เราคิดอะไร.

ธรรมดาของโลกจะได้ไม่ต้องโศกสลด สมพงษ์ ฟีงเจริญจิตต์
จาก บิน ลาเดน สู่ จัน ดารา ไป.. (ตอนที่ ๒)

ว่าด้วย "กามารมณ์ ๗ รูปแบบ มีพิษทุกตัว"

อยากมีครอบครัว แต่ไม่รู้จักการอ่านอารมณ์ของตัวเองและ ของเขา ก็คงได้แต่ฝัน หรือฝันได้ไม่นาน ก็พลันสวรรค์ล่ม อยากเป็น ผู้บริหารบ้านเมือง เป็นผู้ปกครองคนมากๆ แต่ถ้าขาดความเข้าใจ ในหลักธรรมศาสนา ก็จะบริหารผิดพลาด นึกว่าสวรรค์ แต่ก็จะ กลายเป็นนรก นึกว่านรก แต่แท้จริง เป็นสวรรค์ ดั่งนี้เป็นต้น

รัฐศาสตร์ไม่สนใจเนื้อหาศาสนา ไม่เข้าใจจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ไม่รู้กลไกแห่งเบญจขันธ์ (รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ) ก็จะเป็นได้แค่ ปกครองตามกระแส พี่ว่าอย่างไร น้องก็เออออ ตามเจ้า เป็นได้แค่ "คนใช้ดีเด่น" แต่ "พ่อดีเด่น" คงหมดสิทธิ์

รัฐศาสตร์อีกไม่นาน ถ้าไม่ศึกษารากแก้วของมนุษย์ ก็จะกลายเป็นรัฐผี!

๒,๕๐๐ กว่าปี พระสูตรบทแรก ที่พระบรมศาสดา นำมาสอนสาวกชุดแรก คือพระปัญจวัคคีย์ จนเกิดผลให้ท่าน โกณฑัญญะ มีดวงตา เห็นธรรม บรรลุพระโสดาบัน

วันนี้ โลกเกิดพระรัตนตรัยครบพร้อมเป็นครั้งแรก พระสูตรบทนั้นนาม "ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร" มีเนื้อหาสาระ ว่าด้วยความสุดโต่ง ของโลกมนุษย์
อัตตกิลมถานุโยค - การทรมานตน
กามสุขัลลิกานุโยค- การตั้งตนจมอยู่ในกองกามคุณ

วันนี้ชมพูทวีปเคลื่อนกายย้ายจุด สถิต ณ สยามประเทศ แต่รู้สึกอย่างไรกับพระสูตรบทนี้ ก) โบราณคร่ำครึ ข) เฉยๆ ค) เห็นด้วย ง) อื่นๆ โปรดกา ข้อที่ท่านรู้สึก

เมื่อนิกายเซ็น จะสืบทอดประมุของค์ต่อไป ศิษย์รุ่นพี่ของท่านเว่ยหลาง แสดงภูมิธรรม ดังนี้ "กายคือต้นโพธิ์ ใจคือกระจกเงา ต้องเช็ด ต้องถู ต้องกวาดอยู่เสมอ..."

ท่านเว่ยหล่าง ตอนนั้นเป็นแค่เสี่ยวเอ้อกระจอกๆ แอบเขียนโศลกต่อท้าย "กายไม่มี โพธิ์ไม่มี ใจก็ไม่มี ทำไมจะต้องเช็ดถูกวาดเล่า?"

สาวกนิกายเซ็น อ่านแล้ว ชมโศลกธรรมบทแรกว่ายอดเยี่ยม แต่ประมุขนิกายเซ็น (องค์ที่ ๕) อ่านเสร็จ แอบเอาจีวร เอาเครื่องใช้ ประจำตัว มอบให้ท่านเว่ยหล่าง แล้วบอกให้หนีไป เนื่องจากกลัวว่า ลูกศิษย์จะทำใจ ยอมรับไม่ได้...

นั่นคือประวัติศาสตร์ การเลือก "ประมุขสงฆ์"

แต่วันนี้มีคนพยายามเอาวิธีการคัดเลือก "ประมุข" นำไปใช้กับ "ประชาชน" หารู้ไม่ว่า ต่างบทบาท ต่างกรรมฐานกัน คนละขั้ว!

ประชาชน ต้องระวังกาย ต้องระวังสิ่งแวดล้อม ต้องหมั่นปัดกวาดเช็ดถู

จะให้ "ปฏิบัติ" โดยไม่ต้องมี "รูปแบบ" ไม่ต้องมี "กฎเกณฑ์" มี "กติกา" ให้ลำบาก ให้อึดอัดใจ

ใครใคร่ค้า...ค้า ใครใคร่ทำอะไร...ทำ แต่ขออย่าให้เดือดร้อนผู้อื่น ก็แล้วกัน...เท่มาก! แต่ไร้ประสิทธิภาพ!

