แว้งที่รัก
สงคราม-สันโดษ ๒
น้อยตื่นเต้นมากเพราะสงครามที่พ่อเพิ่งเล่าให้ฟังไปหยกๆ
ได้มาถึงแว้งที่รักของเธอเข้าแล้ว แม้เธอจะยังเล็ก ก็จริง แต่เรื่องที่เพิ่งได้ฟัง
มาจากพ่อและเพื่อน ทำให้หัวใจน้อยเต้นแรง บอกไม่ถูก ว่ากลัวหรือเปล่า
รู้สึกว่า ไม่ใช่แค่ เรื่องระเบิด จะตกลงบนหัว หรือหลังคาบ้านเสียแล้ว
อาจจะเป็นเพราะ ได้ฟังเรื่องตึกสูงตั้งห้าชั้น ยังถูกระเบิด พังได้
เรื่องเรือสองชั้น ชื่อเรือเสาวคนธ์ ยังจมทะเล และเรื่องยายของเธอ
กลับมาลงหลุมหลบภัย ที่บ้านไม่ทัน รวมๆ กันหลายเรื่อง ทำให้น้อยสับสน
"บ้านเรายังไม่ได้ขุดหลุมหลบภัยเลย"
น้อยพูดพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง
"เธอพูดอะไรน่ะน้อย
หลุมอะไรกัน เธอจะไม่ไปดูทหารญี่ปุ่นกับเราเหรอ?"
มานิตถามขึ้น ทำให้น้อยรู้สึกตัว ตอบเพื่อนว่า
"พ่อบอกว่าที่สงขลา
ที่ยายฉันอยู่น่ะ มีทหารญี่ปุ่นเข้ามาอยู่เต็มเมืองเหมือนกัน พวกฝรั่งเขารบกับญี่ปุ่น
ฝรั่งก็เลย เอาลูกระเบิด ใส่เรือบินมาทิ้งที่สงขลา คนตายเยอะแยะ -
"
"หา! อะไรนะ?"
เพื่อนๆ ร้องลั่น "ลูกระเบิดเป็นยังไง น้อย? น่ากลัวจัง"
"ลูกระเบิดเขาทำด้วยเหล็ก
มีดินระเบิดอยู่ข้างใน พอตกลงมามันก็ดังมาก แล้วก็จะมีไฟลุกด้วย ตกถูกตึกตั้งห้าชั้น
ยังพังเลย พ่อบอก" น้อยเล่าเรื่องที่ได้ยินจากพ่อให้เพื่อนฟังอีกต่อหนึ่ง
เด็กๆ หน้าตื่น เพราะไม่เคยได้ยิน เรื่องอย่างนี้ มาก่อนเลย ในชีวิต
มณีพรรณเสียงสั่น เมื่อถามน้อยว่า
"ตายแล้ว น้อย
ถ้าพวกฝรั่งตามมาทิ้งระเบิดพวกญี่ปุ่นที่แว้งนี่ เราจะทำยังไงล่ะ ฉันกลัวจัง"
"เราก็ขุดหลุมหลบภัยไว้
พอเรือบินจะมาทิ้งระเบิด เราต้องรีบลงไปอยู่ในหลุมนั้น แล้วก็ต้องดับตะเกียงให้หมดด้วย
ไม่งั้นพวกฝรั่งจะมองเห็นแสงไฟแล้วก็ทิ้งระเบิดลงมาถูก"
น้อยซึ่งตอนนี้ กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญไปแล้ว อธิบาย ให้เพื่อนฟัง "เวลาฝรั่งจะมาทิ้งระเบิด
ทางการเขาจะเปิดหวอ เป็นสัญญาณให้เรารีบ วิ่งลงหลุมหลบภัย แต่บางที
ก็วิ่งลงไม่ทัน เหมือนกัน-"
"ก็ถูกลูกระเบิดตกลงมาใส่หัวตายใช่ไหม?"
จริยาถาม
"ไม่ ไม่ ถ้าลงหลุมหลบภัยไม่ทัน
ก็ต้องรีบลงไปอยู่ในคู อย่างยายฉัน ก็ยังลงไปหลบในท่อน้ำข้างทาง ก็ไม่ตาย"
น้อยบอกทางออกให้เพื่อนๆ
ถึงตอนนี้ มามุซึ่งมองมาจากบ้านเห็นเด็กออกันหลายคน
ได้มาสมทบร่วมฟังอยู่ด้วย พูดขึ้นว่า
"งั้นยืนอยู่ทำไมเล่า
ไปขุดหลุมหลบภัยอะไรนั่นกันเหอะ เดี๋ยวฉันไปเอาจอบก่อน"
"ฉันว่าข้างหลังบ้านเรามีกอแล
พอเรือบินม าเราลงไปในกอแลก็คงได้นะมามุ" น้อยว่า
"แล้วเธอไม่กลัวอะตู(ผี)เหรอ?"
