เราคิดอะไร.

ห่าร้ายลงใจ (จุลลนันทิยชาดก)

จงอย่ากระทำชั่ว
จะพาตัวเดือดร้อนภายหลัง
เพราะทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว
ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี

ในอดีตกาล ครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติ อยู่ในกรุงพาราณสี

คราวนั้นเอง ณ ป่าหิมพานต์ มีลิงอยู่สองตัวเป็นพี่น้องกัน ตัวพี่ชื่อว่า นันทิยะ ตัวน้องชื่อว่า จุลลนันทิยะ ทั้งสองพี่น้อง มีลิงเป็นบริวารถึง ๘๔,๐๐๐ ตัว อาศัยอยู่ในป่านั้น ลิงสองตัวพี่น้อง ทั้งคอยดูแลบริวารให้ปลอดภัย และทั้งต้องปรนนิบัติ เลี้ยงดูมารดาชรา ผู้ตาบอดอีกด้วย โดยให้มารดา พักอาศัยที่พุ่มไม้ร่มรื่น แล้วทั้งสอง ก็ออกไปหาผลไม้ ที่มีรสอร่อย เมื่อได้เพียงพอแล้ว ก็กำชับบริวารนำไปส่งให้มารดาทุกๆ วัน

แต่เพราะพวกลิงบริวาร ที่เป็นผู้นำผลไม้ไปนั้น มักไม่ได้เอาไปให้มารดาบ่อยๆ มารดาจึงอดอยากขาดอาหารเสมอๆ ทำให้ซูบผอมลงไปเรื่อยๆ จนเห็นได้ชัดตา

ครั้นลิงนันทิยะเห็นมารดาผ่ายผอมเช่นนั้น ก็อดสงสัยไม่ได้ จึงถามมารดาว่า "แม่จ๋า ลูกได้ส่งผลไม้ รสอร่อยถูกปากแม่ มาให้ทุกวัน แม่ไม่ชอบกินหรืออย่างไร ถึงได้ดูแม่ซูบผอม ลงไปอย่างนี้"

มารดาผู้ตาบอดก็ตอบตามตรง ด้วยเสียงแผ่วเบาว่า "ลูกเอ๋ย ผลไม้รสอร่อยที่ไหนเล่า จะมีทุกวัน แม่ได้กินผลไม้ของเจ้า เพียงบางวันเท่านั้น"

ลิงนันทิยะได้ฟังคำของมารดาแล้ว ให้รู้สึกเสียใจ ในความบกพร่องของตน จึงคิดว่า "หากเรายังปกครอง ฝูงลิงอยู่ต่อไป แม่ของเรา คงต้องลำบาก หรือถึงแก่ความตายได้ ฉะนั้น เราควรที่จะละจากฝูงลิงนี้เสีย คอยใกล้ชิดเลี้ยงดูแม่ของเรา ให้สมบูรณ์ดีก่อนเถอะ"

ดังนั้นจึงเรียกจุลลนันทิยะ มา แล้วกล่าวว่า "นี่แน่ะ! น้องของพี่ น้องจงอยู่ที่นี่ปกครองลิงฝูงนี้เถิด ส่วนพี่จะพาแม่ ไปแห่งอื่น เพื่อบำรุงเลี้ยงดูท่าน ให้มีความสุขสมบูรณ์ ดียิ่งกว่านี้"

จุลลนันทิยะได้ยินเช่นนั้น ก็กล่าวบ้างว่า "พี่จ๋า น้องก็ไม่ปรารถนาที่จะอยู่ปกครองฝูงลิง แต่น้องต้องการที่จะเฝ้า คอยดูแลแม่อยู่ใกล้ๆ เช่นกัน"

เมื่อสองพี่น้องมีใจตรงกัน มีความคิดเห็นเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันดังนี้แล้ว จึงอำลาจากฝูงลิงเหล่านั้น พามารดา ออกจากป่า หิมพานต์ ไปอาศัยอยู่ที่ต้นไทร ริมเนินใกล้ป่าชายแดนแห่งหนึ่ง

