หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

มองไปข้างหน้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก (ตอน ๒) ดร.นิติภูมิ นวรัตน์


(ต่อจากฉบับที่ ๑๔๑)
มมองเองซึ่งอาจเป็นคนแรกที่มองอย่างนี้ และมองในแง่ลบ ในบ้านเราอะไรก็กำลังดีขึ้น ความสัมพันธ์ ระหว่าง ประเทศก็ดี แต่ในเรื่องที่เป็นลบนั้น ผมตกใจมากกับการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ท่านนึกถึง ปตท. ได้ไหม สมบัติของชาติแป็นแสนๆ ล้านบาท ทรัพย์สินตรงนั้น สี่ห้าแสนล้านบาท ผมเคยพูด การประปา อย่าแปรรูปเลย อย่าให้การประปาอยู่ในมือของคนต่างชาติ อย่าเอาน้ำมัน ไปอยู่ในมือของคน ต่างชาติ ไฟฟ้า อย่าให้
อยู่ในมือของคนต่างชาติ แล้วก็ดอกเบี้ย จะมีธนาคารต่างชาติอยู่บ้าง แต่ธนาคารของไทยก็ต้องมีอยู่ ๔ อย่างนี้ จะต้องมี ของเราอยู่ ถ้าไม่มีของเราอยู่ เขาจะขึ้นราคา ตามใจชอบ ทำได้เลย

ในยุคคุณชวน จะมีการแปรรูปบางจาก แต่ประชาชนไม่ยอม บางจากต้องรักษาไว้ เราไม่รู้ว่ารัฐบาลนี้ เขาแอบมอง การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ปตท.นี่มันใหญ่กว่าบางจากหลายเท่า พอวันดีคืนดี ภายใน ๑ สัปดาห์ เท่านั้นเอง ผมไม่ทันรู้ พอกลับถึงเมืองไทยเท่านั้น เขาบอก แปรรูปไปแล้ว มันฉับพลันทันทียิ่งกว่าฟ้าผ่า พอแปรรูปไปแล้ว เขาก็มีการขาย ผมนึกว่าจะขายให้แก่ ประชาชนคนทั่วไป ปรากฏว่าล็อกกันไว้หมด พอล็อกไว้ ก็มีการประชาสัมพันธ์ หุ้นมันจะขึ้น เวลาประชาสัมพันธ์ ดังนั้น นักปั่นหุ้นเก่งๆ เข้ามาเป็นรัฐบาลนี่ รับประกันรวยอภิพญามหารวยเลย

พอหุ้นอยู่ในมือพรรคพวกเพื่อนฝูงหมดแล้ว ก็มีการประชาสัมพันธ์ หุ้นก็ขึ้น ขึ้นคนก็ซื้อ พอซื้อปั้บ เขาก็ขายส่วนต่าง อาจจะหมื่นล้าน สองหมื่นล้าน พอได้ไปแล้ว ก็โฆษณาให้มันต่ำไปอีก ปลดบอร์ดบ้าง ทำวิธีการต่างๆ ด่าพ่อล่อแม่กัน ในหน่วยงานบ้าง ให้มันยุ่งสับสน จ้างสหภาพเคลื่อนไหวบ้าง หุ้นก็ตก พอหุ้นตกก็กว้านซื้อไว้อีกรอบหนึ่ง ก็ซื้อในหมู่ พรรคพวก ถึงแม้ตัวเองซื้อไม่ได้ แต่ให้ญาติซื้อไว้ พอซื้อไว้แล้ว ก็ทุ่มงบประชาสัมพันธ์อีกตูม หุ้นก็ขึ้นมาอีก คนก็อยากซื้อ ซื้อก็ขายสิ หมุนอย่างนี้ รอบหนึ่ง หนึ่งหมื่น สองหมื่น สามหมื่นล้านบาท มันน่าตกใจจริงๆ หนังสือพิมพ์ ก็ไม่มีใครเขียน มันเศร้าใจจริงๆ

