ผมเดินออกมานอกห้องเรียนอย่างเฉื่อยชา
ภาพ ครูชาย กับเพื่อนนักเรียนหญิงร่วมห้อง ยังติดตา ไม่รู้หาย เป็นภาพที่
ผมไม่ตั้งใจ จะรับรู้ แต่เป็น เพราะ ความบังเอิญ ที่วันนั้น ซึ่งเป็น
วันอาทิตย์ ผมมาเดินเล่น ที่สนามหญ้า หน้าอาคารเรียน เพื่อจะเล่นลูกฟุตบอล
และในขณะที่ผม เตะลูก ฟุตบอล ให้เข้าประตู เพื่อทดสอบ ความแม่นยำอยู่นั้น
บังเอิญลูกฟุตบอล แฉลบไปชน เสาประตู กระดอนออก และกลิ้งไป ทางหน้าประตูห้อง
โรงเก็บของ ผมเดิน ไปเก็บลูกฟุตบอล เห็นประตู แง้มอยู่ จึงชะโงกหน้า
เข้าไปดูข้างใน โดยไม่ตั้งใจ ปรากฏเห็น ชายหญิง คู่หนึ่ง กำลังแนบชิดกันอยู่
ซึ่งผมจำได้แม่นยำว่าคือใคร และดูเหมือนว่า เขาทั้งสอง ยังไม่ทันรู้ตัว
ผมจึงรีบ ถอยออกมา แล้วเดินออกจาก โรงเก็บของ โดยไม่สนใจ เก็บเอาลูกฟุตบอลนั้นอีก
ผมเดินผ่านสวนทาง กับเพื่อนๆ อีกสองสามคน โดยไม่สนใจเสียงทักทาย
"เฮ้ย!สมคิด
แกจะรีบไปไหน?" ผมเพียงแต่หันมายิ้มให้เพื่อนๆ แล้วก็เดินจากไป
เช้าวันจันทร์ผมมาโรงเรียนตามปกติ
แต่ยังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อนๆ ที่มาก่อน กำลังวิ่งไล่ลูกฟุตบอลกันอยู่
กลางสนาม บ้างก็วิ่งไล่หยอกกัน ตามประสา ผมเดินเอากระเป๋าหนังสือ ไปเก็บที่โต๊ะเรียน
แล้วจึงเดิน ออกมานอกห้อง พอดีพบกับบัวลอย เพื่อนร่วมชั้น บัวลอยรีบจับ
ข้อมือผมดึงไว้ พร้อมกับ กระซิบ ถาม
"เฮ้ย!..เมื่อวานแกเห็นอะไรที่โรงเก็บของรึเปล่าวะ?"
บัวลอยกระซิบพร้อมกับชำเลืองสายตา ไปทางโรง เก็บของ
"อะไรรึ.."
ผมแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
"เฮ้ย..แกไม่รู้อะไรจริงๆ หรือวะ หรือว่าแกล้งทำ" บัวลอยสีหน้าฉงน
"อะไรกันบัวลอย เราไม่รู้อะไรจริงๆ นะ" ผมยืนยัน
"อืมม์ เราเห็นแกเดินออกจากห้องเก็บของ คิดว่าแกเห็นอะไรก่อนเสียอีก.."
บัวลอยพึมพำ
"เขามีอะไรกัน เรายังไม่เข้าใจ.." ผมแสร้งทำเป็นสงสัย
"อะไรกันวะ ป่านนี้แกยังไม่รู้เรื่องอีกเรอะ คนเขารู้กันหมดหมู่บ้านแล้วเพื่อน"
บัวลอยมองหน้าผมแบบขำๆ
"ไหน แกเล่าให้ฟังหน่อยสิ ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น..." ผมกล่าวสำทับ
"ครูข่มขืนลูกศิษย์" บัวลอยตอบ
"บ้า ใครเป็นคนเห็น..?" ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย
"ไอ้หมึก อีติ๊ก อีต้อย เห็นหมด" บัวลอยกล่าว
"ทำไมถึงเห็น" ผมย้ำ
"ไปเก็บลูกฟุตบอลที่แกเตะทิ้งไว้ที่หน้าห้องเก็บของ" บัวลอยตอบ
"ตายห่.." ผมอุทาน "เขาร้องขอความช่วยเหลือเรอะ?"
