หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

เวทีความคิด เสฏฐชน
เลือกอย่างใด ก็เป็นอย่างนั้น


บางคนบอกว่าชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกเป็นได้ ส่วนเราคิดว่ามีบางคนที่เลือกเกิดได้ เลือกเป็นได้ด้วย เป็นความจริง ของผู้ที่วางแผนชีวิตให้ตัวเองไว้แล้ว และพร้อมที่จะบุกบ่าฝ่าฟันไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ แม้จะต้องต่อสู้อุปสรรคใดๆ ก็ตาม เขาย่อมมีเลือดนักสู้เพียงพอ แน่นอนว่าไม่ใช่ชีวิตที่นั่งๆ นอนๆ ชี้นิ้วอยู่ถ่ายเดียว แต่มักจะเป็นชีวิต ที่ลำบาก ยากเข็ญ อาบเหงื่อ อาบน้ำตา ไปจนกระทั่งถึง อาบเลือดก็คงมี เป็นการต่อสู้ ที่เคี่ยวข้น ด้วยแรงผลักดัน ของ ความรู้สึก ที่จะยืนหยัดอยู่ในโลกนี้ให้ได้อย่างองอาจ ไม่ใช่อย่างอยู่ไปวันๆ

ในความมีชีวิตอยู่คนจะต้องอาศัย "อาชีพ" ซึ่งมีรายได้ตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้าง ข้าราชการ กรรมกร ฯลฯ จะสังกัดสำนักงาน กระทรวง ทบวง บริษัท ห้างร้าน ฯลฯ สุดแต่ใครจะเลือก เงื่อนไขน่า จะเป็นเรื่อง กฎหมาย กับศีลธรรม ผสมกับจารีตประเพณี วัฒนธรรม ค่านิยม ความยึดถือ

อาชีพบางอย่างผิดกฎหมาย แต่ไม่ผิดศีล-ธรรม บางอย่างผิดศีลธรรม แต่ไม่ผิดกฎหมาย บางอย่างผิด ประเพณี แต่ไม่ผิด ความยึดถือ บางอย่างผิดความยึดถือ แต่ไม่ผิดกฎหมาย ความถูกความผิดที่ประสม ประสานกันอยู่
เหล่านี้ เป็นตัวกำหนดให้เกิดค่าในสังคม เกิดความนิยม เกิดความยึดถือ

ศีลธรรมจะเป็นเสมือนหนึ่งค่านิยมที่เป็นพื้นฐานส่วนใหญ่ โดยวัฒนธรรมแต่ละประเทศ แต่ละกลุ่มคณะ ชุมชน แต่ละคน ใจของคน ในห้วงลึกแล้ว ก็มักยึดศีลธรรม เป็นบรรทัดฐาน เพราะนี่คือสิ่งที่แตกต่าง ระหว่างคน กับสัตว์เดรัจฉาน วัฒนธรรม จารีต ประเพณีของคนทุกชนชาติ จึงมักมีเค้ามูลศีลธรรมเจือปนอยู่ด้วย

ศีลธรรมเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้คนเข้ากันได้ แม้อาจแตกต่างกันด้วย เชื้อชาติ สีผิว ภาษา หรือ "บรรทัดฐาน" แปลกแยก ด้วย "ชั้นเชิง" ไปบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่อนุโลมกันไม่ได้

อาชีพที่เลือก ตัดสินได้จากค่าตอบแทนจากความติดยึด จากแรงหนุนนำ จากอุดมการณ์ จากความนึกคิด จากความ จำเป็น และจากอะไรต่ออะไรอีกหลายๆ เหตุผล สรุปลงที่ "ใจ" เมื่อสมัครใจแล้ว จะเป็นอาชีพประเภทใด ได้รับคำ นินทา สรรเสริญหรือไม่อย่างไร ก็มักจะไม่ใส่ใจกับความรู้สึกของคนอื่นคำว่า "สิทธิบุคคล" เป็นหลักตัดสิน สากล ที่รู้กันโดยถ้วนทั่ว

