เราคิดอะไร.

เรื่องสั้น...หลางทองแดง
ไม่สิ้นร้างทางแห่งกรรม

ดึก ดึกแล้วแต่นพยังไม่หลับ เขานอนฟังเสียงฝนตกพรำๆ ทั้งคืน อากาศเย็นชื้นเสียจนจามติดๆ กัน น้ำมูกใสๆ เริ่มไหล พร้อมกับอาการ คัดจมูก

ฝนตกติดต่อกันมา นานกว่าสองสัปดาห์แล้ว เมื่อวานเขาลุยน้ำท่วมขังสูงถึงเอวไปทุ่งนาที่เคยเขียวขจีสุดลุกหูลูกตา แต่บัดนี้ ปรากฏผืนน้ำ เวิ้งว้าง แผ่จรดทุกทิศ

สัปดาห์แรก ที่ฝนเริ่มตกหนักยังพอมองเห็นยอดต้นข้าวเป็นแนว เขาได้แต่พนมมือไหว้วอน เทวดาบนฟ้า ขออย่าให้ฝนตกลงมาอีกเลย ถ้าน้ำท่วมต้นข้าวมิดขนาดนี้ เจ็ดวันแล้ว น้ำไม่ลดระดับ ก็เป็นอันว่าหมดหวัง ต้นข้าวเน่าตายหมดแน่นอน แล้วเขาก็หมดสิ้นเนื้อ ประดาตัว แน่คราวนี้...

ชายหนุ่มนอนพลิกตัวไปมา มือก่ายหน้าผาก ครุ่นคิด รู้สึกปวดตุบๆ ที่ขมับทั้งสองข้าง รู้สึกว่า เส้นเลือดบริเวณศีรษะตึงโป่ง จนร้าว ไปทั้งหัว ความร้อนผ่าน เริ่มแผ่ลาม จากลมหายใจ ซ่านไปตามร่างกาย รู้สึกสะบัดร้อน สะบัดหนาว นี่เขาคงจะเป็นไข้กระมัง

"ดี.. ดี.." เขาเอื้อมมือไปแตะไหล่ภรรยาที่นอนตะแคงหันหลังให้ เธอคงหลับสนิทจนไม่ได่ยินเสียงเรียก และเขาก็รู้สึกเจ็บระคาย ในคอ ขณะที่ เปล่งเสียงออกมา จนต้องฝืนหยัดกายลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือร้อนผ่าว ไปเขย่าตัวภรรยา ทำให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นม าด้วยอาการ สะลึมสะลือ "หือ...มีอะไรหรือพี่..."

"พี่คงเป็นไข้...หิวน้ำ ขอน้ำกินหน่อย" หนูดีขยี้ตาด้วยความง่วงงุน มองฝ่าความมืด เห็นร่างสามีกึ่งนั่งกึ่งนอน เอนตัวพิงฝา เธอรู้สึก ถึงความผิดปกติ เมื่อมือเขาแตะร่างกายเธอ มันร้อนจนน่าตกใจ หนูดีผุดลุกจากที่นอน อย่างรวดเร็ว ความรู้สึกง่วงนอน หายเป็นปลิดทิ้ง เธอตักน้ำจากโอ่งดิน ด้วยกระบวย บรรจงจ่อที่ริมฝีปากสามี เขาดื่มน้ำเพียงนิดเดียว แล้วก็เบือนหน้าหนี

"พี่ขมในคอ..." เขาพูดออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บระคายคอ รู้สึกขมลิ้นขมปาก หนูดีประคองให้สามีลุกนั่ง มืออังแตะที่หน้าผาก คอ และไหล่ ก็รู้สึกถึงความร้อน จนเธอชักมือออก ด้วยความสะดุ้งตกใจ

"พี่ตัวร้อนจัง เป็นยังไงบ้าง...ปวดหัวไหม..." เขาพยักหน้า มองดูใบหน้าภรรยาในความมืดสลัว เธอถามด้วยเสียงร้อนรนอีกว่า "ไปหาหมอ
เถอะพี่..."