ความลุ่มลึกของการเลี้ยงเด็ก เขาให้เริ่มอบรมบ่มนิสัยตั้งแต่อยู่ ในท้อง ตอนคลอดออกมา ตอนเป็นเด็กตัวเล็กๆ ถ้าไม่เริ่มช่วงนั้น ก็จะเป็นผู้ใหญ่ ที่ไม่สมบูรณ์

ความลุ่มลึก ของพระสงฆ์ ศัตรูมีแค่ ๒ ส. คือ "สตรีกับสตางค์" เงินเข้าที่ไหน มีอันเป็นไปที่นั่น สตรี ถ้าท่านไม่ระมัดระวัง ก็ต้องสึก - ต้องปาราชิก
พระพุทธองค์ให้สูตรเด็ดป้องกันพิษภัยมาตุคามไว้กับพระอานนท์ ...ไม่ต้องพูดด้วย, ถ้าพูดก็ต้องพูดให้น้อย, เวลาพูดก็ต้องมีสติ..ฯลฯ

"เมถุนสังโยค ๗"(๑) เป็นกามารมณ์ ๗ ระดับที่ถ้าไม่ระมัดระวัง มันจะค่อยๆ สะสม เหมือนสนิมเหล็ก กินเหล็กจนกร่อน เหมือนเมล็ดพืช ที่ฝังตัวในดิน มีการรดน้ำ พรวนดิน อุณหภูมิที่พอเหมาะ สักวัน ก็จะอุบัติ
๑. ยินดีกับการขัดสี ลูบไล้ นวดเฟ้น
๒. กระซิกกระซี้ เล่นหัว สัพยอกกัน
๓. การสบตาเสมอๆ
๔. การได้ฟังเสียงของเธอ (เขา) หัวเราะ ร้องไห้ พูดคุย โดยไม่ต้องเห็นตัวก็พอใจมีความสุข
๕. นึกถึงอดีตที่ได้พูดคุยกับเธอ ก็พอใจเป็นปลื้ม
๖. ได้เห็นคนมีเงิน มีฐานะ มีชีวิตสะดวกสบายก็เป็นปลื้ม
๗. ปฏิบัติธรรมแล้ว ตั้งจิตขอเป็นเทพ เป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง

เพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้หลุดพ้นในเรื่องของกามารมณ์ได้ยาก แม้บวชนาน ปฏิบัติธรรมนาน แต่ถ้าไม่สำเหนียกใน ๗ อาการ แห่งกามารมณ์ ราคะก็ไม่มีวันหมดสิ้น โอกาสกลับไปมีครอบครัว ก็ยังเป็นไปได้

พระภิกษุสงฆ์ ท่านถึงมีมาตรการเฉพาะกิจ คือ การไม่รับประเคนของ จากมือมาตุคามโดยตรง และไม่คุยกับ มาตุคาม สองต่อสอง จะต้องมีบุรุษ รู้เดียงสา อยู่เป็นเพื่อน อย่างน้อย ๑ คน นี้เป็นความลุ่มลึก ทางศาสนา ในการกำจัด "ราคะ"(๒)

ความลุ่มลึกในทางสังคม ก็ต้องชมที่ช่วยกันกำหนดเวลา กำหนดอายุ คนมาใช้บริการ สถานเริงรมย์ แต่ต้องสาปแช่ง คนที่คิด จะตั้งบ่อน ตั้งซ่อง ในประเทศไทย สิ่งใดไม่ดี ต้องอย่าเปิดโอกาส อย่ายั่วยุ ให้ยากเข้าไว้ จะได้ไม่สะดวก ห่วงคุณภาพคน หรือห่วงเงิน ก็ขึ้นอยู่กับ ปัญญา ของนักการเมือง!

คนขี้โลภ คนขี้เกียจทำงาน คนเห็นแก่ได้ คนฟุ่มเฟือย คนไม่ซื่อสัตย์ (คุณสมบัติของนัก การพนัน) จะเร่งส่งเสริมกันไปทำไม?
ชะเง้อมาดูคนขายตัว แทนที่จะหาทางกำจัด ความยากแค้นให้หมดไป กลับหาทาง ให้คนมีเงิน ข่มเหงคนจนต่อไป บ้างก็เอา เงินตรา มาหลอกล่อ ยั่วยวนให้น้ำลายไหล

คนจีนฆ่าลูกสาวเพราะอยากได้ลูกชายเป็นเกียรติวงศ์ตระกูล คนไทยสักวัน อาจฆ่าลูกชาย เพราะอยากได้ลูกสาวไว้ "หาเงิน!"
"โลกลุก เป็นไฟ ยังจะมัวร่าเริงอยู่ไยกัน ตัวตกอยู่ในความมืด ยังไม่รู้จักหาแสงสว่าง!"
พุทธพจน์ เตือนชาวพุทธ ท่านสาธุชน ผู้กราบไหว้ทุกวัน ให้ความสำคัญ "เบญจกามคุณ" แค่ไหน?

"จัน ดารา" ออกมาสะท้าน สะเทือนใจ ผู้เฒ่าผู้ใหญ่ แต่พระเกจินู้ด นักเขียนบทความ หลายเจ้า ยืนยันอย่าอาย อย่าทำเป็นคนดีมีศีล จงยอมรับสัญชาตญาณดิบ จงมีสุนทรีย์ในหัวใจ!