"ใช่"
"แล้วผู้เสียหายเขาว่ายังไงบ้าง?"
"พ่อแม่แจ้งความจะเอาเรื่อง"
"ครูล่ะ?"
"ผ.อ.กำลังวิ่งเต้นหาทางช่วยเหลือ เพื่อไม่ให้ผู้ปกครองแจ้งความ"
บัวลอยสาธยาย
วันนั้นหลังจากเด็กทุกคนเข้าห้องเรียนแล้ว
ครูทุกคนก็สอนตามปกติ เว้นแต่เด็กผู้เสียหาย และ ครูผู้กระทำ เท่านั้น
ที่ไม่ได้มาโรงเรียน ผมคิดทบทวนเหตุการณ์ ย้อนหลังไป เมื่อวันเกิดเหตุ
ถ้าผมไม่ทิ้งลูกฟุตบอลไว้ ที่หน้าประตู โรงเก็บของนั้น เรื่องก็คงไม่บานปลายถึงขั้นนี้
เพราะเท่าที่เห็นเหตุการณ์ ขณะนั้น เหมือนกับ ผู้เสียหายยินยอม โดยมิได้ขัดขืน
แต่ประการใด แต่ที่เรื่องได้กลายเป็นเช่นนี้ คงเป็นเพราะว่า ผู้เสียหาย
หวาดระแวงเสียงเด็ก ที่วิ่งเข้ามาเก็บลูกฟุตบอล หน้าประตูห้องเก็บของนั่นเอง
เพราะประตู ไม่ได้ลงกลอน และบานประตู ยังเปิดแง้มอยู่อีกด้วย ผู้เสียหาย
อาจเข้าใจว่า มีผู้รู้เห็นการกระทำครั้งนี้แล้ว จึงได้ร้อง ขอความช่วยเหลือ
ข่าวสะพัด ไปสู่หูชาวบ้าน
อย่างรวดเร็ว บางคนด่า ผู้กระทำ เหมือนอย่างหมูหมา ชั่วเหมือนสัตว์
มีอย่าง ที่ไหน ลูกศิษย์ตัวเองแท้ๆ ยังข่มขืน ได้ลงคอ เห็นแต่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์
แต่เดี๋ยวนี้ ความลามก ของครูพวกนี้ มาถึงบ้านเราแล้ว บ้างก็ว่าแบบนี้
ต้องเอาเรื่อง ให้ถึงที่สุด ถ้ามันไม่ออกจากครู จะไม่ยอม เสียงพูดเช่นนี้
กระจายไปทั่วทุกคุ้ม ของหมู่บ้าน จนหลายคน ลงความเห็นว่า ครูผู้นี้คงหนีไม่พ้นคุก
เป็นแน่แท้
ตอนค่ำของวันเกิดเหตุ
ได้มีการเจรจา เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ระหว่างผู้ปกครองเด็ก กับตัวแทนฝ่ายครู
ผู้กระทำ อย่างไม่เป็นทางการนัก เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น ยังมิได้ลงบันทึกการแจ้งความ
การเจรจา ในค่ำ ของวันนั้น มีทั้งท่านรองสารวัตร ผู้อำนวยการโรงเรียน
พร้อมด้วยญาติผู้ใหญ่ ของฝ่ายครู ท่านรองกับ ผู้อำนวยการ ทำหน้าที่เจรจาขอร้อง
ให้ฝ่ายผู้เสียหายไม่เอาความ การพูดจา โต้เถียงกัน ระหว่างสองฝ่าย
ดังขึ้นเป็นระยะๆ
"เรื่องนี้คงยอมไม่ได้
หรอกครับทั่น เพราะลูกผมเสียหายยับเยิน" ผู้ปกครองกล่าว
"เรื่องนี้หากจะว่าไปแล้ว
ก็เสียหายด้วยกันทั้งสองฝ่าย ผมจึงอยากให้ค่อยพูด ค่อยจากันเสียก่อน
ส่วนเรื่อง การแจ้งความนั้น ค่อยว่ากันอีกที" ท่านรองออกความเห็น
"ฝ่ายนั้นจะเสียหายได้อย่างไร
ฝ่ายผมซิ จะมองหน้าใครติด เมื่อเด็กต้องมีมลทิน ติดตัวไปตลอดชีวิตเช่นนี้
ถ้าเกิดขึ้น กับลูกของท่านล่ะ ท่านจะยอมง่ายๆ รึ? เป็นครูอาจารย์ แต่กระทำกับเด็กแบบนี้
จะให้เรายอม ได้อย่างไร ท่านลองคิดดู.."