เขายึดข้อมือเธอ ไว้พลางส่ายหน้า.. "ตอนนี้ ยังมืดอยู่ รอให้สว่างกว่านี้ก่อน...ดีไปเก็บใบฝรั่งมาต้มให้พี่กินเสียหน่อยก็ได้ มันลดไข้ได้ ...สงสัยพี่คงตากฝนมากไป ตอนฝนตกวันแรก"

"ฉันบอกแล้วว่าพี่อย่าทำ.." เธอถอนใจด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง นพเป็นคนขยันตั้งแต่แต่งงาน อยู่กินด้วยกันมา เธอไม่เคยเห็นสามีอยู่
นิ่งเฉย เขามักจะหาอะไร ทำอยู่ตลอดเวลา ในหมู่บ้านนพจัดได้ว่า เป็นผู้ชายที่ดีพร้อม เขาหาปลาเก่ง...ลุยทุ่งไถคราด หว่านกล้า จนกระทั่ง ปักดำ เขาไม่ได้ให้เธอ ต้องมาออกแรง มากมายด้วย เธอเองก็ป่วย กระเสาะกระแสะบ่อย วิงเวียน เป็นลมอยู่เสมอ...

สัปดาห์ก่อนฝนเริ่มเทลงมาไม่ลืมหูลืมตา นพออกไปท้องทุ่งนา แล้ววิ่งกลับมาเอาจอบ ต้องไปขุดดินพูนคันนาให้สูง บางที่คันนาขาด เขาก็ต้องไปขุดดินปิดไว้...ตั้งแต่เช้ามืดจนบ่ายคล้อย ท่ามกลางอากาศมืดครึ้ม และฝนที่ตกปรอยๆ ในช่วงหลัง แต่สามีของเธอ ก็ยังไม่หยุดทำงาน เรียกให้มากินข้าว ก็ยังไม่หยุด... สองสามวันติดต่อกัน กระทั่งน้ำเพิ่มระดับสูงขึ้นๆ ท่วมมิดมองไม่เห็นต้นข้าว และ คันนา เธอมองเห็นแววตา ที่เคยกล้าแข็ง มุ่งมั่น กลับกลายเป็นหม่นหมอง ไหล่ผึ่งผาย คุดคูลง อย่างคนหมดเรี่ยวแรง สีหน้าเขา อมทุกข์โศกไปมาก ต้นข้าวกำลังงาม เพราะได้ปุ๋ยดี นพไปกู้เงินเถ้าแก่ ซื้อปุ๋ยมาใส่นา หมดไปเกือบพันบาท มันเป็นเงิน จำนวนมากมาย มหาศาล ในความรู้สึก ของหนูดี ตั้งแต่เล็กจนโต หนูดีไม่เคยจับเงินแบงก์ร้อย อย่าว่าแต่เงินพันเงินหมื่นเลย แล้วนี่ จะหาเงินที่ไหน ไปใช้หนี้เขาหนอ ยังเจ้าหนูนิด ลูกชาย หนูแดงลูกสาว ลูกทั้งสอง ก็กำลังจะเปิดเทอมใหม่ ยังไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้า ชุดนักเรียน ให้เลย ไหนจะค่าหนังสืออีก หนูดีอยากให้ลูกสาว ได้เรียนหนังสือ ลูกจะได้ไม่ต้องลำบาก เหมือนพ่อแม่ โตขึ้นมีเงินเดือน มีงานสบาย ดีกว่ามาทำนา หลังขดหลังแข็ง