มามุถาม ใครๆก็กลัวกอแลศักดิ์สิทธิ์ ข้างบ้านน้อยกันทั้งนั้น
"เราคอยถามพ่อก่อนดีกว่า
พ่อไปร้านอาลี แน่ะพ่อกลับมาแล้ว"
เด็กๆ
เริ่มรวนเรเพราะคำพูดของมามุ พวกที่อยู่ด้านฝั่งตลาดสะกิด และกระซิบกระซาบกัน
ด้วยความกลัวว่า
"เรารีบข้ามคลองกลับบ้านมั่งดีกว่า
เผื่อต้องรีบไปขุดหลุมหลบภัย บ้านฉันไม่มีกอแล อย่างที่นี่"
พ่อยิ้มและทายเรื่องได้ถูกทันทีที่เห็นเด็กๆรวมกันอยู่หน้าบ้าน
"กลัวทหารญี่ปุ่นใช่ไหม
แม่อยู่ไหน น้อย?" พ่อถาม และเมื่อแม่เดินออกมาจากครัวกับพี่แมะ
พ่อจึงบอกข่าวว่า "แม่ ทหารญี่ปุ่นกองหนึ่ง เห็นจะประมาณสักสามสิบสี่สิบคนได้มั้ง
ผ่านมาทางแว้งของเราจริงๆ ด้วย แม่เพิ่งพูด อยู่หยกๆ นะว่า แว้งเราปลอดภัยที่สุด"
"ทหารญี่ปุ่นมาที่แว้งแล้วหรือพ่อ"
แม่หน้าซีด นิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "น่ากลัวจะหลงทางมา
ไม่งั้น จะเข้ามา ทางแว้งทำไม ถนนหนทางก็ไม่มี"
"กองทหารเขาต้องมีเข็มทิศ
เขาไม่หลงทางหรอก แม่ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะไปไหน นี่ทางนายอำเภอ กำลังวิทยุ
แจ้งไปทาง จังหวัดแล้ว ฉันรีบกลับมาเสียก่อน กลัวว่าเดี๋ยวได้ข่าวแล้ว
จะตกใจกัน เด็กๆ ล่ะ คิดจะไปไหนกัน? โรงเรียนแว้ง คงปิดไป สักพักแหละ"
พ่อพูด ยิ้มกับเด็กๆ อย่างใจดี
"พวกหนูว่าจะมาชวนน้อยไปดูทหารญี่ปุ่นที่โรงเรียนค่ะ"
จริยาตอบพ่อ
"ผมก็จะไปด้วยครับ"
มามุตอบบ้าง
"มามุไปกับเจ๊ะ(พ่อ)ได้
แต่เด็กๆ ผู้หญิงอย่าไปเลย ไม่เหมาะ"
พ่อพูดท่าทางจริงจังแล้วหันไปพูดกับแม่ต่อ "ฉันจะกลับ
ไปที่อำเภอ สักประเดี๋ยว แล้วจะกลับมา ไม่ต้องห่วง"
น้อยรู้สึกผิดหวังมากที่มามุจะได้ไปกับพ่อ
เธอหันไปมองแม่เหมือนจะขออนุญาต แต่แม่กลับพูดว่า
"ได้ยินพ่อ บอกแล้ว ไม่ใช่หรือ วันนี้แม่ไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น"
สีหน้าแม่กังวล เมื่อหันไปพูดกับเพื่อนๆว่า
"พวกหนูกลับบ้านเถอะ
ป่านนี้พ่อแม่เป็นห่วงแย่แล้ว เด็กผู้หญิงไม่เหมือนเด็กผู้ชาย ไม่ควรไปดูพวกทหารเขา
แว้งเรา เริ่มลำบาก เสียแล้วก็ไม่รู้"
เมื่อ พ่อพามามุเดินไปทางตลาดโดยมีเพื่อนๆ
ของน้อยเดินตามไปด้วยแล้ว แม่เริ่มต้นทำ สิ่งที่น้อย ไม่เคยเห็น มาก่อน
ในตอนกลางวัน คือ แม่ลงเดินไปรอบบ้าน ขึ้นทางบันไดหลัง พร้อมกับปิดประตูหลังบ้าน
เสียชั้นหนึ่งก่อน อย่างแน่นหนา หน้าต่างครัวแม่ก็ปิดด้วย แล้วแม่ก็เดินเข้ามา
ส่วนกลางของบ้าน ปิดประตู กลางบานใหญ่ ลงกลอน ข้างบนข้างล่าง เหมือนตอนก่อนไปนอน
จากนั้น แม่ก็เดินออกมาหน้าบ้าน บอกพี่แมะและน้อยว่า
"วันนี้คงไม่มีใครมาซื้อหรือขายของอะไรกันนักหรอกลูก
แมะกับน้อย ช่วยกันปิดหน้าถังดีกว่า เหลือไว้แค่ ตรงที่แม่ นั่งนี่ก็พอ
เดี๋ยวพ่อก็กลับ"
พี่แมะกับน้อยรู้ดีว่าความผิดปรกติ
เพราะสงครามเกิดขึ้นแล้ว ทั้งสองรีบทำตามที่แม่สั่ง แล้วมานั่งข้างๆ
แม่ น้อยอยาก ให้พ่อ กลับมาเร็วๆ แต่พ่อก็ยังไม่กลับเสียที เธอเข้าไปนั่งคลอแม่
แบบที่ทำกับพ่อทุกเช้า ถามเบาๆว่า
"แม่กลัวหรือคะ?"
"แม่ไม่เคยเห็นสงคราม
ลูก" แม่ตอบไม่ตรงทีเดียว
"แต่แม่รู้ว่าพวกเราที่แว้งคงต้องลำบากกันมาก แม่ไม่รู้ว่า ถ้าเกิดอย่างที่สงขลา
กับเราที่นี่ แล้วเราจะไปไหนกัน"
"มามุเขาว่าเราต้องรีบขุดหลุมหลบภัย
แต่น้อยว่าเราลงไปหลบในกอแลก็ได้ ได้ไหมคะแม่?" น้อยถาม
ทำให้แม่ ยิ้มออก แต่พี่แมะกลับพูดว่า
"น้อยนี่ คิดอะไรก็ไม่รู้
เมื่อคืนเขาก็บอกกับแมะค่ะแม่ ว่าอยากให้ญี่ปุ่นเอาเขาไปเลี้ยงแบบน้องบูลย์มั่ง
นี่คงอยากวิ่ง ลงหลุมหลบภัย ขึ้นมาอีกแล้วซี ใช่ไหม? ก็พ่อบอกแล้วไงว่า
ฝรั่งเขามาทิ้งระเบิด แต่ที่สำคัญๆ เท่านั้น อย่างโรง ไฟฟ้า สถานีรถไฟ
อะไรอย่างนั้น แล้วแว้งมีอะไร อย่างนั้นหรือไง?"
"น้อยว่าแว้งใหญ่นะ
แล้วก็สำคัญด้วย อย่างในเพลงแว้งไง ญี่ปุ่นเขาต้องรู้เหมือนกันถึงได้มาที่นี่"
น้อยอ้าง เนื้อเพลง ที่เด็กแว้งร้องเป็น
แทบทุกคน
แม่ปรามไม่ให้เถียงกัน ทุกคนจึงนั่งคอยพ่อกลับจากอำเภออย่างเงียบๆ
น้อยนั้นนั่งนึก วาดภาพแว้ง มีทหารญี่ปุ่น ยืนเคารพพระอาทิตย์ ตอนเช้าไปพลาง
ทั้งที่ยังไม่เคยเห็นว่า รูปร่างหน้าตา ชาวญี่ปุ่น เป็นอย่างไร และ
ทหารญี่ปุ่น แต่งตัวแบบไหน นึกไปเรื่อยสักพัก ก็กลับมาพึมพำ เพลงประจำอำเภอแว้ง
ของเธออย่างแสน ภาคภูมิใจ
อำเภอแว้งชายเขต
แดนประเทศของชาติไทย แม้จะอยู่ห่างไกล ห่างไกลมหาศาล เป็นถิ่นสำคัญ
เป็นที่ป้องกัน กีดกั้น รุกราน...
สายหน่อย พ่อกับมามุก็กลับมา พ่อรายงานแม่ว่า
"ทหารญี่ปุ่นจะพักอยู่ที่แว้งแค่ห้าหกวันเท่านั้นแหละแม่
ไม่ต้องกลัว พวกเขาจะไม่ทำอะไรเรา ฉันก็ไม่รู้ รายละเอียดนัก ผู้หมวดคล้าย(๑)
พูดกับฉันว่า พวกญี่ปุ่นคงมีแผนที่เส้นทาง ไปเหมืองทองโต๊ะโมะ และรู้ว่า
เส้นทางนั้น ลงไปทางประเทศ มลายูได้ คงรู้ด้วยว่า เป็นเส้นทางกันดาร
ไม่ใช่เส้นทางยุทธศาสตร์อะไร แต่ก็คง ได้รับคำสั่ง ให้ส่งทหารสักจำนวนหนึ่ง
มาสำรวจ ดูเพื่อความแน่ใจ นี่ผู้หมวดเขาเดาเอานะแม่ อาจไม่ถูกก็ได้"
"แล้วพ่อว่าไงล่ะคะ?"
แม่ถาม
"ฉันว่า ที่ผู้หมวดคล้ายว่าน่าจะเป็นได้มากอยู่
เขาคงมาให้แน่ใจเท่านั้นเอง ถึงได้มาอยู่ไม่กี่วัน อีกอย่างหนึ่ง นี่ฉันเดาอีก
นั่นแหละแม่ หนังสือพิมพ์อะไรเขาก็งดออกกันหมดแล้ว กระดาษแพงยังกะทอง
ฉันว่าสงคราม คงยืดเยื้อ ไปได้ไม่นานแล้วมั้ง พวกนี้ถึงต้องรีบไปสมทบ
ช่วยพวกเขา ฉันสังหรณ์ใจ"
พ่อพูด พี่แมะ น้อย และ มามุ นั่งล้อมวง ฟังพ่ออยู่ไม่ห่าง
"แล้วโรงเรียนของเด็กๆ
ล่ะพ่อ?" แม่ถามอีก
"อื้อ! เกือบลืมไปแน่ะ
เด็กๆ ไม่ต้องไปโรงเรียนตลอดจนถึงจันทร์หน้า หยุดตลอดทั้งสัปดาห์เลยทำไงได้
ทหารญี่ปุ่น เขาขอพักที่โรงเรียน พวกหัวหน้าพักบ้านนายอำเภอแว้งเรา
ก็มีแค่นี้แหละ ที่พอเป็นที่พักได้ มีบ่อน้ำ ห้องน้ำ ห้องส้วมพร้อม
ยังไงแม่ก็อย่าให้พวกเด็กไปเที่ยวยุ่มย่ามแถวนั้น จนกว่าพวกทหาร จะไปหมดก็แล้วกัน"
พ่อพูด ก่อนที่จะหันมา มองลูกพลางกำชับ "ได้ยินพ่อสั่งแล้วใช่ไหม
ห้ามขัดคำสั่งพ่อ อย่างเด็ดขาด ขอให้อยู่แต่กับแม่ ในบ้านเราเท่านั้นนะลูก"
และเมื่อพ่อเห็นท่าทางเหมือนอยากจะซักถามอะไรบางอย่างของน้อย
จึงอนุญาตว่า
"อ้าว น้อย
อยากถามอะไรก็ถามได้นะลูก"
"ฝรั่งจะมาไหมคะพ่อ?
