เราคิดอะไร.

ชีวิตบัดซบ เรื่องสั้น.. ธารธรรม



ชีวิตบัดซบ คำพูดนี้ฉันยังพูดติดปากมาจนปัจจุบัน
ถึงแม้อายุจะล่วงเลยมา เกือบครึ่งชีวิตแล้วก็ตาม มันเป็นคำที่ใช้พูด ประชดชีวิตตัวเองเสมอมา

ย้อนหลังไปเมื่อสมัยยี่สิบปีที่ผ่านมานั้น ฉันเคยทำงานเป็นเสมียนบัญชีของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และได้รับ การแต่งตั้ง ให้เป็นเลขาประจำตัวผู้จัดการ ซึ่งฉันขอใช้ชื่อว่าคุณวิชิต ในตอนนั้นฉันอายุยี่สิบปี กำลังเป็นสาวไฟแรง ความใกล้ชิด ทำให้ฉันกับคุณวิชิต มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันมาตลอด โดยที่ฉันเต็มใจ และ พร้อมใจทุกครั้ง ที่เขาต้องการ

ต่อมาฉันเริ่มมีอาการผิดปกติ นั่นหมายถึงว่าฉันเริ่มตั้งครรภ์ นี่เองกลายเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตบัดซบ ในช่วงพักกลางวัน วันหนึ่ง ฉันได้ถือโอกาส ปรารภกับเขา แต่เพียงลำพัง ในห้องทำงาน

"เอ่อ...ชิตคะ.." ฉันหันไปมองหน้าห้องอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ

"มีอะไรจ๊ะนุช?" เขามองฉันอย่างขำๆ ที่เห็นฉันเหลียวหน้าเหลียวหลัง

"เอ่อ..นุชกำลังจะมีเด็กค่ะ.."

"หา.." เขาแสดงอาการตกใจเมื่อได้ยินคำนี้ พร้อมกับจ้องหน้าฉันเหมือนกับ กำลังจะค้นหาความจริงอะไรสักอย่าง
ก่อนที่จะกล่าว อย่างอารมณ์เย็น "ไหนเธอบอกพี่ว่าป้องกันแล้วเป็นอย่างดี แล้วทำไมถึงท้องได้?" เขาส่ายหน้า
อย่างมีกังวล

"ฉันจำได้ว่าลืมทานยาไปครั้งหนึ่ง" ฉันกล่าวตอบพร้อมก้มหน้าทบทวน

"เป็นแบบนี้พี่ขายขี้หน้าเขาตายแน่ เธอรีบไปจัดการเสียก่อนที่มันจะสาย"

"จัดการยังไงคะ?" ฉันถามด้วยความสงสัย

"เอาออก ไว้ไม่ได้นะ" เขากล่าว

"ทำไมถึงเอาไว้ไม่ได้คะ...?"

เขาลดสายตาจากใบหน้าของฉัน มองโต๊ะทำงาน มือจับปากกาหมุนไปมาอย่างใช้ความคิด
"เอาอย่างนี้นะ พรุ่งนี้เราพบกันที่เก่าเวลาเดิม แล้วเราค่อยปรึกษาเรื่องนี้กัน"

ฉันพยักหน้า คำว่าที่เก่าเวลาเดิมนั้นหมายถึง ที่บ้านหลังเล็กที่อยู่ท้ายสวนส้ม แถวบางมด ซึ่งฉันกับเขา เคยไปอยู่กัน เป็นประจำนั่นเอง

วันนัดหมายแต่ละครั้งนั้น ส่วนมากฉันจะไปถึงก่อนเขาเสมอ แต่วันนี้เขาไปนอนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อฉันมาถึง เขาก็ยิ้มให้ อย่างอารมณ์ดี เขาดึงฉันเข้าไปโอบกอดไว้ในอ้อมอก เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา และลงเอยด้วยลีลารัก จนสุดขีด ของความปรารถนานั้น แล้วเราจึงมาเข้าเรื่องของปัญหา