แม้จะเป็นอาชีพที่ศาสนาห้ามไว้ ศาสนิกในศาสนานั้นๆ ก็ละเมิดได้ สุดแล้วแต่ใครจะเคร่ง มากน้อยเท่าไร ตราบเท่าที่ "ความดีมีไม่จำกัด" หรือ "ไม่มีใครมาจำกัดความดี" ให้แก่กันและกันได้ เหนือกว่าความสมัครใจ ของเจ้าตัวเอง

เพียงอาชีพเสนอแนวคิด ด้วยการพูด การเขียนออกไปสู่ประชาชน ทั้งที่ดีและไม่ดี ก็มีให้เห็น ให้ได้ยิน ได้ฟังอยู่รอบทิศ ล้วนแต่ไม่พ้นจากวังวนของ "มิจฉาชีพ" และ "สัมมาชีพ" ทั้งนั้น และถ้าผู้บริโภคข่าว ไม่ใช้สติปัญญาคัดเลือก ก็จะถูก สิ่งเหล่านี้ กลืนกินเช่นกัน ทั้งออกในรูปของการ "เสียรู้" ไม่ก็ "เสียที" ไปจนกระทั่ง "เสียตัว" ทำให้ "เสียความรู้สึก" ไม่ใช่น้อย จนเกิดโรค "ไม่ไว้วางใจ" คนเพิ่มขึ้นทุกที

แต่ก็เป็นเรื่องแปลก ยิ่งไม่ไว้วางใจมากเท่าใด กลวิธีของการหากิน ก็ยิ่งพิลึกพิสดาร มากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่อง การถ่ายทอด เป็นรูปภาพ เป็นการเขียนที่อยู่ในรูปของ "นิตยสาร" และ "หนังสือพิมพ์" ทั้งที่เป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน รายปี กระทั่งข่าวพูด ส่งเสียงตามสถานีวิทยุต่างๆ เป็นที่มาของสิ่งสืบต่อในอนาคต เป็นที่ตั้ง ของสิ่งติดยึด ในอดีต เป็นบทบาทดี-ชั่วของปัจจุบัน จะออกในรูปวิเคราะห์ก็ได้ สงเคราะห์ก็ดี สังเคราะห์ออกมาแล้วล้วนเป็น "อาหารทางปัญญา" ที่ส่งผลให้เกิดการกระทำดี กระทำชั่ว นับตั้งแต่ปลูกฝังไว้ในห้วงลึก ทำให้คิดดี คิดชั่ว ต้นทาง ของกรรมอื่นๆ ที่จะตามกันมาเป็นระนาว เหตุผลหนึ่ง ที่ไม่อาจคัดสรรถ่ายทอด แต่สิ่งดีๆ ก็คือ ให้เป็นทางเลือก ของผู้อ่าน ผู้ฟังเอง อย่าไปรวบรัด ปิดกั้น ชี้โน้มนำทาง เป็นการ "ดูถูกคนอ่านประมาทคนฟังต่ำไป" จึงทำให้ กระแสของ "มิจฉาทิฏฐิ" แพร่เชื้อโรคร้าย เข้าไปสู่ผู้บริโภคข่าวสารได้ง่ายดาย

แม้จะมีกฎหมายเป็นหลักประกัน ก็เพียงรูปลายลักษณ์อักษร ในเชิงปฏิบัติให้เกิดผลจริงนั้นน้อยมาก ตราบที่ลิ้น ของคนไม่มีกระดูก ย่อมกระดกเปลี่ยนแปลงได้ ตามกระบวนการพลิกแพลงของจิตใจที่ไร้หลักยุติธรรม ไม่มีความ มั่นคง ต่อสุจริตธรรม สามารถคิดค้นหาเหตุผลให้ดูดีในความสมยอมสนองกิเลส ตัณหา อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนลิงวิ่งรอบหลักเสา จึงเกิดศึกปากกา วาทะระหว่างศิษย์อาจารย์เดียวกัน สถาบันเดียวกัน ตำราเดียวกัน ให้เห็นดาษดื่น ไม่ละเว้นแม้ในแวดวงศาสนา ที่คนยกไว้ในด้านความบริสุทธิ์แล้วก็ตาม

ภาพหนึ่งที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน อย่างน้อยก็หนึ่งหน้าคือภาพโป๊!