"เรื่องนี้เราต้องขอโทษฝ่ายคุณจริงๆ"
เสียงญาติผู้ใหญ่ฝ่ายครู กล่าวขึ้น
"ทำแล้วขอโทษเรอะ
เดี๋ยวก็ไปทำกับคนอื่นอีก ครูแบบนี้เอาไว้ไม่ได้หรอก.." ฝ่ายเสียหายกล่าวขู่
"แต่ทางคุณสามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้
ตามความเหมาะสมนี่ครับ เพื่อให้เรื่องมันจบลงด้วยดี จะได้ ไม่ต้องเป็นข่าว"
เสียงผู้อำนวยการ เสนอข้อคิดเห็น
"ค่าเสียหายเรอะ
เอาความบริสุทธิ์ของลูกสาวผมคืนมาสิ คุณทำได้ไหม? "
"คือว่าอย่างนี้ครับคุณน้า
การเอาเรื่องเอาความกันนั้น มันคงได้อยู่หรอกถ้าทั้งสองฝ่าย ไม่ยอมกัน
แต่ผม อยากจะให้ข้อคิด อย่างนี้ครับ ถ้าหากฝ่ายผู้เสียหาย แจ้งความเอาเรื่องกับครู
ผู้กระทำผิด เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็จะต้องทำการจับกุม ในข้อหา ครูกระทำการข่มขืน
กระทำชำเราเด็กนักเรียน ซึ่งอายุของเด็ก ก็ยังไม่ถึง สิบห้า การจับกุมแน่นอน
จะต้องเป็นข่าวกระจายไป ทั้งหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ การเป็นข่าวเช่นนี้
แน่นอนครับ จะต้องส่งผลกระทบ ต่อสถาบันการศึกษาของเรา เพราะขณะนี้
ข่าวครูกระทำ กับเด็กเช่นนี้ ก็มีออกมา แทบจะทุกวันอยู่แล้ว การที่ครูตกเป็นข่าวในทางลบมากๆ
จะทำให้สถาบันครู และระบบ การศึกษาเสื่อมลง และสังคม จะไม่ให้การยอมรับ
ทั้งที่ครูดีๆ ตั้งใจทำงานอยู่ในสังคม และสถาบัน การศึกษาอีกมากมาย
ครูดีๆ เหล่านี้ จะเสียกำลังใจ และอีกอย่างหนึ่ง การที่ข่าวนี้ ถูกนำออกเปิดเผย
ต่อสาธารณชนนั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นผลดี ต่อลูกผู้หญิง ที่ถูกระทำเช่นกัน
เพราะว่า เป็นการประจาน ให้สังคม ได้รับรู้ว่า หญิงคนนี้ ได้ถูกล่วงละเมิดทางเพศมาแล้ว
ซึ่งคนไทยเรา ถือเรื่องพรหมจารีเป็นเรื่องสำคัญ และ ถือเรื่องเพศ เป็นเรื่องน่าอับอายอีกด้วย
เพื่อไม่ให้ทั้งสองฝ่าย ต้องมีผลกระทบ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมคิดว่า
น่าจะตกลง ยอมความกันดีกว่า ส่วนเรื่องที่ผู้เสียหาย จะเรียกร้อง เอากับผู้กระทำผิดอย่างไรนั้น
ก็สุดแท้แต่ ทั้งสองฝ่าย จะตกลงกัน ผมก็มีเท่านี้แหละครับคุณน้า"
เป็นคำกล่าวของท่านรอง ที่อาศัยเหตุผล ช่วยหว่านล้อม
ความเงียบได้เริ่มขึ้น
ฝ่ายผู้เสียหาย ต่างก็เหลียวดูหน้ากัน