ในครั้งนั้น มีพราหมณ์ หนุ่มชาวกรุงพาราณสีคนหนึ่ง เรียนจบศิลปะทุกประการแล้ว ในสำนักของปาราสิยพราหมณ์ ซึ่งเป็นอาจารย์ ที่มีชื่อเสียง ในเมืองตักสิลา เขาจึงไปกล่าวลา กับอาจารย์ว่า "อาจารย์ครับ ผมเรียนวิชาจบหมดแล้ว ผมก็ขอลาอาจารย์ไปล่ะ"

อาจารย์ได้ฟังแล้ว ก็คิดในใจว่า "ลูกศิษย์ของเราคนนี้ ยังมีนิสัยหยาบคายอยู่ และจิตใจก็ยังต่ำช้านัก ปล่อยให้ไปอย่างไม่ตักเตือน คงไม่ดีแน่ๆ"

ดังนั้นจึงอบรมสั่งสอนเป็นครั้งสุดท้ายว่า "เจ้าจงจำคำของอาจารย์ให้ดีๆ เจ้าเป็นคนกักขฬะ หยาบช้า โผงผาง ถ้าหากยังไม่เปลี่ยน นิสัยเหล่านี้ ยังขืนเป็นอยู่อย่างเก่า ก็จะไม่มีผลสำเร็จตลอดกาล และจะต้องพบกับความพินาศ ต้องทุกข์อย่างใหญ่หลวง ฉะนั้น จงอย่าทำตัวเป็นคนเลวทราม อย่าทำบาปกรรม ให้ต้องเดือดร้อน ในภายหลังเลย"

จบคำของอาจารย์แล้ว พราหมณ์หนุ่มก็ไหว้ลาอาจารย์ ออกเดินทางกลับไปสู่กรุงพาราณสี แล้วแต่งงาน มีครอบครัว อยู่ที่นั่น แต่เพราะนิสัยหยาบคายนั่นเอง จึงไม่สามารถจะเลี้ยงชีวิต ด้วยศิลปะที่ดีงามอย่างคนอื่นๆ ได้ เขาต้อง ตัดสินใจว่า "เราคงต้องหากินด้วยอาชีพเป็นนายพราน ยึดเอาคันธนูกับลูกศรเป็นที่พึ่ง เลี้ยงชีวิตตนและครอบครัว"

เขาจึงอพยพครอบครัว ออกจากกรุงพาราณสี ไปอยู่ที่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง ทุกๆ วันก็จะผูกสอดธนูกับแล่งลูกศร เข้าป่า ล่าเนื้อสัตว์นานาชนิด อาศัยเลี้ยงชีพ ด้วยการขายเนื้อสัตว์เหล่านั้น

วันหนึ่ง...ขณะเข้าป่าล่าสัตว์ เขาหาสัตว์ในป่าสักตัวเดียวไม่ได้เลย กระทั่งตกเย็นแล้วก็ตาม จึงหงุดหงิด เดินกลับบ้าน ด้วยอารมณ์เสีย พอดีได้ผ่านต้นไทร ที่อยู่ริมเนินนั้น เขาก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า "ต้นไทรร่มรื่นออกอย่างนี้ ก็น่าจะมี สัตว์อะไร มาอาศัยอยู่บ้างล่ะ"

จึงเดินไปยังโคนต้นไทร ซึ่งในเวลานั้น นันทิยะกับจุลลนันทิยะ กำลังนั่งอยู่ระหว่างคาคบไม้ ให้มารดาเคี้ยวกินผลไม้ อยู่เบื้องหน้าพวกตน ครั้นเมื่อเห็นนายพรานเดินมา นันทิยะจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่า "แม่ของเราเป็นลิง ที่แก่เฒ่า มากแล้ว อีกทั้งยังตาบอดด้วย ถึงนายพรานผู้นี้จะพบเห็นเข้า ก็คงจะไม่ทำอะไรเป็นแน่"