เมื่อกล่าวคำว่า "โป๊" เชื่อได้เลยว่าจะมีผู้โต้แย้งว่า "โป๊..เพราะคนดูคิดลามกเอง" นี่เป็นภาพศิลปะต่างหากเล่า! ช่างไม่มีอารมณ์ สุนทรียะเสียเลย ทั้งๆ ที่ภาพนั้น มีผ้าเพียงสองชิ้น ปิดส่วนบน กับส่วนล่าง ที่ไม่มิดด้วยซ้ำไป ถ้าจะให้คำ จำกัดความว่า "โป๊" คือ "ไม่เปลือย" ก็จนด้วยเกล้าเหมือนกัน เพราะหากถึงระดับเปลือยแล้ว ก็คือไม่มี ผ้าเลย จะผิดกฎหมายไหม? ในเมื่อเปลือยของเขาก็คือ มีวัตถุอื่นปิด หรือแอบมุมวัตถุอื่นบ้างวับๆ แวมๆ บุคคลที่เป็น "นายแบบ-นางแบบ" มักประกอบอาชีพ "ดารา" ทั้งดารานักแสดง นักร้อง นักเต้น นักรำ นักสังคม ไม่มีข้อแม้ว่า จะได้รับถ้วย รางวัล มงกุฎ ป้าย ฯลฯ ดาราหรือไม่ เมื่อได้ขึ้นหน้าปก ในปก หลังปกแล้ว น่าจะจัดอยู่ในหมู่ ดารา เหมือนกัน

การยอมให้เขาถ่ายรูปพิมพ์มาเป็นภาพสู่สายตาสาธารณชน เปิดเผยสิ่งที่พึงสงวนไว้ หรือถ้าจะเปิดเผย ก็น่าจะ เปิดเผย ในที่เฉพาะตน อย่างนี้ จะเป็นการ "ขายรูป-ขายความคิด-ขายความสวยงาม-ขายศิลปะ" หรือขายอะไร? ถึงบางคน จะตอบว่า "เอาไว้ดูเอง เมื่อยามแก่เฒ่า" แต่คนอื่นๆ ก็ซื้อไปดูได้ ซึ่งหากลูกเต้า เหล่าหลาน เครือญาติ วงศ์วานเดียวกัน ในอนาคต มาเห็นเข้า เขารู้สึกเหมือน เจ้าของภาพด้วยหรือไม่? อย่างไร?

บางคนเป็นถึง "คนสวยที่สุดในประเทศ" ซึ่งมักจะรวมถึงสวยด้านวัฒนธรรม ศีลธรรมผนวกลงไปด้วย ที่จำเป็นต้อง นำออกโชว์ ตามเงื่อนไข ของการขึ้นประกวด เพื่อเอาตำแหน่ง บนเวทีการประกวด ชีวิตหลังจากนั้นแล้ว คือ "ตัวแทน คนงาม ของประเทศ" ด้วย ไม่ใช่ตำแหน่งที่ได้มาเพียง เพื่ออาศัย ขายความงามอย่างเดียว แต่เป็นตำแหน่ง อันมีเกียรติ ที่ต้องผสมความดี ความเก่ง ความเฉลียวฉลาดอยู่ด้วย เพราะมีป้ายกำหนด ประเภทติดตัวไปแล้ว เป็นเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของนางสาวคนนั้นๆ ที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ คนสวยของชาติไทย นั่นทีเดียว

ความสวยซื้อกันได้ ถ้าไม่มีเรื่องของเกียรติยศเข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์ เช่นเดียวกับนางคณิกา ในสมัยพุทธกาล ที่ได้รับการแต่งตั้ง ให้เป็น "โสเภณีระดับชาติ" จากกษัตริย์แต่ละแคว้น ซึ่งต่างก็แข่งขันกัน หาหญิงงาม ประดับบารมี จึงเกิดสำนวน "หญิงงามเมือง" ขึ้นอีกศัพท์หนึ่ง ในพระไตรปิฎก ปัจจุบันโสเภณีชั้นนั้น ในอดีตที่กล่าวมานี้ มีกฎหมาย รองรับเช่นเดียวกันหรือ? หรือผู้บริหารบ้านเมือง กำลังคิดจัดระเบียบสังคมอยู่ด้วย