เสียงลมฝนอู้มาแต่ไกล ฝาบ้านเป็นไม้ไผ่ขัดแตะ มีรูเรี้ยวที่ปล่อยให้ลมลอดเข้ามาได้ หนูดีรู้สึกหนาวยะเยือก จนต้องกระถดถอยเข้า ไปใกล้นพ..คลี่ผ้าทอบางๆ เก่าจนมีรอยขาด คลุมบนร่างที่นอนขดคุดคู้อยู่ ลูกๆ นอนอยู่อีกมุมของห้องไม่ไกลจากพ่อแม่นัก ไม่มีฝากั้น มุมตรงกันข้ามกับที่นอน เป็นมุมครัว ที่มีก้อน เส้าสามก้อนแทนเตา หนูดีลุกไปจุดตะเกียงเจ้าพายุ ไขไส้ขึ้นอีกเล็กน้อย ก่อนจุด แสงสว่าง
วอมแวม จับใบหน้ากร้านแดดลม จนทำให้แก่เกินวัย ดวงตาหม่นหมอง รื้นไปด้วยน้ำใสๆ เธอสะกดใจกลั้นความรู้สึก ไม่อยากจะร้องไห้ ในสภาวการณ์เช่นนี้ นพกำลังป่วยเธอต้องเป็นคนดูแลเขา ลูกๆ ต้องการแม่ที่เข้มแข็ง นพไม่เคยป่วย หนูดีจึงรู้สึกตกใจ และเสียขวัญ นี่ถ้าเขาเป็นอะไรไป ใครจะมาดูแลหนูดีและลูกๆ

ร่างกายนพสั่นเทิ้มขึ้น จนเธอผวาเขาไปกอด เขาไข้ขึ้นสูงตัวร้อนจัด เธอไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไม่มียา ไม่มีใครที่จะปรึกษา บ้านน้อย ปลายนาหลังนี้ ก็อยู่ห่างไกล หมู่บ้านเหลือเกิน

"ดี...พี่หนาว...หนาวเหลือเกิน" นพครางเสียงสั่น เขาขบกรามแน่น รู้สึกเย็นยะเยือก ราวกับร่างกายเป็นก้อนน้ำแข็ง แต่บางครั้ง กลับร้อนราวเตาไฟ หนูดีร้องไห้เบาๆ อย่างสุดกลั้น เธอกอดเขาไว้แน่น ผ้าห่มบางๆ ไม่ทำให้อุ่น ได้เลย เสียงไก่ขัน กระชั้นมาแตไกล ขอให้สว่างเร็วๆ เถิด หนูดีจะพาเขาไปหาหมอ

นพนอนหลับหลังจากสั่นอยู่พักหนึ่ง หนูดีคลี่ผ้าห่มคลุมร่างเขาไว้ ยังไม่สว่างดีนัก แต่คงจะพอมองเห็นต้นฝรั่ง ที่อยู่หลังบ้าน ลมฝน ยังไม่หยุด เสียทีเดียว เสียงเม็ดฝน กระทบหลังคา สังกะสี ดังเปาะแปะๆ เธอเปิดประตูบ้าน ที่ทำด้วย ไม้ไผ่ ลมฝนพัด สวนปะทะเข้ามา จนหนาวยะเยือก มองไปยังท้องฟ้า ด้านตะวันออก ฟ้าเริ่มจางสีแล้ว แต่ยังคงมองไม่เห็นอะไรอยู่ดี เธอก้าวลงบันไดโยเย อย่างระมัดระวัง โชคดีที่นพ ปลูกบ้านบนเนิน น้ำจึงท่วมไม่ถึง บริเวณหลังบ้าน ทำเป็นสวนครัวเล็กๆ ปลูกผักสวนครัว ทุกอย่าง แต่เพราะฝนที่ตก ติดต่อกันนาน ทำให้ผักใบ เน่าเหลือง รากเน่า

หนูดีเดิน มะงุมมะงาหรา เหลียวหาต้นฝรั่ง พอไปถึง ก็เก็บใบรูดๆ เต็มหอบ เธอต้องต้มใบฝรั่ง ให้นพกินเพื่อลดไข้ เจ้าสีดอ ควายเพศผู้ เขายาวโง้ง สะบัดหัว เสียงกระดึงที่คอดังกึงๆ กลิ่นขี้ควายโชยมา จากใต้ถุนบ้าน ที่ล้อมเป็นคอกหยาบๆ เธอปีนบันได กลับขึ้นบนบ้าน และจัดการก่อไฟ ด้วยฟืนที่กองสุม อยู่ข้างเตา นพเตรียมฟืนไว้มาก บางส่วนก็อยูใต้ถุนบ้าน ข้างคอกควาย ถ้าฝนไม่ตก เขาก็ติดเตา เผาถ่าน เก็บเอาไว้ใช้

อากาศเย็นชื้นทำให้ติดไฟค่อนข้างยาก แต่ด้วยความชำนาญ หนูดีก็สามารถติดไฟ ตั้งกาน้ำใส่ ใบฝรั่งได้สำเร็จ เธอเอาพัดใบตาล พัดให้
เปลวไฟคุดี ตาก็ชำเลืองมองนพ เขานอนสั่นเบาๆ เป็นพักๆ สลับกับนอนนิ่งๆ เขาเป็นไข้ป่า หรือเปล่าหนอ.. แล้วถ้าหนูดี พาเขาไป โรงพยาบาล ลูกสองคน จะอยู่กับใคร ตอนนี้โรงเรียนปิดเทอม หนูนิดเก้าขวบ หนูแดงเจ็ดขวบ เธอไม่มีญาติพี่น้อง ที่หมู่บ้านนี้เลย หนูดี เป็นลูกสาว คนเดียว พ่อแม่ตายหมดแล้ว นพก็มาจากถิ่นอื่น บ้านเขาอยู่อีกจังหวัด ซึ่งไกลมาก บางทีหนูดี อาจจะพาเด็กๆ ไปฝาก บ้านยายชวด เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่ก็ไกล จนมองเห็นลิบๆ ที่สำคัญ ตอนนี้น้ำท่วม ถึงเอว เด็กๆ คงเดินไปไมไหวแน่ๆ อาจจะต้อง เอาขี่หลัง แล้วนพละ เขาไข้ขึ้นอย่างนี้ หนูดีจะแบกเขาไปได้อย่างไรกัน

เสียงน้ำเดือดดันฝากาขึ้น หยดลงบนเปลวไฟดังฉี่ๆ ปลุกหนูดีให้ตื่นจากภวังค์ เธอรินน้ำต้มใบฝรั่งใส่ถ้วย เป่าให้คลายร้อน แล้วก็ปลุกนพ ขึ้นมาดื่ม ตัวนพยังร้อนจัด ไข้ไม่ยอมลด เขาดื่มน้ำร้อนได้นิดเดียว ก็เบือนหน้าหนีอีก หนูดีประคองถ้วย น้ำใบฝรั่ง บังคับให้ดื่มจนหมด

"ดี...เช้าหรือยัง" นพถามเบาๆ เขารู้สึกหมดเรี่ยวแรงอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่เกิดมา เขาไม่เคยเป็นอะไรเลย แต่ทำไมพอเป็นไข้ เขาถึงรู้สึก
ว่า เรี่ยวแรงที่มี หดหายไปหมด เขาเป็นหนุ่มร่างกาย แข็งแรงบึกบึน ไม่น่าจะล้มง่ายๆ อย่างนี้

"พี่เป็นยังไงบ้าง...ปวดหัวไหม...หายหนาวหรือยัง?" หนูดีสาละวนกับการห่มผ้าให้เขา

"ปวดหัวมาก..." เขาครางอู้อี้ในผ้าห่ม ปวดกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อน่อง ราวแทบจะฉีกเป็นชิ้นๆ นี่เขาเป็นอะไรหนอ

