๆ ก็ปรุงแต่ง เหยาะพริก เหยาะซอสเอา ไล่ดะไปตั้งแต่ข้างถนน จนถึง คฤหาสน์ อาณาเขตกว้างขวาง ขึ้นอยู่กับราคา ตามเนื้อผ้า แม้แต่ผู้เที่ยวซื้อบริการ ก็เช่นเดียวกัน กรรมกร รายได้ขั้นต่ำ ไปจนถึง ผู้อำนวยการ ผู้บริหารระดับสูง ต่างเปิดประตูทอง ดินแดนยามราตรี อย่างเต็มอกเต็มใจ นี่แหละคือ "นรก" "นรกจริงๆ" ไม่ใช่ "นรกจินตนาการ" เมื่อตายหมดลมหายใจไปแล้ว ขอยืนยัน คำกล่าวนี้ เพราะ "นรก" นั้นหมายถึง "ผู้เป็นเจ้าของคน" หรือ "คนผู้ถูกนำไป" หรือ "คนเป็นเจ้าของ" (นรก มาจาก นะ-ระ-กะ) "นร" แปลว่าคน ใช่ไหม?

นรก คือ แหล่งที่เต็มไปด้วยคนประเภท "อบาย" คือ ไม่สบาย ไม่เจริญ เพราะแหล่งเหล่านั้น ล้วนเต็มไปด้วย สิ่งที่ทำให้ สุขภาพกาย สุขภาพจิต ของคนเสียหมด ทั้ง "เสีย" ในเชิง "ต่ำ" ทั้ง "เสีย" ในเชิง "เลว" ทั้ง "เสีย" ในเชิง "บาป" ถ้าไม่เรียกว่านรกแล้ว จะให้เรียกว่าอะไร ที่ดีกว่าคำนี้ เพราะแม้ในพุทธศาสนาเอง ก็ยังใช้คำนี้ เรียกสิ่งอันมีลักษณะอย่างนี้ๆ ว่านรกเหมือนกัน

ใน "นรก" มี "น้ำทองแดง" ก็ "เหล้า" นั่นแหละคือน้ำทองแดง

ใน "นรก" มี "หนามงิ้ว" (คือผู้ทำผิดประเวณี, ผู้ล่วงละเมิดประเวณี) ก็บรรดาผู้หญิงบริการ และผู้ชาย ที่ไปใช้บริการ นั่นแหละ คือหนามงิ้ว

ใน "นรก" มี "หอกแหลมคอยทิ่มแทง" ก็การก่อทะเลาะวิวาท แทงกัน ยิงกัน ฆ่าฟันกัน นั่นแหละคือ หอกแหลม ทิ่มแทง

ใน "นรก" มีเสียงร้องคร่ำครวญระงม ดิ้นทุรนทุราย กลิ้งเกลือกด้วยร่างที่เปลือยเปล่า ก็การดิ้น, เต้น, ร้อง แข่งกันแผดเสียง นั่นแหละ คือ "เสียงร้อง ดิ้นทุรนทุราย ของผู้ที่ตกอยู่ในนรก"

ใน "นรก" มืดมิดไม่มีแสงเดือน แสงดาวส่องไปถึง ก็หมอกควันพิษจากกลิ่นอายของบุหรี่ยาบ้า, ยาอี ท่ามกลางแสงเลเซอร์ ที่เป็นอันตราย ต่อนัยน์ตา ท่ามกลางเสียง อึงคะนึง ของดนตรี แก้วหูแตก ที่เป็นอันตรายต่อหู นี่แหละ คือความมืดมิด เป็นบรรยากาศ ของนรกสดๆ
นรกจริงๆ
นรกที่สัมผัสได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องอาศัยการนึกคิด คาดคะเน คำนวณเอา แต่เป็น "นรก" ของคนทุกคน ที่ยังไม่ได้ ปฏิบัติธรรม จนได้ มรรคผล พ้นจาก "อบายภูมิ"