"เอายังไงผู้ใหญ่บ้าน" เสียงผู้เป็นอาของเด็ก เอ่ยถามผู้ใหญ่บ้าน
ทำลายความเงียบ
"ข้าก็ยากที่จะตัดสินใจให้เหมือนกันแหละวะ
ฟังท่านรองพูด ก็มีเหตุผลดี เดี๋ยวนี้สื่อมันเร็วมาก เพียงไม่กี่ ชั่วโมง
ก็เป็นข่าว ไปทั่วประเทศแล้ว วงการใดก็ตาม ถ้ามีในทางลบมากๆ วงการนั้น
ก็เสื่อมความเชื่อถือ จากประชาชน อย่างเช่นวงการพระสงฆ์ ทุกวันมีแต่ข่าวไม่ดี
ออกมาให้เห็น เดี๋ยวพระมั่วสีกา เดี๋ยวพระ ดื่มเหล้าเสพยาบ้า จนชาวบ้านเสื่อมถอยความศรัทธา
ไม่อยากจะเข้าวัด ทำบุญกันเสียแล้ว ทั้งที่วัดดีๆ พระดีๆ ยังมีอีกถมเถ
แต่ไม่มีข่าว มันเป็นเรื่องน่าคิด สำหรับสังคมไทยเรา ในปัจจุบัน ใครทำอะไรดีๆ
ที่ไหน ไม่ค่อยประโคมกัน และเดี๋ยวนี้วงการหลักๆ ของประเทศ กลายเป็นอันตราย
ต่อสังคมและประชาชน เข้าวัด พระก็เชื่อถือไม่ได้ แพทย์ หมอก็ฆ่าคนอย่างเลือดเย็น
ครูก็ข่มขืนลูกศิษย์ อยู่ไม่เว้นแต่ละวัน แล้วต่อไป จะให้ชาวบ้าน พึ่งพาผู้ใดหนอ...
เจ้านายเอ๋ย ข้าน้อยก็สุดที่จะกล่าวแล้วหละ สุดแท้แต่ จะตกลงกันเอาเถิด"
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างอ่อนใจ
"ในเมื่อเกียรติของพวกท่าน
มันยิ่งใหญ่นัก กระทำผิดแล้ว ก็ยังไม่อยากให้ใครแตะได้ เพราะว่ากลัวเสื่อมเสีย
ไปถึงสถาบัน รู้ว่ามันเสีย แล้วกระทำลงไปได้อย่างไร ทำไมไม่คิดเสียก่อน
พวกท่านต่างล้วนแต่เป็นผู้รู้ เป็นบัณฑิต เป็นปัญญาชน ทำไมจะต้อง ให้คนจบปอสี่
อย่างผมสอนด้วย คนจนคนไร้ตำแหน่งหน้าที่ อย่างพวกผม เกิดมาไม่เคยไร้น้ำใจ
พวกท่านมาจากที่ไหน ไกลแสนไกล เมื่อมาถึงที่นี่ ไม่เคยอดอยาก ถึงเรามีข้าวเพียงน้อยนิด
มีไก่เหลือเพียงตัวเดียว เรายังสละให้เป็นอาหารได้ โดยยอมให้ลูกให้เมียอด
แต่ขอให้พวกท่าน ได้อยู่ได้กิน มีความสุข พวกเราชาวบ้านก็ดีใจ เพราะถือว่า
พวกท่านคือเจ้านาย ที่นำความรู้ ความผาสุก มาสู่หมู่บ้าน และลูกหลาน
เราให้เกียรติพวกท่าน ดุจนายเหนือหัวเสมอ ทั้งที่รู้ว่า พวกท่านสบาย
มีรถขี่มีงานโก้ มีเงินเดือน มีเสื้อผ้าสวมใส่สวยงาม ไม่เคยเหยียบย่ำพื้นดิน
ด้วยเท้าเปล่า หลังไม่เคยสู้ฟ้า หน้าไม่เคยท้าดิน ทุกครั้งที่พวกท่านต้องการเรียกใช้
ถึงฝนจะตก แดดจะออกอย่างไร เราไม่เคยขัดข้อง และไม่เคยเรียกร้อง ค่าตอบแทน