อีก ๕ ปีข้างหน้า ท่านจะไม่เหลืออะไรอยู่กับประเทศอีกเลย แล้วท่านจะไปทำอะไรเขาได้ ยกตัวอย่าง หุ้นวันนี้ยังอยู่
กับคนไทยบ้าง บริษัทฝรั่งบ้าง ทีนี้วันหนึ่ง ท่านบอกว่า ไม่ได้ การปิโตรเลียม ฉันจะต้องเอามาคืน เดินขบวนกันใหญ่ ถ้าเดินขบวน เสียงแฮ่มๆ จะมาจากประเทศใหญ่ เช่น อเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ ที่บริษัทเขามีหุ้นอยู่ด้วย เขาจะส่ง คนเข้ามา ทำได้เลย ส่งคนเข้ามาพิทักษ์ปกป้อง ผลประโยชน์ของคนชาติเขา คนที่เป็นผู้นำ ฉลาดๆ เขาก็ไป สัมพันธ์กับ ประเทศพวกนี้ไว้หมด โยงใยไปหมด เอาโน่นนี่ไปมอบให้‰ ทำอย่างไร เราจะกันได้ เราไม่ไปต่อต้าน แต่เราจะกัน ตัวเราเองเท่านั้น จะเป็นไปได้ไหม ต่อไปราคาน้ำมัน ยืนอยู่อย่างนี้ แล้วถ้าบริษัทเชลล์ คาลเท็กซ์จะขึ้น เอ็งก็ขึ้นไป แต่ของ ปตท.ข้าบริษัทไทย ข้ายันราคานี้อยู่ คนก็ไม่ซื้อของเชลล์ ของคาลเท็กซ์ ก็ยังมาซื้อของ ปตท. ของบางจากอยู่ มันแยบยล เสียจนเรานึกไม่ถึง ถ้ามันหมุนสัก ๑๐ รอบล่ะ บางคนบอกจะอยู่ ๘ ปี ก็ไปใหญ่เลย
เรื่องดีก็ทำไว้เยอะ แต่ว่าอย่างนี้ บางทีคนทั่วไป มองไม่เห็น

ผมมีความเชื่อว่าการบินไทยนี่ อีกประมาณ ๕ ปี จะเป็นบริษัทของสิงคโปร์ แต่เดิมมีเอกอัครราชทูต ท่านหนึ่ง เป็นชาว สิงคโปร์ ไม่เคยสนใจ กิจการไทยเลย ท่านก็ตระเวนไปประเทศโน้นประเทศนี้ วันหนึ่งท่านกลับมาเป็นใหญ่ อยู่สิงคโปร์ ท่านก็ได้ โทรศัพท์มาถามบุคคลหนึ่ง ซึ่งภรรยาของท่าน อยู่บริษัทการบินไทย ตำแหน่งสูงมาก ขอให้ช่วย ส่งรายชื่อ พนักงานการบินไทย ที่พอมีศักยภาพไปสิงคโปร์ เพราะว่าเขาคบสนิทสนมกันมาก่อน

พอผมรู้เรื่องอย่างนี้ แน่นอนเลย เพราะสิงคโปร์ เพิ่งซื้อสายการบินนิวซีแลนด์ไป ผมก็เชิญคุณพิศิษฐ์ ซึ่งเคยเป็น อดีต
ผู้อำนวยการใหญ่ ของการบินไทยมาคุย คุณพิศิษฐ์ก็ให้ข้อมูลเยอะไปหมด ผมไม่เคยรู้เรื่อง การบินไทยมาก่อน เพราะผม สนใจแต่รถไฟ แต่ด้วยความเป็นห่วง การบินไทยเหลือเกิน ก็ไปเชิญผู้อำนวยการใหญ่ เดี๋ยวเจอที่นั่นที่นี่ ผมขอศึกษา โดยละเอียดทุกอย่าง ปรากฏว่า ตอนนี้เตรียมแบ่งเป็น ๒ ซีกแล้ว คุณพิศิษฐ์คนเดียวไม่พอ คุณทัศนัย
สุทัศน์ ณ อยุธยา ซึ่งเป็นคนที่ได้รับการคัดเลือก จากคณะกรรมการสรรหา จะให้เป็นกรรมการ ผู้อำนวยการใหญ่ ความที่อยากจะรู้ ก็ไปเรียนเชิญคุณทัศนัยมาอีกท่านหนึ่ง ความที่อยากจะรู้ ผมไม่เคยเจอ กับคุณแจ่มศรีมาก่อน ซึ่งเป็นประธาน สหภาพ ก็เลยเชิญคุณแจ่มศรีกับคณะกรรมการสหภาพ มานั่งกินอาหารที่บ้าน คุณแจ่มศรี ก็พูดไป น้ำตาคลอเบ้า พวกคณะกรรมการสหภาพก็พูดไป น้ำตาคลอเบ้าไป บอกเป็นอย่างนี้ๆ อย่างนี้ยังไม่พออีก สมาคม ลูกเรือ เราก็อยากจะรู้ พวกแอร์โฮสเตส สจ๊วต คิดอย่างไร ก็ไปคุยกับสมาคมลูกเรือ ข้อมูลกองอยู่ ต่อหน้าต่อตา

การตัดสินใจของคนเราจะวิเคราะห์อะไรสักอย่าง ไม่ใช่จะวิเคราะห์แต่เพียงว่า มันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะ มันต้องตระเวนเก็บข้อมูล เก็บมาให้มากที่สุด แล้วนั่งเรียงให้ดี พอเรียงปั๊บมันเป็นภาพชัดๆ อีก ๕ ปี การบินไทย ไปแน่นอน ท่านลองดูเถอะ ตอนนี้ก็มีคนเตรียมไปตั้งบริษัทต่างๆ ต่อไปเราจะไม่เหลืออะไรเลย ไปอยู่ในมือของคน ตระกูลใหญ่ๆ หมด แล้วอีกส่วนหนึ่ง ก็ไปอยู่ในมือของต่างชาติ ถึงแม้จะ ๓๐-๔๐% นั่นแหละ แต่พออยู่ต่างชาติแล้ว เราก็ทำอะไรไม่ได้ จะทำอะไรขึ้นมา เดี๋ยวเขาก็มาแล้ว รักษาผลประโยชน์เขา เมืองไทยน่ากลัวมาก เพราะต่อไป สมบัติของชาติ จะไม่เหลืออะไร จะมีการเล่นแร่แปรธาตุ ประเภทว้าบเดียวหมด

พอวันที่ ๖ มกราคม มีการเลือกตั้งมีรัฐบาลใหม่ ก็นึกดีใจว่าจะมีการยับยั้งห้ามต่างชาติบ้าง ผมเคยพูดในที่หลายแห่ง ขอร้องเถอะ ลุงอู‹ ลุงชู ลุงอั๋น ตามั่น ยายมีของเรา ยังมีพืชผักจากสวนต่างๆ ที่อยากจะไปขายในตลาดสด อยากจะเอา ไปขายตามร้านต่างๆ ของคนไทย แต่ว่าไม่มี ใครแก้ไขตรงนี้ ยังปล่อยให้มีการสร้างห้าง เต็มไปหมด อุบลฯ ทราบว่าก็มาสร้างแล้ว แมคโคร โลตัส เทสโก้ บิ๊กซี แล้วเจ็บใจที่สุด แค่ ๓ ห้าง เขาบอกว่าเขาขาดทุน เขาไม่จ่าย ภาษีรัฐบาล ผมก็ไปที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ ไปขอร้อง ท่านประพัฒน์ เพราะผมเป็นข้าราชการสหกรณ์เก่า ขอร้องให้ท่าน ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เอามาทำงานกับผมหน่อย เอามานั่งดู แล้วเขาหลอกรัฐบาลได้ อย่างดีที่สุด

ปรากฏว่า ๓ ห้างนั้นปีที่ผ่านมาปีก่อนได้กำไรทั้งสิ้นกว่า ๙,๐๐๐ กว่าล้านบาท เฉพาะกำไร แล้วเขาบอกว่า เขาขาดทุน ผมก็เลยไปดู ที่เขาเรียกว่า ตั้งค่าเสื่อมต่างๆ ผมซื้อฝาหม้อมาใช้ ผมซื้อมา ๑๐ บาท มันอยู่ที่ว่า จะหักบัญชีอย่างไร ผมตั้งค่าเสื่อม ๑% ๒% ๓% ๕% ผมจะตั้งค่าเสื่อมไว้ ๑๐% ก็ได้ ปีหน้าราคาเป็นศูนย์ ห้างพวกนี้ ตั้งค่าเสื่อม ไว้สูงมาก นั่นก็ค่าเสื่อม ๒๐% ๒๕% ตั้งไว้ตลอดเวลา มันจึงออกมาขาดทุน

รัฐบาลมีสมองเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั้งนั้น นั่นก็ด็อกเตอร์ นี่ก็ด็อกเตอร์ ต้องรู้เรื่องนี้ แล้วทำไม ถ้าทำไม่ได้ ทำไม ไม่หาวิธีการแก้ไข ผมเข้าใจคนเป็นรัฐบาล เพราะคนเป็นรัฐบาลทำอะไรไม่ได้ เพราะรัฐบาล เป็นรัฐบาลของประเทศ ประเทศอยู่ในสังคมนานาชาติ คน ๒๐๐-๓๐๐ คน อยู่บนเวทีเดียวกัน เราจะไปแอ็ค อะไรสักอย่างไม่ได้ รัฐบาล ต้องว่ากันไป ตามสังคมนานาชาติ แต่รัฐบาลต้องมีสองหน้า หน้าหนึ่งก็เป็นไปตามประชาชาติ อเมริกา จีน ว่าอะไร ก็ครับผม จะไปไหนก็ไปกัน แต่อีกหน้าหนึ่ง รัฐบาลต้องมาบอกประชาชนว่า ตรงนี้เป็นภัย ตรงนั้นเป็นภัย รัฐบาล พูดไม่ได้ ประชาชนช่วยประท้วงให้หน่อย ประชาชนช่วยพูดให้หน่อย ไม่ใช่พอหมอประเวศ วะสี ขยับออกมา ก็น็อคแกซะแล้ว แบบนี้ไมได้ ต้องให้มีการพูดขึ้นมา ยิ่งมีเขียนลงหนังสือฝรั่งยิ่งดี แล้วรัฐบาล ก็ใช้พลังประชาชน ไปบอกกับ ประเทศมหาอำนาจ บอกที่หอการค้า ระหว่างประเทศ หอการค้าต่างประเทศ ที่ขอร้อง ให้เราออกอย่างนี้ เราทำไม่ได้ เราทำ ข้างหน้าเราไม่ได้รับเลือกตั้งอีก คนประท้วงกัน ๔-๕ จังหวัด ส.ส. พรรคเราทั้งนั้นก็แก้ไขได้ แต่ปรากฏว่า ไม่มีการแก้ไขอะไร อย่างนี้

แลไปข้างหน้าจึงเป็นเรื่องเศร้า ถ้าท่านรู้ข้อมูลจะเศร้าจริงๆ ผมไม่ใช่มาโอ้อวด โป้ปดมดเท็จอะไร เกี่ยวกับข้อมูล แต่ผม สะสมข้อมูลจริงๆ แต่เศร้าอย่างนี้ เรารู้ไว้ ก่อนก็ดี เราจะได้ป้องกันตัวไว้ได้ พูดกันบอกกันต่อๆ ไป เพราะ ไม่เช่นนั้น มีหลายประเทศ ที่อยู่แบบถูลู่ถูกัง บางประเทศขายทุกอย่าง ให้ต่างชาติหมด คนไม่มีงานจะทำ ขายของ ก็ไม่ได้ ท่านยังมีชีวิตอยู่แต่สุขภาพไม่ดี ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่มีบ้านจะอยู่ ไม่มีอาหารจะกิน ตอนนี้ เมืองไทย ยังเป็น คนอ้วนพีอยู่ ยังพอดำรงสถานะได้ แต่จะผอมลงไปเรื่อยๆ วันหนึ่งเราจะอยู่ แบบถูลู่ถูกัง ๒-๓ วัน เข้าโรงพยาบาล ผมพูดมา พอสมควร ถึงวาระท่านถามแล้‰วครับ เชิญครับ

ถาม : ทำอย่างไร จะไม่ให้ชาวต่างชาติมาทำธุรกิจในเมืองไทย
ตอบ : มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ชาวต่างชาติ จำเป็นต้องมาทำธุรกิจ ในเมืองไทย อย่าไปห้ามใคร มาทำธุรกิจในเมืองไทยเลย เพราะรายได้หลักๆ ของประเทศมาจาก ๒ อย่าง คือ การท่องเที่ยว และ การค้าขาย ระหว่างประเทศ เราห้ามเขาไม่ได้ แต่เราต้องป้องกันเขา อย่าให้เขาไปทั่วทุกหัวระแหง ห้างต่างชาติ มาตั้งได้ อย่างในกรุงนิวเดลี ตั้งร้านแม็คโดนัลด์ได้ แต่ให้ตั้งแค่ ๒ แห่งในเมือง ไฮเดอราบัด ตั้งแม็คโดนัลด์ได้ แต่ตั้งได้แห่งเดียว แต่บ้านเรา ตั้งได้ทุกหัวระแหง ทำให้เงินไหลออกตลอดเวลา รัฐบาลต้องออกกฎหมาย ถ้ารัฐบาล ไม่กล้าออก รัฐต้องพึ่งพาประชาชน ให้ประชาชนเป็นคนเรียกร้องขึ้นมา

ถาม : เราควรรู้จักกิน รู้จักใช้ดีไหม
ตอบ : ดีครับ ท่านไปในต่างประเทศซีครับ ที่ไต้หวันคนจะกินชากัน เป็นชาเขียว เขาไม่ดื่มโค้ก ไม่ดื่มเป็ปซี่ หรือเกาหลี ถ้าท่านไป ไม่มีใครเอาน้ำโค้ก มาให้ท่านกินหรอก มีแต่ใช้ของในประเทศเขาเอง น้ำผลไม้ดีที่สุดแล้ว คนเริ่มหันมา ใช้น้ำผลไม้ กันมากขึ้น อะไรก็ตาม ที่ประเทศเราผลิตได้ เราใช้ของในประเทศ จะดีมาก
(อ่านต่อฉบับหน้า)

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๒ พฤษภาคม ๒๕๔๕)