"พี่ชิตคะ ไหนคุณบอกว่าจะพูดเรื่องของเราไงล่ะคะ" ฉันเอ่ยปากถามเขาเป็นเรื่องเป็นราว

"เรื่องมีท้องเรอะ ก็บอกแล้วไงว่าให้เอาออก"

"ไม่นะชิต ฉันต้องการจะเอาลูกของเราไว้ ขอเพียงคุณรับว่าเป็นพ่อเท่านั้น"

"คุณต้องการจะทำลายชื่อเสียงของผมรึ รู้มั้ยว่าถ้าทุกคนในบริษัทรู้เข้าผมจะเสียหายแค่ไหน?"

เขายันฉันออกจากอก พร้อมกับลุกขึ้นยืน สองมือเกาะขอบหน้าต่าง สายตามองออกไปข้างนอก ฉันรีบลุกขึ้นไปจากเตียง โอบไหล่เขา หวังวิงวอนขอร้อง

"นะคะชิต ถ้าคุณกลัวเสียหน้า ฉันยินดีออกจากงาน ไปอยู่ที่บ้าน ขอเพียงแต่คุณไปหาฉันบ้างเท่านั้น จะได้ไหมคะ"

เขาหันกลับมา มองหน้าฉันพร้อมกับเสียงถอนลมหายใจ ซึ่งฉันเองยังส่งสายตาวิงวอน ขอร้องเผื่อว่า เขาจะใจอ่อนลงบ้าง

"เอาเถอะเมื่อเธอไม่สามารถใจอ่อนกระทำเช่นนั้นได้ก็ไม่เป็นไร ผมมีวิธี" ว่าแล้ว เขาก็เดินไปเปิด กระเป๋าเอกสาร หยิบเอาอาวุธปืนพก ประจำตัวของเขาออกมาถือ พร้อมกับกล่าว กับฉันอย่างสั้นๆ "นี่ไงนุช...สิ่งที่จะแก้ปัญหาของเรา"

ฉันตกใจกลัวมาก...แต่ด้วยความรักตัวกลัวตาย จึงตัดสินใจกระโดดเข้าแย่งปืน ในมือเขาในทันที เขาไม่ทันระวัง ฉันจับได้ ที่ด้ามปืน หมุนกลับให้พ้นตัวเอง แรงโถมทำให้เสียหลัก เขาหงายหลังล้มลง พร้อมกับเสียงปืน ที่ลั่นเปรี้ยง ซึ่งฉันล้มทับ ร่างเขาอยู่ พร้อมกับปืนในมือ กระสุนตัดขั้วหัวใจ เขาสิ้นลมทันที ฉันตกใจจนตัวสั่นไปหมด ในตอนแรก คิดจะหนี แต่พอคิดได้ว่า เรื่องคงไม่จบง่ายๆ เป็นแน่
เพราะคงไม่พ้น ข้อสงสัยของเจ้าหน้าที่ไปได้ จึงตัดสินใจ โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้มาที่เกิดเหตุ เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึง ก็สารภาพ ไปตามความเป็นจริงว่า เขาต้องการจะฆ่าฉัน แต่ด้วยความกลัว และความรักตัวเอง จึงเข้าแย่งปืน เพื่อป้องกันตัว เท่านั้น โดยไม่มีเจตนา ที่จะฆ่าเขา แต่ประการใดเลย และกว่าที่ฉันจะพ้นคดีได้ ก็ต้องวิ่งขึ้นวิ่งลง ระหว่างสถานีตำรวจ กับอัยการอยู่หลายรอบ

เมื่อไม่มีวิชิตแล้ว ฉันก็ไม่สามารถเอาเด็กในท้องไว้ได้ จึงตัดสินใจทำแท้งกับหมอเถื่อน จนเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นมา ฉันก็มีแต่ความฟุ้งซ่าน จนไม่อาจที่จะอยู่เฉยๆ ได้ จึงเที่ยวไปในหมู่ของวัยรุ่น โดยไม่กระดากอาย และในช่วงนี้เอง ฉันก็ได้รู้จัก กับผู้ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งอายุอานามไล่เลี่ยกัน ตอนนั้น ฉันอายุประมาณ ยี่สิบเอ็ดปีเศษๆเท่านั้น ผู้ชายคนนี้ ฉันขอให้ชื่อเขาว่า "สมพล"

สมพลเป็นนักดื่มนักเที่ยวตัวยง มีเงินใช้จ่ายเหลือเฟือ เขาไม่ได้รูปหล่อเหมือนวิชิต แต่เหมือนมีอะไรบางอย่าง ที่ถูกใจฉัน อยู่มาก เมื่อได้รู้จักกับคนที่ชอบกิน ชอบเที่ยว เป็นธรรมดาที่ทำให้ชีวิตของฉัน ต้องเปลี่ยนแปลงไป เป็นคนเช่นนั้นด้วย สมพล เอาอกเอาใจดีมาก ถึงกับทำให้ฉัน ลุ่มหลงเอามากๆ เลยทีเดียว ฉันคือน้ำมัน เขาคือไฟ เมื่อสองสิ่งปะทะกัน มันคือ ประกายของความเร่าร้อน รุนแรง ไฟอารมณ์ เริ่มลุกลาม แล่นพล่าน ไปทุกส่วน ในเลือดเนื้อสาว จนเบาเหมือนฟองสบู่ คืนหนึ่ง หลังจากที่เราดิ้นดื่มกัน จนมึนไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ สมพลก็ชวนฉันไปจบกัน ที่โรงแรมม่านรูด แห่งหนึ่ง แถวประตูน้ำ

เกือบสี่เดือนที่ลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในรสสวาทแห่งแสงสีโลกีย์ จนหน้าที่การงานเริ่มบกพร่อง และโดนตำหนิ อยู่บ่อยครั้ง แต่แทนที่จะคิดได้ และปรับปรุงตัวเอง เปล่าเลย เหมือนยิ่งยุ ให้ฉันเร่งเข้าสู่อบายมุขมากขึ้น ฉันกลายเป็นคน หูหนวกตาบอด จนไม่ได้ยิน คำตักเตือน ของผู้หวังดีทั้งหลาย ใจของฉันเร่าร้อน หิวกระหาย อยู่แต่ในห้องแสงสี ที่อบอวลไปด้วย กลิ่นเหล้า ฟองเบียร์ และควันบุหรี่ และในห้องนั้น สมพลคือ ยอดปรารถนาของฉันเสมอ และแล้ว วันสิ้นสุดของอาชีพ เสมียนบัญชี ก็มาถึง เมื่อประธานบริษัท เรียกฉันเข้าพบ

"คุณทำงานแบบไหนนุชนาฏ..ดูสิ ผิดพลาดมากมายก่ายกอง...?"

"อืมม์.." ฉันไม่มีคำตอบใดๆ นอกจากนั่งก้มหน้า

"แบบนี้ไม่ไหว...เอ่อ ทราบว่าหมู่นี้ชอบเที่ยวดึกๆ เรอะ...เจอปัญหาคราวที่แล้วยังไม่เข็ด หรือไง?"

"อืมม์...คือว่า...."

"เอาหละ พอ...ผมไม่ต้องการฟังคำแก้ตัวใดๆ จากคุณอีก คราวที่แล้วก็ได้ตักเตือนคุณแล้ว แต่คุณกลับ ไม่แก้ไข.. ชอบทำตัว เป็นวัยรุ่น เที่ยวกลับดึกดื่น คงเป็นเพราะสาเหตุนี้สิท่า คุณจึงไม่ตั้งใจทำงาน" ประธานบริษัท หยุดถอนหายใจ พร้อมกับ ส่ายหน้าไปมา "เอานี่ซองขาว...แล้วขอให้คุณโชคดี อ้อ... ขอเตือนหน่อย ถึงแม้คุณจะไม่ได้ทำงานที่นี่แล้วก็ตาม ภัยสังคม อันตรายนัก ขอให้คุณจงระวัง ....คุณอาจจะไม่โชคดี เหมือนคราวที่แล้วก็ได้"