ดังนั้นจึงรีบเรียกน้องชาย ให้หลบซ่อนตัวอยู่ที่กิ่งไม้หนาทึบใกล้ๆ นั้น ฝ่ายนายพรานก็มายืนสอดส่องดูอยู่ที่โคนต้นไทร แล้วก็ได้พบเห็นลิงชราตาบอดกำลังกินผลไม้อยู่ ก็คิดว่า "เราจะกลับบ้านมือเปล่าทำไม แม้จะเป็นนางลิงแก่ๆ ตาบอด เราก็จะยิงให้ตกลงมาแล้วเอาไปด้วย"

นายพรานใจโหดจึงเล็งศรโก่งธนู หมายจะยิงนางลิงชราตัวนั้น นันทิยะเห็นท่าทีแล้วก็ตกใจ รีบกล่าวสั่ง น้องชาย อย่างเร็วว่า "น้องพี่ พรานกำลังจะยิงแม่ของเรา พี่จะสละชีวิตแทนแม่ เมื่อพี่ตายไปแล้ว น้องจงดูแล รักษาแม่ เป็นอย่างดี ต่อไปเถิด"

ไม่รอช้า นันทิยะกระโจนพรวดจากที่ซ่อน ออกมาขวางอยู่ที่เบื้องหน้ามารดา แล้วเอ่ยว่า "ท่านผู้เจริญ ขอท่านได้โปรด อย่ายิงศร ที่แม่ของเราเลย แม่ของเราร่างกายอ่อนแอ ด้วยความชราภาพมากแล้ว และก็ตาบอด ทั้งสองข้าง ทุกข์ยาก ลำบากยิ่งนัก ท่านอย่าได้ฆ่าแม่ของเราเลย จงฆ่าเราแทนเถิด แล้วปล่อยแม่ของเราไป"

นายพรานดีใจ ที่ได้เห็นลิงหนุ่มตัวใหญ่แข็งแรง มาอาสาขอตายแทน จึงรับคำทันที นันทิยะเห็นพรานป่า ให้สัญญาแล้ว ก็ไต่ลงจากต้นไทร ไปนั่งอยู่ที่เบื้องหน้าของนายพราน

ก็ไม่รีรอเลย พรานใจอำมหิต เล็งศรยิงเข้าที่ทรวงอกสุดแรง นันทิยะล้มตึงลง แน่นิ่งที่พื้นดิน นอนขาดใจตาย อยู่ที่ตรงนั้นเอง แต่...นายพรานกลับไม่หยุดแค่นั้น หยิบลูกศร ดอกใหม่ ออกมาพาดสายธนู เล็งไปที่นางลิงชราอีกครั้ง คำมั่นสัญญาของคนพาล ไม่มีความหมายอะไรเลย

จุลลนันทิยะเห็นดังนั้น ก็คิดว่า "พรานชั่วคนนี้ จะฆ่าแม่ของเราให้ได้ แต่แม่ของเรา หากแม้จะมีชีวิตอยู่ได้แค่วันเดียว ก็ยังได้ชื่อว่า รอดชีวิตแล้ว ฉะนั้น เราก็จะสละชีวิต ทดแทนแม่บ้าง"

แล้วกระโดดมาขวางหน้ามารดาเอาไว้ กล่าววิงวอนว่า "ท่านผู้เจริญ ท่านอย่ายิงแม่ของเราเลย เรานี่แหละ จะยอม สละชีวิตให้ แทนแม่ ท่านยิงศรมาที่เราเถอะ แล้วจงเอาเรา ทั้งสองพี่น้องไป แต่โปรดไว้ชีวิต แม่ของเราด้วยเถิด"

พรานป่ายิ่งดีใจใหญ่ ที่ได้เห็นลิงหนุ่มเพิ่มขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง จึงรีบตกปากรับคำทันที จุลลนันทิยะ จึงไต่ลงมานั่ง อยู่ที่เบื้องหน้า ของนายพราน แล้วพรานนั้นก็ยิงศรใส่ทันใด ไม่มีเสียงร้องแม้แต่น้อย ร่างของจุลลนันทิยะค่อยๆ ทรุดฮวบลง นอนตายจมกองเลือด อยู่ที่พื้นดินนั่นเอง