แล้วก็เราต้องขุดหลุมหลบภัยไหมคะ?" น้อยถาม
แม่ดุขึ้นว่า
"เด็กอะไรถามไม่เข้าเรื่อง
พอญี่ปุ่นไปแล้ว ก็ไม่มีใครมาแล้วแหละ อย่าให้ลำบากกว่านี้เลย"
"คงอยากรู้เรื่องทหารที่อำเภอ
นี่ไง มามุนี่ไง เขาไปเห็นมาแล้ว น้อยถามเขาดูซี" พ่อตอบ
น้อยหันขวับไปทางมามุ ก็พอดีกับที่เพื่อนรักพยักพเยิดให้ลงไปฟังเขาเล่าใต้ถุนบ้าน
ทั้งคู่ผลุบลอดช่อง ระหว่าง พื้นบ้านกับชานหน้าร้าน ลงไปพร้อมกัน อย่างรวดเร็ว
และชำนาญ น้อยถามขึ้นทันที ที่ลงนั่งบนชิงช้า ที่พ่อทำไว้ ให้นั่งเล่นกัน
เพียงแต่คราวนี้ เธอไม่ไกวมันเช่นเคย
"เธอเห็นทหารญี่ปุ่นแล้วใช่ไหม
หน้าตาเขาเป็นยังไง เธอไปแอบดูพวกเขาตรงไหนน่ะ พวกทหาร เขาไม่เห็น
เธอหรือ? เล่าเร็วซี้ มามุ ฉันอยากรู้"
"ทหารญี่ปุ่นเหรอ"
มามุแกล้งถ่วงเวลา ทำท่าอมภูมิ "ฉันไปแอบดูเขาที่โรงเรียนเราไง
ตรงข้างต้นไม้ใหญ่นั่นแหละ หน้าตาเขานะ กลมๆ แบนๆ คล้ายจีนอ (จีน)
ไม่เหมือนเราหรอก พวกเขาตัวขาวนะ แต่ฉันว่าเตี้ย เตี้ยกว่าเจ๊ะ (มามุมักจะเรียกพ่อของน้อยว่าเจ๊ะ
แปลว่า พ่อ) เสียอีก ฉันดูที่ขาเขา เห็นเขาพันผ้าไว้รอบตั้งแต่เข่าลงไปจนถึงเท้า
ฉันถึงเห็นว่า ขาพวกเขาซั้นสั้น แล้วเขาก็ใส่หมวกผ้า มีปีกห้อยลงมา
ปิดหูทั้งสองข้างด้วย ทำไมถึงแต่งตัว อย่างนั้น ก็ไม่รู้ ไม่เห็นน่าสบายซักนิด
สู้นุ่งโสร่งผืนเดียวอย่างฉันไม่ได้"
"เขาพันแข้งเพราะอาจจะกลัวทากก็ได้
ฉันว่า เขาถือปืนไหม?" น้อยถาม
"ถือซี นี่
ยังงี้เลย" มามุฉวยเสียมสั้นของพ่อที่พิงอยู่ที่โคนเสามาถือไว้
แล้วทำท่ายืนตรง เหมือนทหาร ให้น้อยดู น้อยถอนใจใหญ่ พูดกับเพื่อนว่า
"เสียดายจังเลย
ฉันอยากเห็นทั้งทหารญี่ปุ่น แล้วก็ทหารฝรั่ง แต่ช่างเหอะ ตอนนี้ฉันกลัวพวกเขา
เสียแล้วแหละ ถ้าเธอได้ไปอีก ช่วยเล่าให้ฉันฟังอีกนะ นะ"
"ได้ซี้"
มามุรับปาก "คราวหน้าฉันจะไปดูให้ชิดเลย
วันนี้พอฉันมองหน้าทหารคนหนึ่ง เค้าก็จ้องฉัน ฉันเลยกลัว รีบวิ่งกลับมาหาเจ๊ะ"
ช่วงสัปดาห์นั้น
ทุกคนที่แว้งไม่ยิ้มแย้มเหมือนเคย โรงเรียนปิด ตลาดก็ปิด ร้านของแม่ก็ปิด
ทุกคนที่มาหาพ่อ และ แม่ที่บ้าน จะพูดกันแต่เรื่อง ของสงครามและญี่ปุ่น
น้อยได้ฟังเรื่องแปลกมากมาย ส่วนมากจะชมว่า พวกญี่ปุ่น
เป็นคนเก่ง ช่างคิด ช่างประดิษฐ์ สามารถทำรถถีบโดยเอาไม้ไผ่ มาผ่าซีกทำเป็นล้อ
แม้แต่น้ำตาล คนญี่ปุ่น ก็สามารถ ทำมาจากขี้เลื่อยได้ บางคนมาเล่าว่า
เขาได้ยินมาอีกต่อหนึ่งว่า ประเทศไทย ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์
คอยคุ้มครองอยู่ บางคนเสริมต่อว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น เคยปรากฏตัวเป็นงู
แล้วทหารญี่ปุ่น ฆ่างูนั้นตาย เอาเนื้อไปกินกัน เลยตายไปตั้งหลายคน
น้อยเป็นเด็กที่กลัวงูมาก เลยไม่ชอบเรื่อง น่ากลัวแบบนี้
บางคนก็พูดว่า เมืองไทยนั้นมีอาวุธชั้นยอดอยู่ทุกแห่งทุกหน
สามารถนำมาใช้เอาชนะข้าศึกได้ ง่ายนิดเดียว ไม่ต้องลงทุนด้วย อาวุธ
นั้นคือ หมามุ่ย เขาว่ามีคนลองเอามาทำแล้ว แค่เอาหมามุ่ย มาใส่ลงในบ่อน้ำ
ที่ทหาร ญี่ปุ่นอาบ พวกนั้นก็คันคะเยอไม่เป็นอันสู้รบกับใคร เรื่องนี้น้อยได้ยิน
พ่อพูดกับแม่ภายหลังว่า คนพูด โอ้อวด เกินไป
อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นขึ้นครั้งนี้ทำให้พ่อและแม่ไม่สบายใจมากอยู่เรื่องหนึ่ง
คือเมื่อมีข่าว มาจากสงขลา ว่าหลานชาย ของแม่ ชื่อ พี่จิต ถูกจับตัวขึ้นศาลและถูกศาลพิพากษาให้ส่งตัวไปจำคุกที่จังหวัดปทุมธานีนานถึง
๒๐ ปี เพราะพี่จิตกับเพื่อนรุ่นหนุ่ม อีกหลายคน ได้แอบเข้าไป ในค่ายทหารญี่ปุ่น
ไปเจาะยางรถยนต์รบ ของเขา เสียหายมาก แล้วยังขโมยยางรถใหม่ ของเขาออกมาด้วย
น้ำมันก็ขโมยดูด ของญี่ปุ่นออกมา ทหารญี่ปุ่นเห็น จึงเกิด การต่อสู้กันขึ้น
ทหารญี่ปุ่นคนหนึ่ง เสียชีวิต พี่จิตกับเพื่อน ก็เลยถูกจับ
พ่อบอกแม่ด้วยเสียงเบาที่สุดว่า
"แม่อย่าไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเป็นอันขาดนะ
ฉันได้ข่าวมาว่า เรื่องคล้ายๆ กันแบบนี้เกิดขึ้น แทบทุกแห่ง ที่มีค่าย
ทหารญี่ปุ่น ไม่ใช่เรื่อง โจรกรรมธรรมดา กำลังมีอะไรบางอย่าง เคลื่อนไหวอย่างลับที่สุด
ในบ้านเมืองเรา เพื่อเตรียมช่วย ประเทศชาติ เผื่อว่าการณ์ที่คาดไว้
ไม่เป็นไปตามนั้น"
"อะไรนะพ่อ
ก็ไหนพ่อว่ารัฐบาลไทยคาดว่าเราจะเป็นฝ่ายชนะสงครามไปกับญี่ปุ่นด้วยไงคะ"
แม่กระซิบถาม
"มันไม่ค่อยแน่เสียแล้วน่ะซีแม่
ตอนนี้เห็นว่าเหลือแต่ญี่ปุ่นชาติเดียวที่ยังสู้อยู่ พรรคพวก ที่ร่วมรบ
แพ้ไปหมดแล้ว แถมญี่ปุ่น ยังไปทำให้ประเทศอเมริกา ที่ตอนแรกเขาไม่เกี่ยวข้อง
ต้องเสียหาย จนเขายกพลมาร่วมรบ ด้วยเสีย แล้วซี" พ่ออธิบาย
"อ้าว! แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะพ่อ
ถึงจะรอดตัว" แม่ถาม
"แม่ สิ่งสำคัญที่สุดของประเทศไทยเราคือ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะนี้พระองค์ ปลอดภัย อยู่ที่ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์
ประเทศนั้นเขาไม่รบกับใคร ทางเมืองเรา ต้องพยายาม หาทางเอาตัวเรา ให้รอด
จนได้นั่นแหละ ฉันยังเชื่อว่าคนไทยเรานี้ เวลาปกติจะไม่ค่อยขยันขันแข็ง
หรือเด็ดขาด เหมือนชาติอื่นเขา แต่ถ้าเป็นเรื่อง ประเทศชาติแล้ว เราเอาตัวรอดได้เสมอ
ฉันเชื่ออย่างนั้นจริงๆ นะ" พ่อพูด
วันที่กองทหารญี่ปุ่นไปจากอำเภอแว้งนั้น
เด็กนักเรียนรวมทั้งน้อยด้วย ได้ไปดูร่องรอย ของพวกเขา ทั้งที่โรงเรียน