ฟ้าสางเต็มที่พร้อมกับเม็ดฝนที่ขาดหายไป หนูดีหุงข้าวต้มปลาเรียบร้อย และกำลังปลุกลูกๆ ให้ลุกมาแปรงฟัน เด็กชายหนูนิด สงสัย ที่มองเห็นพ่อคลุมโปง แม่ก็ตาแดงก่ำ เหมือนร้องไห้ อย่างหนัก "พ่อเป็นไข้ลูก..." หนูดีอธิบายให้ลูกฟัง หนูแดงนั่งบนตั่งหน้าเตาไฟ ใบหน้าน้อยๆ ไร้เดียงสาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ..."แม่...เมื่อไหร่จะพาหนูแดงไปซื้อชุด..." ลูกสาวกวนโยเย ทุกเช้าที่เธอ จะต้องก่อกวน มารดา เพราะพี่ชายพาน้องไปเล่น ในหมู่บ้าน หนูแดงเห็นเขามีชุดนักเรียนใหม่ มีรองเท้าหนังสีดำด้วย เธอจึงมารบเร้า มารดาอยู่ทุกวัน ผิดกันกับหนูนิด พี่ชายที่รู้ความแล้ว และรู้ว่า พ่อแม่ไม่มีเงิน ที่จะซื้อให้ เขาจึงรู้สึกเฉยๆ และไม่เคยรบเร้าขอ...ชุดนักเรียนมีชุดเดียว ซิปกางเกงแตก เป้ากางเกงก็ขาด บริเวณแก้มก้นบางจนจะขาดอยู่แล้ว เสื้อนักเรียนของเขา มีกระดุมเหลือ สองสามเม็ด เขาใส่เสื้อยืด ตัวเก่ง ที่ไม่เคยถอดซัก เป็นอาทิตย์ไว้ชั้นใน ไม่มีรองเท้าใส่ แต่คุณครูก็ไม่ดุว่า เพราะมีนักเรียนที่จน เหมือนเขามากมาย ในโรงเรียน

"แม่จะพาพ่อไปโรงพยาบาล หนูนิด กินข้าว กับน้องแล้วแม่จะพาไปส่งบ้านยายชวด...ถ้าพ่อไม่เป็นอะไรมาก หมอให้กลับแม่จะรีบมา...
ถ้าพ่อเป็นมาก หนูก็ค้างบ้านยายนะลูก"

หนูนิดปั้นข้าวเหนียวจิ้มใส่ปาก ฟังแม่อย่าง ว่าง่าย มือขะมุกขะมอมน้อยๆ ปั้นข้าวจิ้มใส่ปากน้องด้วย หนูแดงอ้าปากรับคำข้าว แม่มอง ดูลูกกินข้าว ตัวเองกลืนอะไรไม่ลง ก้อนสะอื้นแข็งๆ จุกอยูที่คอ...เธอต้มข้าวใส่เกลือเละๆ ตักใส่ชาม แล้วก็ปลุกนพ ให้ลุกมากินข้าว เขาตักใส่ปากได้ช้อนเดียว ก็โก่งคออาเจียน จนเปรอะไปหมด หนูดี ตกใจจนตัวสั่น ลูบไหล่ลูบหลังสามี เขาอาเจียน จนหมดแรง สุดท้าย มีแต่น้ำสีเขียวๆ ออกมา หนูนิดวิ่งมาช่วยแม่เช็ดอ้วก ขณะที่หนูแดง นั่งร้องไห้ฮือๆ

กว่าจะพาลูกสองคนไปส่งบ้านยายชวด เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุด ก็กินเวลานาน เพราะน้ำท่วมขัง จนไม่รู้ว่าคันนาอยู่ตรงไหน หนูดีเดินลุยน้ำ ให้หนูนิดลูกชาย เดินออกนำหน้าก่อน น้ำท่วมถึงระดับอก ของเด็กชาย ส่วนหนูแดง กอดคอแม่เสียแน่น ตั้งแต่น้ำท่วม เด็กๆ ก็ไมได้ ออกไปไหน ครอบครัวเหมือนถูกตัดขาด จากโลกภายนอก

ไม่มีครั้งใดที่หนูดีจะรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก เท่าครั้งนี้ นพนอนรออยู่บ้าน เธอต้องรีบไป ส่งลูกที่บ้านยายชวด ก่อนมารับเขา กระแสน้ำ ไหลเชี่ยว บางช่วงต้องเดิน ด้วยความระมัดระวัง อีกนิดหนึ่งก็จะถึง บริเวณที่เป็นเนิน ที่พอจะเดินได้ สะดวกขึ้น หนูดีก็รู้สึก เหมือนมีอะไร กัดเข้าที่ส้นเท้า เมื่อลุยดงหญ้ามาขึ้นมาบนเนิน ความรู้สึกเจ็บแปลบ ปลาบเข้าหัวใจ จนร่างเซล้มลง.. หนูแดงหลุด จากหลังแม่ ร้องไห้จ้า "แม่เป็นอะไร..." หนูนิดหันมา เห็นแม่ล้มลง น้ำเพียงระดับเข่าแม่ แต่แม่นอนจมเปียก ไปทั้งตัว "แม่...แม่ครับ... แม่เป็นอะไร" หนูดีนึกถึงงูเห่า ซึ่งมีอยู่ชุกชุม ในทุ่งนาแถบนี้ ตอนเธอเดินแหวกหญ้าคา เธอคงถูกงูกัดเข้าแล้ว ความเจ็บปวด แล่นจากขา ขึ้นจับหัวใจ หนูดี กอดลูก ทั้งสองคน ร้องไห้จนตัวสั่น ทั้งปวดชาไปทั่วขา ทั้งตกใจแทบสิ้นสติ หนูนิด ร้องไห้ พอรู้ว่างูกัดแม่ เขาละล้าละลัง ทำอะไรไม่ถูก "แม่ ผมจะไปตามคนมาช่วย"

เด็กชายปล่อยให้น้องอยู่กับแม่ ส่วนตัวเองเดินลุยน้ำสูงถึงอก ดุ่มไปคนเดียว แม้จะกลัว กลัวทั้งน้ำที่บางช่วงก็ไหลเชี่ยว กลัวทั้งงู ซึ่งมีชุกชุม แต่ความรักแม่ หนูนิดจึงข่มความกลัว เดินลุยน้ำเกือบชั่วโมง จึงถึงหมู่บ้าน หนูนิดตะโกนลั่น ซ้ำไปซ้ำมา "ช่วยแม่ผมหน่อย ช่วยพ่อผม ด้วยครับ"

เสียงชาวบ้านซักถามกันขรม พอทราบเรื่อง หนุ่มวัยฉกรรจ์ ๔-๕ คน รีบรุดไปทันที

แต่อนิจจา...หนูดีทนพิษงูไม่ไหว เธอเสียชีวิตทั้งๆ ที่มือยังกอดลูกสาว ซึ่งร้องไห้ไม่ยอมหยุด เป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก

ส่วนนพ เมื่อชาวบ้านไปเจอ เขาแทบไม่รู้สึกตัวแล้ว ชาวบ้านรีบนำส่งโรงพยาบาลจังหวัด อย่างทุลักทุเล แพทย์ตรวจวินิจฉัยว่า เป็นโรค ฉี่หนู อาการหนักเข้าขั้นโคม่า มีภาวะแทรกซ้อน ทั้งไตวาย และติดเชื้อในกระแสโลหิต แพทย์ช่วยรักษาเต็มที่ จนนพหายขาด ระหว่าง รักษาตัวอยู่นั้น นพรู้ข่าวหนูดีเสียชีวิต แต่ไม่สามารถไปเผาศพได้ นพได้แต่นึกขมขื่น ในโชคชะตา ที่ความตาย มาพรากอย่างกะทันหัน ไม่มีโอกาส แม้แต่กล่าวอำลากัน กับภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก

น้ำลดจนเขาสู่ภาวะปกติแล้ว คราบโคลนยังคงทิ้งร่องรอยไว้ทุกที่ ต้นหญ้าคันนากำลังฟื้น คืนมาแทงยอดอ่อน ท้องทุ่งนา มีแต่ซาก ต้นข้าวเน่า บ้านหลังน้อย เงียบเหงา นพทรุดตัวลงคุกเข่า กับพื้นอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก

เสียงสะอื้นร่ำไห้จากชายที่ครั้งหนึ่ง เคยบึกบึนอาจหาญ ดังก้องท้องทุ่ง...ยาวนานจนตะวันสีแดง ลอยเรี่ยลงปลายไม้ และ ความเงียบ เข้ามา ครอบคลุมอีกครั้ง

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๓๗ ธันวาคม ๒๕๔๔)