นายพรานส่งเสียงหัวเราะชอบใจ ตรงเข้าแบกศพของลิงสองพี่น้องขึ้นบ่า หมายที่จะนำกลับบ้านของตนเอาไปขาย แต่ขณะนั้น ใจก็เกิดความคิดว่า "ที่บ้านของเราก็มีเด็กๆ อยู่หลายคน เราน่าจะยิงนางลิงแก่นั่น อีกสักตัว เอาไปเผื่อ พวกเด็กๆ ท่าจะดี"

จึงวางศพลิงไว้กับพื้นดิน หยิบธนูคว้าลูกศรออกมาเล็งเป้า แล้วยิงอย่างรุนแรงแม่นยำ นางลิงชราผู้น่าสงสาร ถูกลูกศร เสียบเข้าที่อก ถึงกับสะดุ้งสุดตัวแล้วก็ขาดใจตาย ร่วงหล่น ลงมาจากต้นไทรนั้น พรานป่าเห็นดังนั้น ก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ จัดการทำคานหาบ เอาลิงทั้งสามตัว มุ่งหน้าตรงกลับไป สู่บ้านของตนอย่างมีความสุข

ในเวลาขณะเดียวกันนั้นเอง.....เสียงฟ้าคำรามลั่น ได้ปรากฏสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลง ที่บ้านของพรานชั่วนั้น บ้านทั้งหลัง ไฟลุกโพลง คลอกเอาเมียและลูก อีกสองคนของนายพราน ถึงแก่ความตายหมดสิ้น

ครั้นเมื่อนายพรานกลับมาถึงบ้าน เห็นบ้านเหลือแต่เสากับขื่อ พร้อมกับควันกรุ่นอยู่ ทั้งตกตะลึง ทั้งตกใจ ต่อเมื่อ เพื่อนบ้านใกล้ๆ มาเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง จึงได้รู้เรื่องราวทั้งหมด ทำให้เขาเศร้าโศกเสียใจ คิดถึงเมียกับลูกยิ่งนัก ไม่ใส่ใจในศพลิงทั้งสามอีกแล้ว ทิ้งธนูกับแล่งไว้ที่ตรงนั้น เดินไปอย่างคนเสียสติ ปล่อยให้ผ้านุ่งหลุดร่วง เปลือยกายประคองแขนร่ำไห้ แล้วเดินเข้าไป ยังซากเรือนของตน

ทันใดนั้น...ขื่อก็หักโครมตกลงมา กระแทกโดนหัวของเขาอย่างแรง หัวแตกเลือดไหลอาบ แล้วพื้นดินที่ตรงนั้น พลันแตกแยก ออกจากกันเป็นช่อง ทำให้ร่างของพรานใจโฉด ตกลงไปสู่อเวจีมหานรก และ ขณะที่เขากำลังถูก ธรณีสูบนั้นเอง ก็ได้ระลึกถึง คำตักเตือนสั่งสอน ของอาจารย์ได้ว่า

"เจ้าจงอย่าได้กระทำกรรมชั่ว อันจะทำตัวให้เดือดร้อนในภายหลัง เพราะใครทำกรรมชั่วเหล่าใดไว้ เขาย่อมต้องเห็น กรรมชั่ว เหล่านั้นในตน ดังนั้น ผู้ทำกรรมดี จึงย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว จึงย่อมได้รับผลชั่ว เสมือนบุคคล หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น"

พระศาสดาตรัสชาดกนี้จบแล้ว ทรงกล่าวว่า

"พรานหยาบช้าในครั้งนั้น ได้มาเป็นเทวทัตผู้กักขฬะ หยาบช้า ไร้กรุณาในบัดนี้ อาจารย์ปาราสิยพราหมณ์ ได้มาเป็น พระสารีบุตรในบัดนี้ จุลลนันทิยะ ได้มาเป็นพระอานนท์ในบัดนี้ ลิงชราผู้เป็นมารดา ได้มาเป็น พระนาง มหาปชาบดีโคตมีในบัดนี้ ส่วนนันทิยะนั้น ก็คือ เราตถาคต"

(พระไตรปิฎก เล่ม ๒๗ ข้อ ๒๙๓ อรรถกถาแปลเล่ม ๕๗ หน้า ๓๘๙)

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๓๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕)