หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

ข้าพเจ้าคดอะไร?? สมณะโพธิรักษ
กำไร ขาดทุนแท้ ของอาริยชน


(ต่อจากฉบับที่ ๑๔๑)

นอกนั้นก็เป็นการสงเคราะห์ อื่นๆ เช่น ค้นคิดหาหลักการ หาวิธีการ หากฎหมายมาใช้กับสังคม ก็ไม่เห็น จะมี ประสิทธิภาพ ดีเด็ด แก้วิกฤติสัมฤทธิผลอะไร ซึ่งนักบริหารต่างก็ทำกันมานานแล้ว

แม้การศึกษา ก็ดูเหมือน"สร้างคน" แต่ก็เป็น "การสร้างคน" แค่ให้คนสามารถสงเคราะห์ตนเองและ พรรคพวก ตนเองได้เท่านั้น แท้ๆก็สร้างความเห็นแก่ตัวแก่พรรคพวก ยิ่งตามแบบทุนนิยมแล้ว ยิ่งเท่ากับ "สร้างคน" ให้ไปแย่ง ชิงกัน ในสังคมทับทวีมากขึ้น เพราะ "คุณธรรม" แบบทุนนิยม หรือแบบโลกีย์นั้น ไม่เสียสละ หรือไม่หมด ความเห็น แก่ตัวจริง ลึกซึ้งถึงขั้นลดอัตตา ได้ถูกตัวตน กระทั่งที่สุดเกลี้ยง สะอาด (ปริสุทธิ) ยั่งยืน (ธุวะ) ไม่กลับกำเริบ (อกุปปะ) แน่ๆ โดยสัจจะ จึงยิ่งกลายเป็น "การทำลายคน" มากกว่าจะเป็น "การสงเคราะห์" ด้วยซ้ำ

ซึ่งต่างกับ"บุญนิยม"ที่เน้น"การสร้างคนให้มีคุณธรรมจนประสบผลสำเร็จ" เป็นเอก ชนิดมีสัมมาทิฏฐิ

"การสร้างคนให้มีคุณธรรม จนประสบผลสำเร็จ" ของบุญนิยมนั้น คนจะลดกิเลสอย่างถูกอัตตา (ตัวตน) ของมันจริง และกิเลสของโลกธรรม ที่ต่ำหยาบไปจนถึง ละเอียดสุด เช่น กิเลสที่เกิดจาก อบายมุข กามารมณ์ โลกียารมณ์ สักกายะ..อัตตา..อาสวะต่างๆ คนที่ได้เรียนรู้ การลดกิเลส ที่ไปติดยึด เกี่ยวเกาะกับโลกธรรม ดังกล่าวนั้น อย่าง สัมมาทิฏฐิ ก็จะหลุดพ้น (วิมุติ) ได้จริง ชนิด "ดับเหตุ" ที่เป็นสมุทัยอาริยสัจ ถูกตัวตนของมันถึงขั้น "ดับตัวตน ของกิเลส หมดเกลี้ยงสนิท" แท้เที่ยงยั่งยืน ไม่กลับกำเริบ เป็น "โลกุตรสัจจะ"

ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติที่ไม่ใช่ "การกดข่ม" และไม่ใช่การวิ่งหนี หลบเลี่ยงเข้าไปอยู่ป่าเขาถ้ำ หรือหาที่นั่งดับหูหลับตา แล้วก็ใช้วิธี นั่งสมาธิ สะกดจิตให้ดับให้นิ่งเป็นทางเอก แบบฤาษีชีไพรเก่าแก่ ที่มีมาก่อนพระพุทธเจ้า จะอุบัติมา ในโลก เฉกเช่นอาฬารดาบส หรือ อุทกดาบส เป็นต้น เพราะการปฏิบัติ ด้วยวิธีอย่างนี้ ย่อมไม่รู้เท่าทัน โลกธรรม ดังกล่าวเหล่านั้น

อันต่างจากการปฏิบัติตามหลัก "มรรค องค์ ๘" ซึ่งจะรู้เท่าทันโลกธรรมเหล่านั้นอย่างชัดเจน เพราะมัน เป็นเหตุที่ สัมผัสทาง ตาหูจมูกลิ้นกายใจเรา อยู่เป็นธรรมชาติในชีวิตประจำวัน โลกธรรมจริงเหล่านั้น ทำให้ผู้ปฏิบัติ เกิดกิเลส ซึ่งปรากฏ ให้เจ้าตัว "กำจัด" (ปหาน) มัน อย่างถูก "ตัวตนของเหตุ" (สมุทัย) กันทีเดียว จึงเป็น "สัจธรรม" ที่รู้แจ้งเห็นจริง ไม่ลึกลับงมงาย พ้นวิจิกิจฉา เพราะมีญาณ มี "ปริญญา ๓" มีอธิปัญญา รู้ๆเห็นๆ มันโทนโท่ กิเลสเกิด เป็นปัจจุบันใด ก็อ่านรู้อ่านเห็น และลดละ ล้างตัวตนของมัน ที่สุดดับมันได้จริง ขณะที่มันเกิดจริง ปรากฏจริง ทั้งหยาบ กลางละเอียด จนหมดเกลี้ยง

น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ พุทธศาสนิกชนได้ปฏิบัติพุทธธรรมกันผิดเพี้ยนไปมาก "การสร้างคน" จึงกลายเป็นวิธี ปฏิบัติ ตามแบบฤาษีดาบส แต่เก่าก่อน ซึ่งเป็น "ทางผิด" และกล่าวได้เลยว่า ชาวพุทธปัจจุบันนี้ ได้พากันหลงผิด โดยยึดเอา "ทางผิด" (มิจฉามรรค) แบบฤาษีว่า เป็น "ทางถูก" (สัมมามรรค) เกือบจะทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว ศาสนาพุทธ ทุกวันนี้ จึงไม่พาบรรลุ อาริยธรรม ไม่สามารถ เข้าถึง "โลกุตระ" อันเป็นคุณวิเศษของพุทธแท้แต่ผู้เดียว

ศาสนาพุทธในปัจจุบันนี้ จึงไม่มีฤทธิ์ไม่มีคุณภาพพอ ที่จะช่วยกอบกู้สังคมโลกีย์ หรือ สังคมปุถุชน คนทุนนิยม ให้สู่ "สุขอันประเสริฐ" (วูปสมสุข,อาริยสุข) ได้สำเร็จ เพราะแรงเก่งปรุงเก่งแต่งของโลกีย์ และแรงที่สลับซับซ้อน สุดชาญ สุดฉลาด จัดจ้านของทุนนิยม ได้ถล่มคนให้จมลึกหนักลงไปกับลาภ..ยศ..สรรเสริญ.. กามสุข.. อัตตทัตถสุข
[มีต่อฉบับหน้า]

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๒ พฤษภาคม ๒๕๔๕)