และ ที่บ้านนายอำเภอ น้อยเห็นเศษกระดาษเกลื่อนเต็มไปหมด เห็นกระป๋องอาหาร
ที่ทหารนำเป็นเสบียง ติดตัวมา สิ่งเดียว ที่ชาวบ้านบางคน ได้นำกลับไปใช้
ที่บ้านคือ ตะเกียงแบบตะเกียงรั้ว เธอหวังจะเห็นรถถีบ ทำด้วยไม้ไผ่
ของทหารญี่ปุ่น แต่ก็ไม่เห็นมีแม้แต่ สักคันเดียว และไม่เห็นเขาทิ้งเศษน้ำตาล
ที่ทำจากขี้เลื่อยไว้ด้วย
"โล่งอกกันไปที
ไปเสียได้ก็ดี" แม่พูด
ตลาดเปิดขายผักปลาใหม่เป็นปกติ แม่ก็เปิดร้านเหมือนกัน
โรงเรียนเปิดสอนกันอย่างเต็มที่ ทั้งคุณครูและ นักเรียน มีเรื่องเกี่ยวกับญี่ปุ่น
เล่ากันเอง ไม่รู้จักจบ
แต่ถึงอย่างไร แว้งก็ตกเป็นเหยื่อสงครามเหมือนกัน
ยางขายไม่ออก ข้าว น้ำมัน เสื้อผ้า ล้วนขาดแคลน น้อยได้เห็น คุณครูบางคน
ของเธอสวมเสื้อผ้า ปะแล้วปะอีก ได้เห็นชาวบ้านที่ยากจนมากๆ ถึงกับนุ่งกระสอบป่าน
แทนผ้าโสร่ง
ตอน ตะวันมุ้งมิ้งวันหนึ่ง
น้อยจำเป็นต้องไปส้วม เพราะก่อนหน้านั้น เธอกับมามุและพี่แมะด้วย ได้รับประทาน
จอและ (น้ำปลาหวาน) มากไปหน่อย แม่ไม่ได้ห้าม
เรื่องไปทางสวนหลังบ้านแล้ว แต่น้อยตัดสินใจ ไปยัง ส้วมพิเศษ ที่แอบทำกันไว้กับมามุ
โดยไม่มีใครทราบ มันเป็นส้วมที่พิเศษมากที่สุด เพราะอยู่ข้างถนน หน้าบ้านนั่นแหละ
แต่ต่อให้คนเดินอยู่ที่ถนน ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ เพราะมีต้นเหมล ดอกสีม่วง
สดใสขึ้นอยู่ หนาทึบ ทั้งสองฟากของคู ที่มีน้ำไหลเชี่ยวกราก มามุกับน้อย
ช่วยกันเอาไม้หมาก ที่เขาตัดทิ้งอยู่เกลื่อนกลาด มาวาง พาดคูไว้ เวลาจะเข้าส้วมพิเศษนี้
จะต้องแหวกต้นเหมลเข้าไปก่อน แล้วค่อยปล่อยให้มันดีดตัว ปิดทางเข้า
ไว้ตามเดิม
ทุกหนทุกแห่งเงียบสงบนอกจากเสียงหรีดหริ่งเรไรเมื่อใกล้ค่ำ
น้อยนั่งอ้อยอิ่งบนท่อนหมากนั้น สักครู่ก็รู้สึกว่า มีอะไรบางอย่าง
เคลื่อนไหวสวบสาบ อยู่อีกฟากหนึ่งของถนน เธอนั่งนิ่ง พลางมองลอดใบเหมลที่หนาทึบ
ไปทางที่ ได้ยินเสียงนั้น เสียงสวบสาบเงียบไปสักครู่ก็ดังขึ้นอีก คราวนี้น้อยมอง
เห็นอะไรเคลื่อนไหวอยู่จริงๆ ตรงกลาง ดงมันไม้ (มันสำปะหลัง) ของบ้านปะดอมะดอแมะเต๊ะห์
๒
น้อยยังนั่งนิ่งต่อไป อาจจะเป็นเพราะเธอเกิดอยากรู้ขึ้นมา
มากกว่าความกลัว
แล้วน้อยก็เห็นร่างผู้ชายคนหนึ่ง
ไม่สวมเสื้อ ร่างกายผอมโซ มีแต่ผ้าขาวม้าขาดรุ่งริ่งผืนเดียว ปั้นเตี่ยว
ท่อนล่างไว้ กำลังถอน ต้นมันไม้ขึ้นมา แล้วหักเอาหัวมันเป็นพวงขึ้นมาถือไว้
ใช่แล้ว! ขโมย ชายคนนั้น กำลังขโมย ขุดมันไม้!
เร็วเท่าความคิด น้อยกระโจนออกจากส้วมพิเศษของเธอ
วิ่งแจ้นหน้าซีดกลับบ้าน พ่อกับแม่ยังนั่งคุยกัน อยู่หน้าบ้าน น้อยตะโกนสุดเสียง
"พ่อ! ขโมย!
ขโมย!"
พ่อลุกทะลึ่งขึ้น อย่างรวดเร็ว ถามน้อยว่า
"ที่ไหน น้อย ที่ไหน?"
"ตรงนั้น พ่อ
ในสวนมันป๊ะดอ พ่อ" เธอร้องบอก
พลางชี้นิ้วไปทางที่เห็นขโมย
เมื่อพ่อ ปะดอ แม่ พี่แมะ และน้อยไปถึงริมรั้วสวนนั้น ขโมยได้หนีไปแล้ว
มีร่องรอยต้นมันไม้ถูกถอนไป สองสามต้น ส่วนหัวมัน หายไปพร้อมกับขโมย
แขนแม่โอบอยู่รอบตัวน้อยขณะที่พูดว่า
"เขาขโมย น้อย แต่เขาอาจจะไม่ใช่ขโมย ลูกไม่ต้องตกใจนะ เขาไปแล้ว"
แล้วแม่ก็ถอนใจ หันไปมองพ่อ ก่อนที่จะพูดกับป๊ะดอว่า
"ดียอต๊ะเด๊าะอะปอเนาะมาแก
ป๊ะดอ (เขาคงไม่มีอะไรกินน่ะ ลุง)"
"ต๊ะปอล่ะ
แมะ บูวีกือดียอล่ะ ซีกิ๊ซีกิ๊ ตือเง๊าะซูเซาะห์บลากอฆีนิง (ไม่เป็นไรหรอก
แมะ ให้ไปเถอะ เล็กๆ น้อยๆ กำลัง ลำบากกันอย่างนี้)"
ป๊ะดอตอบแม่ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ
นี่คือแว้งที่รักของน้อย
ยามสงบก็สนุกสนานกัน ยามทุกข์ยาก ก็แบ่งปันกันกิน ประสายาก
สงคราม สงบแล้ว
หลังจากฝ่ายญี่ปุ่นยอมแพ้เมื่อวันที่ ๒ กันยายน พ.ศ.๒๔๘๘ พ่อพูดกับแม่ว่า
รู้สึกเหมือน หายใจ สะดวกขึ้น แต่ความจนหลังสงคราม ยังอยู่ให้คนแว้งเห็นกันอีกนาน
น้อยได้เห็นที่บ้าน มีบัตรปันส่วน ข้าวสาร อยู่เป็นปึก พ่อต้องเอาบัตรนี้ไปขึ้นข้าวสารแทนแขกที่อยู่ตามหมู่บ้านไกลๆ
เพราะพวกเขา ไม่มีเงิน ที่จะมาซื้อ จากทางการ พ่อต้องช่วย ให้พวกเขาก่อน
บ้านน้อย จึงหนักไปด้วย กระสอบข้าวสาร และยาง ที่กองเต็มไปหมด แขกบางคนมาซื้อข้าวที่บ้านต่อ
เท่าสิทธิของเขา ซึ่งนับตามจำนวน คนในบ้าน แต่ที่อยู่ใกล้ มาขอซื้อแค่พอหุงปนมัน
ไปแต่ละมื้อก็มีมาก พ่ออธิบายให้แม่ฟังถึงสาเหตุ ของความขาดแคลนว่า
"กลุ่มที่เขาเสี่ยงชีวิตทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างลับๆ
นั้นได้ช่วยประเทศเราไว้ได้ ไม่ต้องเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ไปกับ ญี่ปุ่น
เพราะเราช่วยฝรั่งไว้มาก แต่เราก็ต้องส่งข้าว ให้เขาเหมือนเป็นค่าปรับนั่นแหละ
แม่ก็ยังดีกว่า ต้องไปเป็นเมืองขึ้นฝรั่ง ยอมทนกันไปสักพัก พวกเราที่แว้งนี่
หยุดทำนากันไป เสียช่วงหนึ่ง น่าจะมาทำกันใหม่ นะแม่นะ"
พอฤดูฝนมาถึงในปีนั้น น้อยได้เห็นทั้งทุ่งข้าวเขียวชอุ่มเต็มท้องนาไป
จนถึงป่าสาคู อย่างที่พ่อว่าจริงๆ เมื่อคนแว้ง พยายาม ช่วยตัวเอง ด้วยการไถ
คราด ปักดำนา ของตนเองกัน ปลาและผักน้ำนานาชนิด อุดมสมบูรณ์มากพอ สำหรับ
ชีวิตที่สันโดษอย่างนี้
ความฝันอีกข้อหนึ่งของน้อยมาถึงอย่างไม่คาดคิด
ในตอนนั้นเหมือนกัน เมื่อวันหนึ่ง ขณะที่เธอนั่งคลอพ่อ อยู่หน้าบ้าน
เช่นเคย มีชายร่างสูงโย่ง ผิวเกรียมแดด เสื้อผ้าที่เห็นชัดว่า เป็นเครื่องแบบทหารฝรั่งนั้น
เก่าจนแทบ ไม่เห็นสีเดิม เขาเดินหลงทาง ลงจากภูเขา แล้วผ่านป่าทึบ
มาออกถนนสายบูเก๊ะตา จนมาถึงที่บ้าน ซึ่งเป็น บ้านแรก ก่อนเข้าสู่ตัวอำเภอแว้ง
พ่อออกไปเอ่ยเชิญเขา ให้ขึ้นมาบนบ้าน