โรคร้ายมักมาจากความสวย ความหล่อเหลา ความเท่สมาร์ทเหล่านี้ ใครเลยอยากใกล้ชิดเชยชม ผู้พิกล ทุพพลภาพ ภาพที่ก่อให้เกิด ความกำหนัด ในเมถุนธรรม เป็นภาพต้องห้าม สำหรับผู้ตั้งใจ สำรวมตา ตามบัญญัติ คำสอน ในศาสนา เป็นอันตรายต่อการดู การเห็น การอ่าน การได้ยิน นับตั้งแต่ "โรคจิตวิปริต-วิตถาร" ไปจนกระทั่ง การกระทำ ความผิด วิปริตวิตถารต่างๆ ที่เป็นข่าวอาชญากรรม ทางเพศ ควบคู่กับภาพ แต่ละคราว ที่พิมพ์ออก มาขาย แต่ละครั้ง ที่ผ่านมือคนทุกวัย ทั้งที่เป็นวัยอยากรู้ อยากเห็น อยากลอง อยากสัมผัสเป็นได้ ตาม "กามนิยม" เหล่านั้น

แล้วจะไม่ให้เกิด "เซ็กส์โฟน" ได้อย่างไร จะไม่ให้เกิด "โสเภณีเด็ก" ได้อย่างไร ทั้งภาพ เสียง รสชาติ ล้วนมีทิศทาง ไหลเทไป ในแนวเดียวกัน คือ "รสนิยมเพศรส" ที่ส่ำส่อน ไม่มีกติกาในการบริโภค ไร้หลักศีลธรรม ในการเกี่ยวข้อง กับเรื่องเหล่านี้ ผู้หญิงที่เคยเป็นสัญลักษณ์ ของความอาย ก็สึกกร่อนไป ตามกาลเวลา ผุพังไปตามจิตสำนึก ที่เลวร้าย เกือบหมดแล้ว จะให้เพศไหนมาเป็น "แบบอย่าง" พิมพ์ที่ดีที่ถูกต้องสมบูรณ์กันเล่า? ในเมื่อทั้งเพศหญิง-เพศชาย หมดศักดิ์ศรีไปด้วยกันแล้ว จึงเกิดตัวแปรจาก "แรงบาป" เหล่านี้มาเป็นเพศที่สาม ที่ดูจะมีดรรชนี สูงขึ้นเป็น "ผู้หญิงนะยะ" เป็น "ผู้ชายนะวะ" เพิ่มขึ้น

ผ่าตัดชายเป็นหญิง ผ่าตัดหญิงเป็นชาย ผ่าตัดจนนมเน่า ลึงค์เปื่อย ผ่าแล้วผ่าอีก ก็ไม่อาจแก้ไข "ตัณหา" กันและกันได้ ยิ่งผ่าก็ยิ่งเน่ายิ่งเปื่อย ตั้งแต่เนื้อเน่า เนื้อเปื่อย ไปจนสังคมเน่าเปื่อย จิตใจเน่าเปื่อย โลกเน่าเปื่อย ลุกลามไปเป็นชั้นๆ ทำไมถึงเลือกเป็น เลือกได้ถึงขนาดนี้

ทั้งๆ ที่กว่าจะมาเป็นอย่างนี้ๆนั้น ก็ทุกข์ ทรมาน แสนลำบากยากเย็น ก็ไม่ท้อที่จะทำ ช่างมีความพยายาม ความอดทน เหลือหลายจริงๆ จิตอะไรหนอ! จึงกล้ากร้านได้ระดับปานนี้ โดยไม่รู้ว่าเป็นการทำร้ายตัวเอง ให้บาดเจ็บ ทำร้าย จิตวิญญาณตัวเอง ให้ตกต่ำ ทั้งๆ ที่เธอ-เขาเหล่านั้น ก็อยากจะได้สิ่งดีๆ ทั้งนั้น เหมือนคนทั่วไป

หรือไม่รู้ว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยงแท้ มีแต่น้ำเลือด น้ำหนอง สิ่งโสโครกไหลออกทุกทวาร ทุกขณะ ที่ต้องคอยชำระขัดถู เช็ด ทา