อย่าทำเป็น มือถือสาก ปากถือศีลนะโว้ย! คนเหล่านี้ ภูมิใจความเป็นตัวเองสูง ไม่ปิดบังกำพืด แถมยังภูมิใจ ความมีกำพืด ของตัวเอง อีกต่างหาก แต่มือถือสาก ปากถือศีล ก็ยังดีกว่ามือก็ถือสาก ปากก็ถือสาก! สากน้อย ย่อมดีกว่าสากมาก จริงไหม?

หลักการต้องยอมรับเป็นแม่บท ส่วนจะทำได้แค่ไหนเป็นอีกเรื่อง บ้านเมืองก็เช่นนี้แหละ ชีวิตตัวเอง มัวเมาเสพติดสิ่งใด ก็มักจะโฆษณา ป่าวประกาศ ให้ผู้คนได้เห็นตาม มีสื่อก็ใช้สื่อ มีหนังสือก็ใช้ข้อเขียน มีทีวีก็ออกทีวี

ชีวิตต้องมีเขื่อนเพื่อกั้นเพื่อกันกระแสน้ำ มิให้หลั่งไหลมากเกินปริมาณ กระแสน้ำมากมาย เขื่อนต้องมีหลายชั้น เพื่อลดอัตรา ความรุนแรง
เหมือนการคบเพื่อน ไม่ใช่ได้ยินได้ฟังอะไรมา ก็เล่าหมด บางเรื่องรู้แล้ว ต้องเฉยไว้ พูดไปมีแต่วิกฤติ เราจะเป็น "เขื่อน" ที่ดีของเพื่อน ของครอบครัว ระมัดระวัง การนำเรื่องร้อนใจ ไปเล่าให้เขาฟังเสมอๆ "สังคม" ก็ต้องช่วยกันเป็นเขื่อน

โดยส่วนตัวเราจะระมัดระวังการประกอบอาชีพที่ "ต้องห้าม" (๓) ทางศาสนา
โดยภาครัฐ อะไรที่จะทำให้สวัดิภาพของประชาชนดีขึ้น ต้องส่งเสริม อะไรที่ทำให้ตกต่ำ ต้องหาทางป้องกัน
"รัฐ" จำเป็นต้องดูแลสิ่งแวดล้อม
"รัฐ" ต้องเป็นกรรมการ จัดจราจร ให้วิ่งสะดวก
"รัฐ" ต้องกำกับดูแล อย่าให้ปลาใหญ่กินปลาเล็ก คนแข็งแรง ข่มเหงคนอ่อนแอ!
และต้องวางแผนไปถึงอนาคต

หาก "กิเลส" คือ สิ่งที่อยู่นอกตัว "ตัณหา" คือ ความอยากของใจเรา "อุปาทาน" คือ ความยึดมั่นถือมั่นที่ฝังใจ นักปฏิบัติธรรม ท่านจะเริ่ม จัดการ "ของกู" แล้วค่อยๆ ไล่มาที่ "ตัวกู"

แต่นักบริหารซึ่งมีหน้าที่ดูแลบ้านเมือง
กิเลสของท่าน จึงคือสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ที่ต้องหาทางเข้มงวด หาทางจัดการ
ตัณหาของท่าน คือ ประชาชน ที่ท่านต้องหาทาง ให้สัมผัสสิ่งแย่ๆ น้อยที่สุด ปริมาณของประชาชน ต้องลดลง
อุปาทานของท่าน คือ ค่านิยม ที่ต้องสร้างกระบวนการอบรมบ่มนิสัย

การล้างอุปาทานก่อนๆ นั้น คือ "วัด" วัดจะเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ แต่วันนี้ หน่วยงานไหนที่ทำหน้าที่ "ล้างอุปาทาน"? ตอบหน่อย
ได้ไหม วัด โรงเรียน หรือเธค หรือศูนย์การค้า หรือเหล่าดารา?

จิตสำนึกหากไม่พัฒนา ก็เหมือนจีนแผ่นดินใหญ่ ที่อนาคตก็ต้องเวียนกลับไป เหมือนฝรั่งตาน้ำข้าว

เข้าใจขบวนการกิเลส-ตัณหา-อุปาทาน จะทำให้เราแก้ปัญหาถูกจุดขึ้น (กรุณาดูแผนภูมิ หน้าสุดท้ายประกอบ) แล้วก็จะไม่สงสัย ทำไมเดี๋ยวนี้ กามารมณ์ จึงเหมือนห่าฝน

บิน ลาเดนถล่มเวิลด์เทรด เดือนกันยายน ปี ๔๔ แต่หลักธรรมที่สมควรนำมาใช้กับประชาชน ถูกถล่มตั้งแต่เมื่อใด ?

รู้คำตอบส่งมาได้เลย มี รางวัล!

แผนภูมิการลดละกิเลส-ตัณหา-อุปาทาน