ด้วยภาษาอังกฤษปนมลายู เขาขอบคุณพ่อ เมื่อเดินถือปืนขึ้นมา และแม่
เลื่อนเชี่ยนหมาก กับกระป๋องยาสูบใบจาก ไปให้ น้อยแอบอยู่ข้างพ่อ ขณะที่พี่แมะ
ลุกไปหยิบขันทองเหลือง ใบใหญ่ ตักน้ำมาให้เขาดื่ม ตั้งครึ่งขัน เขาเอาน้ำเย็น
ที่เหลือชุบผ้าแล้วเช็ดหน้า
วันนั้น สงครามที่ทำให้คนแว้งสันโดษและมีเมตตาต่อคนอื่น
แม้ไม่ใช่คนไทยด้วยกัน ได้เกิดขึ้นที่บ้านหลังนี้ แม่ยกถาดอาหาร และหม้อข้าว
มาให้พ่อรับประทาน กับทหารฝรั่งคนนั้น ขณะที่แม่กับลูกทั้งสอง และมามุ
นั่งอยู่ใกล้ๆ เด็กๆ แอบดูฝรั่งคนนั้นบ้าง เป็นบางครั้ง เวลาที่เขาพูดกับพ่อ
แต่แอบดูแล้ว ก็ต้องรีบหลบตา
เพราะการมองคนอื่น รับประทานอาหาร เป็นมารยาทที่ไม่ดี
พ่อรับประทานช้าๆ ปล่อยให้ฝรั่งคนนั้นรับประทานข้าวให้มากที่สุด
ซึ่งเขาก็รับประทาน อย่างหิวโหย เมื่อเสร็จจาก อาหารแล้ว เขาก็มาขอยาสูบ
ใบจากของแม่ แล้วพ่อก็ชวนเขาคุย เรื่องปืนยาวของเขาต่อ
ก่อนที่จะลุกขึ้นจากไป ทหารฝรั่งคนนั้นได้ล้วงเอากระป๋องเล็กๆ
กลมๆ ในอกเสื้อออกมาส่งให้น้อย หนึ่งกระป๋อง แม่บอกให้น้อยคืนเขา แต่ฝรั่งคนนั้นยิ้ม
ยื่นกลับมาให้น้อยอีก เขาพูดกับพ่อ เป็นภาษาอังกฤษ ฟังดูว่าชีส อะไร
นี่แหละ พ่อจึงบอกแม่ว่า เขาคงไม่อับจน เพราะถึงอำเภอแล้ว ให้น้อยรับเอาไว้
น้อยยกมือไหว้ฝรั่งคนนั้น ก่อนรับ ของแปลกนั้นมา แล้วฝรั่งเดินไป ทางอำเภอกับพ่อ
คืนนั้น ทุกคนนั่งล้อมวง
มองดูพ่อหักเหล็ก รูปร่างเหมือนกุญแจเล็กๆ ที่ติดอยู่ใต้กระป๋อง มาสอดเข้าไปตรง
แถบเหล็ก ข้างกระป๋อง แล้วหมุนจนรอบ ฝากระป๋องเปิดออกมา ข้างในมีก้อนแข็ง
สีออกเหลืองบรรจุอยู่ พ่อยื่น ให้แม่ ก่อนบอกว่า
"ลองไหมแม่
เนยแข็ง"
แม่ดมแล้วส่ายหน้า พี่แมะดมต่อแล้วก็ส่ายหน้าเหมือนกัน
บอกว่า "เหม็นจัง อะไรก็ไม่รู้"
พ่อเอามีดตัดมาหน่อยหนึ่ง ใส่ปากเคี้ยว
แล้วบอกน้อยว่า "มันดี ว่าไงน้อย"
แล้วน้อยก็ได้ลิ้มเนยแข็งมันๆ นั้นกับพ่อ
เป็นครั้งแรกในชีวิต ก่อนที่จะได้มีโอกาส
ไปรับประทานอีกมากมาย ในเมืองฝรั่ง อีกยี่สิบปีต่อมา ส่วนที่พิเศษ
ในป่าเหมล เหนือคูข้างถนนนั้น น้อยกับมามุ ไม่เคยบอกใครเลยว่า ทั้งคู่ตั้งใจแอบทำไว้
เผื่อจะได้ใช้ เป็นที่หลบภัย ในยามสงคราม
เขียนเสร็จเวลา
๙.๓๐ น. วันที่ ๒๐ เมย.๔๕ ที่บ้านซอยไสวฯ เดี๋ยวจะเอาไปส่งที่กลั่นแก่น
รวมทั้งไปออกอากาศ กับเหมียว ด้วย
ผู้หมวดคล้าย
(๑)* หัวหน้าสถานีตำรวจภูธรแว้งในสมัยนั้น
เป็นบิดาของประพันธ์ เพ็ชรสุขุม เพื่อนร่วมชั้นเรียนของน้อย
๒ คำว่า ป๊ะดอ
มะดอ เป็นภาษามลายู แปลว่า ลุง ป้า ป๊ะดอผู้นี้เป็นคนรู้เวทย์มนตร์คาถา
วันหลังจะเล่าให้ฟัง เรื่องการรักษา ด้วยการเข้าทรง ส่วนมะดอเป็นหมอตำแย
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๔๒ พฤษภาคม ๒๕๔๕)
|