สัตวโลกที่ตกนรกอยู่นั้นก็คือ "คนปุถุชน" ธรรมดาๆ นี่เอง ที่แออัดยัดเยียดอยู่ในแหล่งนรกนั่นแหละ เบียดเสียด จนไม่มีที่ จะเดินเหิน ก่อพฤติกรรม น่าหวาดเสียว ขนลุกพอง สยองเกล้า "เปรต" ที่เป็นรูปธรรมชัดๆ เด่นๆ แก้ผ้าผ่อน กลางกองไฟยุค "นรกไฮเท็ค" สถานที่นี้ มีทั้ง "ดื่มน้ำเมา - เที่ยวกลางคืน -ดูการละเล่น - เล่นการพนัน - แหล่งเพาะคนชั่ว - เกียจคร้านทำการงาน" คือ (อบายมุข ๖) เพราะ ในจิตใจ ของผู้หิวกระหาย "โลกียสุข - กามคุณ ๕" เหล่านี้ กำลังจมดิ่ง อยู่ในความ "เมา" หรือ "ความหลงใหล" ไปตามกระแส จูงดึง ของอำนาจ ฝ่ายต่ำ ไม่มีสติสัมปชัญญะ ยั้งคิด ยั้งทำ ปล่อยกาย ปล่อยใจ ให้เคลิบเคลิ้ม ตกเป็นทาส ของสิ่งมึนเมา ทุกชนิด ครบถ้วน ไม่ต้องการ แสงสว่าง ยินดีจมอยู่ในความมืด ตลอดกาล นอนกลางวัน เที่ยวกลางคืน ไม่ทำการงาน ที่เป็นสาระ เป็นประโยชน์ สร้างสรรใดๆ นำแต่ความเดือดเนื้อ ร้อนใจ มาให้ครอบครัว สังคม

จนกระทั่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยปัจจุบัน ร.ต.อ. ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ต้องหาทางแก้ไข ที่เรียกว่า "การจัดระเบียบสังคม"
ขึ้นมาใช้บังคับ เพื่อชะลอการสูญเสีย ทรัพยากรบุคคล ให้ช้าลง แม้จะได้รับการต่อต้าน จากผู้ประกอบอาชีพ ผู้ประกอบการ ตามแหล่ง นรก เหล่านี้ก็ตาม ก็ไม่น่าจะมี "ภยาคติ" มาขวางกั้น หากจริงใจ ในการรับใช้ประเทศชาติ และปรารถนาดี ต่อประชาชน คนไทย ทั้งหลาย

การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามนโยบายของรัฐบาลจะดำเนินไปไม่ได้เลย หากไม่ลิดรอนขวากหนาม อันเป็นอุปสรรค ต่อการเจริญ งอกงาม ของความดีงาม เสียก่อน ไม่ต่างจากการหว่านพืช ลงบนดิน ที่ยังไม่ได้พลิกพรวน เตรียมเนื้อดิน เพื่อรองรับพืช ชนิดใหม่ เช่นกับที่ รัฐมนตรีมหาดไทย กำลังดำเนินการอยู่นี้ ฟังเสียงตอบรับ จากประชาชนคนดีๆ ส่วนใหญ่ จะยินดีปรีดา ชื่นชมที่มี เจ้าหน้าที่ของรัฐ ลักษณะนี้ขึ้นมา กล้าหาญรับผิดชอบ เอื้อมมือมาจัดการ ให้สภาพชีวิต -สังคมดีขึ้น โดยเฉพาะ เยาวชน ที่กำลังอยู่ระหว่าง ทางแยก ที่จะ "เลือกเป็น" เมื่อเติบโต เจริญวัยขึ้น ถ้าหากผู้ใหญ่ ที่เจริญด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ จะทำ นำก่อนให้เห็น เป็นตัวอย่าง และช่วยวาง ผังชีวิต ให้เป็นแบบฉบับ ที่ดีงาม ก็จะเป็นบุญคุณ อันใหญ่หลวง แก่ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ

เป็นเรื่องน่ายินดีจากข่าวประชาพิจารณ์หลังความรุดหน้าของรัฐมนตรีมหาดไทยท่านนี้ ยังคงดำเนินต่อไป โดยไม่หยุดยั้ง ไม่เกรงกลัว ต่อเสียงประท้วง เสียงโอดครวญ เรื่องการทำหากินไม่พอกิน ไม่รู้จะเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นใด ดูประหนึ่ง จะทำให้เกิด ความขัดแย้ง ระหว่าง "ศีลธรรม" และความ "ถูกต้อง ตามกฎหมาย" ทั้งๆ ที่ท่านรัฐมนตรี ก็ยืนยันว่า ไม่ได้คิดค้น บีบคั้น เป็นแรงผลักดันใหม่เลย เป็นการหยิบเอา กฎหมายเก่า มาปัดฝุ่นใช้ ด้วยซ้ำไป สื่อมวลชน บางฉบับ ก็อดที่จะหวั่นไหว ทักท้วง หวั่นเกรง การจัดระเบียบ สังคม คราวนี้ จะเป็นการทำให้ เกิดความเดือดร้อน แก่อาชีพ บางประเภท

เพราะความไม่แม่นเป้าในความดีที่แท้จริง และความถูกต้องที่ต้องเด็ดขาด ทำให้เกิดภาวะ ขยักขย่อนอยู่บ้าง เพราะเสียงโต้แย้งนั้น ออกมาในรูป ดูกึ่งท้วงติง เข้าข้าง นักเที่ยวกลางคืน เข้าพวกกับอาชีพ คนกลางคืน จนทำให้คนดีบางส่วน อาจไขว้เขวสับสน เมื่อเขา เหล่านั้น แอบอ้างถึงบางอาชีพ กลัวจะเป็นการ ทำให้ "คนตกงาน" เพิ่มขึ้น โดยอ้างเหตุผลถึง คนขายอาหาร ข้างถนน คนหาบเร่ แบกคอน บางส่วน ซึ่งเป็นเพียงส่วนน้อย ที่ถูกดูดาย และไม่เคย มีนักเที่ยวกลางคืน หรือ คนทำอาชีพกลางคืน หรือผู้ประกอบการ งานกลางคืน เคยคิดถึง เพิ่งจะมารู้สึก เห็นใจคนอาชีพ ดังกล่าวมานี้ เมื่อท่านรัฐมนตรี มหาดไทย เอาจริงเอาจัง กับการจัด ระเบียบสังคม ในคราวนี้แหละ

เมื่อเทียบเคียงระหว่างความสูญเสีย "คุณภาพชีวิต" ของทรัพยากรบุคคล และวัฒนธรรม การดำรงชีวิตที่ดีงาม ของคนไทย กับรายได้ ที่เพียงพอ เฉพาะคน กลุ่มน้อย ที่เกี่ยวข้องกับอบายมุขเหล่านี้ มิหนำซ้ำ ยังเป็นชนวน ให้เกิดอิทธิพลรูป "เจ้าพ่อ" ตามแบบ ฉบับเก่าๆ ที่กำลัง จะสูญพันธุ์ ไปแล้ว ให้ฟื้นคืนชีพ ขึ้นมาอีก ทั้งเป็นเรื่องที่ สอดคล้อง กับการ "เด็ด" สิ่งไม่ดีตั้งแต่ต้นทาง ไม่ให้งอกงาม ขยายเผ่าพันธุ์ ต่อไป ทั้งยังเป็นทั้งวิธีการ "ดัด" ให้สิ่งที่ยังพอ จะมีทาง ดัดได้อยู่ ให้คืนกลับ สู่รูปดีๆ อย่างเดิม