ฉันพนมมือไหว้ ซองขาวก็ซองขาว ออกก็ออกซิ...งานที่อื่นคงยังพอมีให้ทำได้ แคร์อะไร ฉันรับเงินเดือน ล่วงหน้าสามเดือน แล้วเดินออกจากบริษัท อย่างไม่รู้สึกเสียดายอะไร ที่จริงฉันก็อยากออกตั้งนาน ตั้งแต่ไม่มีวิชิตแล้ว

ตอนค่ำของวันนั้นฉันไปพบสมพล เล่าเรื่องที่ถูกออกจากงานให้เขาฟังโดยละเอียด แต่ดูๆ เขาก็ไม่ยินดียินร้ายอะไร
"ออกจากงานเรอะ...ฮึฮึ!! พี่ว่าไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าเสียใจตรงไหน หางานทำใหม่ เมื่อไหร่ก็ได้ แค่เสมียนบัญชี เรื่องงาน เอาไว้ทีหลัง อย่าคุยเลยปวดหัว ตอนนี้ไปหาอะไร ทานสนุกๆ กันดีกว่า"

"แต่ถ้าไม่มีงานทำ ฉันจะเอาเงินที่ไหนใช้จ่ายล่ะ บ้านฉันก็ต้องเช่าอยู่นะ ?" ฉันกล่าวด้วยความวิตก

"เอ่อน่า...ตอนนี้คุณอยู่เฉยๆ ไปก่อน ถือว่าเป็นการพักผ่อนไปในตัว พี่มีเพื่อนเยอะแยะ ไว้พอนุชหายเหนื่อยแล้ว พี่ค่อยฝาก งานให้ หรือจะย้ายมา พักกับพี่ก่อนก็ได้ จะได้ประหยัด ค่าใช้จ่ายไปด้วย" ว่าแล้วเขาก็ดึงฉันไปขึ้นรถ ท่องราตรีเหมือนเช่นเคย

วันต่อมาฉันตัดสินใจย้ายออกจากบ้านเช่าเข้าไปอยู่ในอพาร์ตเมนต์กับสมพล ตามคำแนะนำ ของเขา ซึ่งก็เป็น ความต้องการ ของฉัน มาตั้งแต่ต้นแล้ว จึงแกล้งทำเป็นวิตก เพื่อให้เขาเอ่ยปากชวน และ แล้วก็เป็นไปตามที่คิด

เมื่อได้อยู่ร่วมกัน ฉันจึงได้เห็นธาตุแท้ของสมพล เขาเป็นคนไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย เขาไม่มีอาชีพที่แน่นอน พื้นเพก็ไม่รู้ว่า เป็นคนทางไหน คำแรกที่ฉันแอบได้ยิน เมื่อเขาพูดติดต่อกับใครคนหนึ่ง ทางโทรศัพท์

"ตกลงน่าเฮีย...สามหมื่นไม่แพง เด็กยังใหม่ เฮียส่งไปญี่ปุ่นได้มากกว่านี้หลายเท่า ครับ...ถ้าเฮียตกลงนะ พรุ่งนี้มา ดูตัวได้เลย.."

ฉันรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะเข้าปากเสือ เขากำลังประเมินราคากันเหมือนกับว่า ฉันเป็นวัวเป็นควาย วันนั้นฉันหยิบได้เพียง กระเป๋าถือ เพียงใบเดียว แล้วแอบหนีออกมา จากอพาร์ตเมนต์ หูตาสว่างขึ้นมาทันที ที่แท้เขาเป็นตัวอันตราย ที่มีรายได้ จากการค้าผู้หญิงส่งนอก ส่งขายทั้งญี่ปุ่น และฮ่องกง ได้เงินมาเท่าไหร่ เขาจะจับจ่ายเที่ยว ท่องราตรี หาความสุข และสนุก ไปกับการหาเหยื่อ รายใหม่ต่อไป อย่างไม่หยุดยั้ง

ฉันสมน้ำหน้าตัวเองที่เป็นคนใจง่าย "บัดซบ" มาตลอด เห็นไหมล่ะ เกือบเข้าอีกแล้ว เกือบได้ไปนั่งเป็นแม่จ้าง อยู่เมืองญี่ปุ่น เคราะห์ดี ที่พระเจ้าช่วย เมื่อมีสติฉันรีบออกตระเวนหา สมัครงานไปตามบริษัทต่างๆ แต่โชคไม่เข้าข้างเลย ไม่มีบริษัทไหน รับเข้าทำงาน จนรู้สึกอ่อนใจ ทั้งที่สมัยนั้น งานเหล่านี้ หาไม่ยาก แต่สำหรับฉันในครั้งนั้น เหมือนถูกพระเจ้าลงโทษ ถูกปฏิเสธ ครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับว่า ชื่อและความประพฤติของฉัน ถูกถ่ายทอดไปตามบริษัทต่างๆ จนหมดสิ้น ยี่สิบกว่าปีแล้ว ที่ฉันยังจดจำ ไม่ลืมเลือน และยี่สิบกว่าปีแล้ว ที่ฉันต้องหอบหิ้ว เอาความบอบช้ำ จากบทเรียนราคาแพง มาเป็นคติสอนใจ ให้ชีวิตดำเนินไป ตามร่องตามรอย ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถ ยกระดับฐานะตัวเอง ให้สูงขึ้นมาได้อีก นั่นเป็นเพราะว่า ฉันทำตัวฉันเอง ให้ตกต่ำไม่ใช่คนอื่นทำ จึงไม่มีข้ออ้างใดๆ ที่จะออกตัว ไม่เคยโทษดวงชะตาราหู พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก หรือว่าดาวเดือน เป็นมนตรี อริมาบดบังความดี ทำให้ผู้ใหญ่มองไม่เห็น อย่างที่หลายคนกล่าวอ้างกัน

งานสุดท้ายที่ฉันทำ และเป็นงานประจำอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งเป็นงานที่ฉันไม่อาจที่จะเลือกได้ ในขณะนั้นก็คือ เป็นพนักงาน เก็บค่ารถโดยสาร ประจำทางสายหนึ่ง ในกรุงเทพฯ ไม่มีศักดิ์ ไม่มียศอะไร แต่ว่ามันทรงคุณค่ายิ่งนัก สำหรับคนที่ตกงาน แล้วฉันก็รักมัน รักจนไม่คิด ที่จะเปลี่ยนงานใหม่อีกแล้ว คิดว่าบางคน เคยเห็นฉันมาบ้าง และบางคน คงเห็นฉัน มาหลายครั้ง แล้วก็มี แต่ฉันเชื่อว่า คงจะไม่มีใครปรารถนา ที่จะรู้จัก หรือจดจำหรอก เพราะไม่เป็นที่พึ่ง ที่ฝังฝากอะไร ต่อใครได้ และตัวฉันเอง ก็มิอาจเอื้อม ที่จะทำความรู้จักกับใคร เพื่อมุ่งหวังอนาคตอะไรอีก นอกจากทำหน้าที่ตรงนี้ ให้ดีที่สุดเท่านั้น เพราะบทเรียน ที่ฉันได้รับ หมายถึงว่า พื้นที่จะดีหรือไม่ดี ดูที่หน้าที่ ที่ดินผืนใน คือร่างกาย จะดีหรือไม่ ก็ดูกันที่หน้าที่ และการงานของใคร จะดีหรือไม่ ก็ต้องดูที่หน้าที่อีกเช่นกัน เพราะว่าหน้าที่ เป็นทางมาแห่งความเจริญ....

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๓๘ มกราคม ๒๕๔๕)