แต่กลับภูมิใจ ที่ได้รับใช้ แต่วันนี้ ท่านทำกับเรา เหมือนอย่าง เศษเดนมนุษย์
ที่พวกท่านจะเหยียบย่ำ กดขี่อย่างไรก็ได้ ทำแล้ว ก็อย่างนี้แหละ จัดหาเจ้านาย
ฝ่ายเดียวกัน มาเจรจาขอร้อง ท่าทางดูดีเหมือนเป็นผู้มีเมตตา แต่เนื้อในใจเสือ
งานสำเร็จแล้วยิ้มเยาะ นี่หรือ ผู้ที่ได้ชื่อว่า มารับใช้ ผู้ที่มากินเงินเดือน
จากภาษีของประชาชน ให้ตายเถอะ ผมไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ นี่ถ้าผมเชื่อว่า
พวกท่านมาเป็น ผู้รับใช้ชาวบ้านแล้วละก็ ขณะนี้ท่านกำลังตก เป็นฝ่ายเนรคุณ
กับผู้ที่เป็น ทั้งข้าทั้งนายที่แสนดี ขออภัยด้วยนะ ที่พูดอย่างนี้
ไม่ได้มีเจตนา ที่จะกล่าว ดูหมิ่นดูแคลนอะไรเลย เพียงแต่อยากให้ผู้ที่มีเกียรติมียศ
ได้สำนึกในบุญคุณ ของชาวบ้านบ้าง เพราะชาวบ้านก็คน ลูกชาวบ้านก็คน
"สุนัขที่อาศัยใต้เคหา ยังรู้ค่าน้ำข้าวที่เขาขุน เกิดเป็นคน
ไม่รู้ค่า ราคาคุณ ก็เสียทุนเสียทีที่เป็นคน" ผู้พูดหยุด ถอนหายใจ
ในขณะที่อีกฝ่าย นั่งหน้าจืดไปตามๆ กัน
"เอาซิครับ
เมื่ออยากให้เรื่องมันจบ ฝ่ายผมก็เอาความบริสุทธิ์ของลูกคืนมาไม่ได้
รอยคาวที่ฝ่ายคุณทำให้ ผมขอเรียกห้าหมื่น ท่านจะยอมไหม?" พ่อของเด็กเสนอ
"ห้าแสนโว้ย
ห้าหมื่นมันน้อยไป ขนหน้าแข้งมันไม่ร่วงหรอก หลานสาวผม คาวกามตลอดชีวิตนะ
เงินห้าหมื่น มันคุ้มกันเรอะ?" ผู้เป็นอาร้องแย้ง
"ถ้าเช่นนั้น
ก็ให้แกเป็นคนตัดสินใจแล้วกัน" พ่อของเด็กถือโอกาส โยนเรื่องไปให้น้องชาย
เป็นฝ่ายตัดสินใจ ทางฝ่ายเจรจา ต่างก็อ้ำอึ้งไปตามๆ กัน นับว่าเป็นเรื่องลำบากใจ
กับฝ่ายมาขอเจรจา เป็นอย่างมาก แม้ว่า การยอมความ จะเริ่มมองเห็นทางขึ้นมาบ้าง
แต่การเรียกร้อง เอาค่าเสียหาย ที่สูงอย่างนี้ ยังเป็นเรื่อง ที่คาใจ
ซึ่งก็จะต้อง หาทางเจรจากันต่อไป แต่ถ้าหากว่า ตกลงกันไม่ได้ แล้วอนาคตของครูผู้นี้
จะต้องดับ วูบลง อย่างแน่นอน
"ห้าแสนเลยหรือครับ?"
ผู้อำนวยการย้ำอย่างไม่เชื่อหู
"ครับ ห้าแสน..."
"ไม่หนักไปหน่อยหรือครับ
?"
"ไม่หนักครับ
ครูยังทำงานยังมีเงินเดือน อยู่เหมือนเดิม เงินเท่านี้อีกไม่นานก็ได้คืนมา
แต่ตราบาป ที่หลาน สาวผม ได้รับจากการกระทำครั้งนี้ จะต้องติดตัวไปตลอดชีวิต
ท่านลองคิดดูสิครับ"
"ถ้าเช่นนั้น
ผมขอกลับ ปรึกษา หารือกันก่อน พรุ่งนี้เช้าพวกผม จะมาหาใหม่นะครับ.."