ไยเราจะต้องกังวลกับการอาจต้องสูญเสียลูกค้านักท่องเที่ยวประเภทรสนิยมต่ำ ทั้งจากต่างประเทศ และ ในประเทศกันเอง มากกว่า การสนับสนุน ส่งเสริมการท่องเที่ยว ผู้มีรสนิยม ศิวิไลซ์ เชิงวัฒนธรรม การดำรงชีวิต ตามท้องถิ่น ที่แท้จริงของตนๆ ที่เขาอุตส่าห์ ข้ามน้ำข้ามฟ้า มาชมถึงต้นกำเนิด ของอารยธรรมจริงๆ ประจำชาติ การส่งเสริมเกษตรกรรม กสิกรรม หัตถกรรม ศิลปกรรม จะเจริญ ก้าวหน้าไปพร้อมๆ กับการส่งเสริม การท่องเที่ยว เชิงอนุรักษ์ ประเพณี วัฒนธรรม อันดีงามประจำชาติเท่านั้น ซึ่งธรรมชาติ ก็อำนวย ให้อยู่แล้วโดยจริง ทั้งเราเองก็จะได้ โอบอุ้มดูแล ธรรมชาตินั้นๆ ด้วย

การที่แหล่งอบายมุขเจริญงอกงาม เติบโต นั่นคือเชื้อโรคร้ายขยายกว้างขวางขึ้น เม็ดเงินที่ได้มาจาก อาชีพอบายมุข เหล่านี้ คือ เงินแห่งความชั่วร้าย ที่ฆ่าความเป็นคนดี ให้สูญสิ้นไป เพราะแม้เพียง เงินอย่างเดียว ที่ไม่ได้มาจาก อาชีพอบายมุข พระพุทธเจ้า ยังตรัสว่าเป็น "อสรพิษ" จะกล่าวไปไย ถึงเงินที่ได้มา จากการประกอบอาชีพ "ค้าเนื้อสด-ค้าสิ่งเสพติด" ต่างๆ ที่ซับซ้อนอยู่ ในอาชีพ กลางคืนเหล่านี้

หากการจัดระเบียบสังคมคราวนี้ไม่บรรลุเป้าหมาย อย่าหวังเลยว่า ปัญหาอาชญากรรมทางเพศ จะลดน้อยถอยลง อย่าหวังเลยว่า ปัญหา การท้อง นอกสมรส -การทำแท้ง จะหมดไป อย่าหวังเลยว่า โรคเอดส์ จะทุเลาเบาบางลง อย่าหวังเลยว่า ปัญหาการค้ายาบ้า ยาเสพติดอื่นๆ นานาชนิด ทุกรูปแบบ จะผ่อนคลาย และ ปัญหาครอบครัวแตกแยก ปัญหาเยาวชน คุณภาพตกต่ำ จะมีพัฒนาการ ที่ดีขึ้น เพราะแหล่ง เที่ยวกลางคืน เป็นพาหะนำมา ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้ ทั้งสิ้น

ย้อนหลังกลับไป ๒๐-๓๐ ปีล่วงแล้ว เมื่อแหล่งเที่ยวกลางคืนไม่ดาษดื่น วิจิตรพิสดาร อย่างนี้ อาชญากรรมต่างๆ นิสัยใจคอ ของเยาวชน ข่าวคาวโลกีย์ ข่าวโหดร้ายทารุณ ข่าวเย้ยเยาะ หยามเหยียด ท้าทายศีลธรรม ทุกรูปแบบ ทุกลำดับชั้น ไม่กระชั้นชิด มากมาย อย่างนี้ แล้วจะไม่ให้เชื่อว่า แหล่งเที่ยวกลางคืน คือที่มา ของเชื้อโรคร้าย ได้อย่างไร?

หากไม่หลับหูหลับตาหลงใหลโลกียรสจนเกินไป ก็จะเห็นชัดว่า นี่คือลักษณะของ "โลกาวิบัติ" จนเกินที่อักษรหนังสือ จะสาธยายได้หมด มีไหม สมัยก่อน ที่เราจะได้เห็นโทรทัศน์ นำภาพเด็กสาวๆ แต่งตัว แทบจะโป๊เปลือย ยืนส่ายตะโพก แอ่นอก กระดกก้นบั้นท้าย อยู่ท่ามกลาง แสงไฟ กลางโต๊ะเหล้า เบียร์ ข้างถนน ท่ามกลาง สาธารณชน ทั้งๆที่ขณะนั้น เจ้าพนักงานของรัฐ กำลังทำหน้าที่ตรวจ สำรวจ ออกควบคุม สถานเริงรมย์ ยามราตรี อยู่ด้วยซ้ำ ไม่มีคำว่า "ยางอาย" เหลืออยู่อีกแล้วหรือไร ในสังคมไทย