ไม่รู้หรือว่าแม้จะกินดีอยู่ดี แต่งดีแค่ไหน ก็เพียงชั่วครั้งคราว ไม่ยั่งยืนถาวร

ไม่รู้หรือว่าถึงตกแต่งดีแล้ว ก็ยังเปลี่ยนแปลง ไปสู่ความไม่ดีได้อีก ตามกาลเวลา

ไม่รู้หรือว่าความเน่าเหม็นออกจากภายในที่เหม็นเน่าด้วยของสกปรกที่กินเข้าไป อัดอยู่ในกระเพาะ ลำไส้ กลิ่นปาก กลิ่นตัว กลิ่นลมหายใจ ที่ต้องหายาอม ยาบ้วน ยาเป่า ยาฉีด ยากิน ยาทา ฯลฯ มาปกปิดชั่วขณะ เพราะ ไม่ได้กำจัด ที่ต้นเหตุแท้จริง "สุสานคนเป็น" ละครจอแก้วยังเป็นเพียงของเทียมที่สร้างแต่งขึ้น จะสู้เทียบเท่า "สุสานคนเป็น" จริงๆ ทุกคนที่เดินเหิน อยู่ในสังคมหรือ?

สุสานคนเป็นที่หลอกกันไป หลอกกันมา ต่างหลอกซึ่งกันและกันอยู่ทุกวินาที ทุกย่างก้าวเหล่านี้แหละ ที่คนไม่คิดกลัว ไม่คิดถึงภัย ไม่นึกถึงโทษ เพราะ "ไม่รู้" ตราบเท่าที่คนยังตกอยู่ในสุสานเดียวกัน

คนส่วนใหญ่กลัวความตาย บางคนกลัวคนตายด้วย ทั้งๆ ที่ยังไม่ตาย ก็ยังหวั่นวิตก คิดถึงเรื่องความตาย ว่าจะเป็น อย่างไร? ไปหาพระ หาศาสนา เพราะต้องการคำตอบเรื่องนี้ แต่น่าเสียดาย ที่ขณะเป็นๆ อยู่ ไม่คิดจะหา คำตอบ สอดคล้องกับชีวิตเป็นๆ มากกว่า ที่สมควรจะใช้สติปัญญา ในการเลือกเป็นชนิดที่ไม่ต้อง "เสียใจ-เสียคน" ตลอดๆ ไป

ตลอดไปทั้งในชาตินี้และชาติหน้า หากไม่คิดคัดง้างแซงอีกว่า "มีชาติอื่น" ด้วยหรือขึ้นมา ทำให้มืดบอด ทับถมตัวเอง ขึ้นไปอีก ดุจดัง "ผู้มืดมา แล้วก็มืดไป" ควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ "เลือกเสียเดี๋ยวนี้" เพราะการเลือกเป็น เลือกได้ ก็เฉพาะ ในขณะที่เรายังเป็นๆ อยู่เดี๋ยวนี้เท่านั้น แม้แต่จะชักช้าด้วยความประมาท ต่อรองว่า "เดี๋ยวก่อน" ก็ช้าไป เสียแล้ว

เพราะพระพุทธองค์ตรัสว่า "จิตที่ตั้งไว้ผิด จักทำร้ายเจ้าของยิ่งกว่าศัตรูทำร้ายเรา" ธรรมะที่เป็นกุศลธรรม สูงสุดคือ "ความไม่ประมาท" ใครที่อยากเลือกเกิด เลือกตายเอง ก็น่าหันมาคิดเรื่องนี้ ก่อนที่จะตาย ก็แล้วกัน

ผู้เขียนก็คิดเช่นเดียวกันว่ารีบเขียนเรื่องนี้เถอะ ขณะที่ยังเขียนได้ โดยไม่หวังว่าใครจะเชื่อ หรือไม่เชื่อก็ตาม เพราะ การเลือกเขียน ให้คนอ่าน ได้อ่านสิ่งดีๆ จุดประกายความคิดดีๆ ริเริ่มทำสิ่ง ดีๆ ด้วยจิตที่หวังดี เป็นการเขียน ที่ดี แน่นอน

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๒ พฤษภาคม ๒๕๔๕)