พ่อแม่ผู้ปกครอง ของเยาวชนอายุไม่ถึง ๑๘ หรือแม้ผู้พ้นนิติภาวะ แต่ยังไม่พ้น "วิบัติภาวะ" แม้อายุจะก้าวล่วง ๒๐ ไปจนถึงกระทั่ง ปลดเกษียณ แล้วก็ตาม ทั้งชาย-หญิง หากยังทำพฤติกรรม ที่ส่งเสริมอาชีพ เที่ยวกลางคืน เหล่านี้ ก็ยังเป็น ตัวอย่างที่เลว อยู่ในสังคม เราน่าจะกล้า พูดคำตรง คำจริงกันเสียที อย่ามัวแต่หลีกเลี่ยงว่า เขาเลวเรื่องนี้ แต่เขายังมีดีเรื่องอื่น มาเป็นข้อ "แก้ตัว" เพราะไม่อยาก "แก้ไข" นิสัย ไม่ดีเหล่านั้นเลย เราเสียเวลามา มากเกินพอแล้ว จะรอให้ฟ้าถล่ม แผ่นดินทลาย หรือ เกิดสงครามโลก ก่อนหรือไร? ถึงจะรู้สึกตัว อย่าเพิ่งประมาทว่า จะไม่เจอ "วินาศกรรม" อย่างสหรัฐอเมริกา เพราะพฤติกรรม สั่งสม อกุศลกรรม เหล่านี้ ก็ล้วนเป็น การก่อวินาศกรรม ให้แก่จิต วิญญาณที่ดีๆอยู่แล้ว เมื่อคนเรา จิตวิญญาณไม่ดีแล้ว อะไรจะดีขึ้นไปได้ ในเมื่อ ทางพระพุทธศาสนา ก็ยืนยันไว้ เป็นมั่นเป็นเหมาะว่า "ทุกอย่างมาจากจิต" จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมประทุษร้าย ผู้นั้นยิ่งกว่า ศัตรูต่อศัตรูจะพึงทำ ความพินาศ ให้แก่กันเสียอีก

เป็นความดีอย่างหนึ่ง ที่น่าอนุโมทนา ชื่นชม ยกย่องสรรเสริญ ที่ยังมีกลุ่มบุคคล สนับสนุนเดินทางไปมอบดอกไม้ เขียนจดหมาย ให้กำลังใจ เข้าพบ จัดรายการบรรยาย ตามสถานที่ต่างๆ ส่งเสริมให้รัฐมนตรีมหาดไทย ทำงานชิ้นนี้ ให้ตลอดรอดฝั่ง รวมทั้งคอลัมนิสต์ ช่วยกันเขียนหนังสือ สนับสนุน ลงคอลัมน์เชียร์ จัดรายการวิทยุเป็น ปากเสียงเห็นด้วย นับว่าคนดี ยังไม่สิ้นจากเมืองไทย ในเมื่อ การจัดระเบียบสังคมนี้ เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันกับ "กฎหมาย และ กฎศีลธรรม" ไม่คัดง้างกันเลย

บทความนี้ขออุทิศให้แด่ "คนดี ศรีสังคม" ที่ช่วยกันระดมกำลังเสริมบุญ-หนุนธรรม เป็นการต่อชะตาบ้าน - สืบชะตาเมือง เพื่อความร่มเย็น เป็นสุข ของประเทศชาติ เพราะหากศีลธรรม เสื่อมจากใจคน มากกวานี้ ก็คงจะเข้าสู่ยุค "กวางไล่กินเสือ" ซึ่งพุทธทำนาย อธิบายว่า พ่อแม่ จะกลัวลูก จนลนลาน ครูจะกลัวลูกศิษย์ ผู้ใหญ่จะกลัวผู้น้อย คนดีจะกลัวคนไม่ดี พระผู้ทรงศีล จะต้องหนีภัย จากพระผู้ทุศีล เมื่อนั้นคือ กลียุคโดยแท้

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๓๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๔)