จากนั้นทั้งหมด
ก็ขอตัวกลับ เพื่อหาช่องทาง กลับมาเจรจารอบใหม่
ที่โรงเรียน ผมเห็นครูเวร
กับผู้อำนวยการ ถกเถียงกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะครูหญิงบางคน ไม่เห็นด้วย
ที่ผู้อำนวยการ เป็นฝ่ายวิ่งเต้นช่วยเหลือ เริ่มตั้งแต่ วิ่งเข้าหาตำรวจ
เพื่อขอความช่วยเหลือ ในเรื่อง เจรจา ขอร้อง ไม่ให้ผู้เสียหายแจ้งความ
และ การเจรจาต่อรอง ในเรื่องค่าเสียหาย และอื่นๆ จนฝ่าย ผู้เสียหาย
ยอมความ
"อาทิตย์หน้า
หากทางจังหวัด ออกมาสอบถาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณช่วยตอบว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ
เพราะวันอาทิตย์ ที่เกิดเหตุ เป็นเวรของคุณ" เสียงผู้อำนวยการ
กำชับครูเวร
"อ้าว ไหนว่าไม่มีการแจ้งความ
แล้วทำไมทางจังหวัดต้องออกมาสอบด้วยคะ?" ครูเวรถามอย่างสงสัย
"มีชาวบ้านบางคนไปร้องเรียนทางจังหวัด"
"เมื่อไหร่?"
"สองวันก่อน
คงไม่มีอะไรมากหรอก นอกจากการสอบหาความผิดทางวินัยเท่านั้น"
"จะให้หนูตอบว่าอย่างไรคะ?"
"ตอบว่าไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
อาจเป็นความเข้าผิด ระหว่างครูกับชาวบ้านก็ได้" ผู้อำนวยการแนะนำ
"ทำไมไม่พูดความจริงเล่าคะ
เรื่องเสียหายเช่นนี้ ผู้อำนวยการไม่น่าปกป้อง" ครูเวรท้วงติง
"เราอาชีพครูด้วยกัน
ก็ต้องช่วยกัน ไม่หนักหนาอะไรมิใช่หรือ?" ผู้อำนวยการถามย้อน
"หนักค่ะ หนูไม่เห็นด้วย
ที่จะมาปกป้องคนประเภทนี้"
"เพราะอะไร?"
"เพราะสงสารเด็กค่ะ
ที่จะต้องมาตกเป็นเหยื่อราคะ ของครูบ้ากามบางคน"
"จะให้ผมทำอย่างไร?"
"พูดความจริงซิคะ
นิ้วไหนร้ายตัดนิ้วนั้น ผู้นำต้องมีความเด็ดขาด รักษาความถูกต้อง เอาไว้บ้าง
ไม่ใช่ เห็นแก่พวกพ้อง" ครูเวรตำหนิ
"ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไร
แต่ผมต้องช่วยเหลือ เพื่อเพื่อนครูของเรา และสถาบัน ผมจะไม่ยอม ให้โรงเรียน
ของเรา เป็นข่าวทำนองนี้ ใช่ ครูของเรา ทำความผิด แต่ครูผู้นี้ ก็ไม่ได้เลวอะไร
เสียทั้งหมด ความดีของเขา ก็มีมากมาย เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ เราพอช่วยเขาได้
ก็ควรช่วยมิใช่หรือ?"
"เรื่องอย่างนี้
เป็นเรื่องเล็กน้อยหรือคะ ครูข่มขืนเด็กนักเรียน เป็นเรื่องเล็กน้อย
แล้วอะไรเป็นเรื่องใหญ่ ขณะนี้ ครูเดินไปทางไหน เห็นแต่ชาวบ้าน ถ่มน้ำลายยิ้มเยาะ
ทั้งที่ครูไม่ดีมีเพียงคนเดียว แต่ชาวบ้าน เย้ยหยันหมด ทั้งโรงเรียน
หนูขอพูดตามตรงว่า แทบจะมุดแผ่นดินหนี"
"คุณจะพูดอย่างไรก็ตาม
แต่ผมก็มีเหตุผล ของผม และผมจำเป็นต้องช่วย เท่าที่จะช่วยได้"
ผู้อำนวยการ ยืนยัน
"เห็นใจครูด้วยกัน
แล้วสภาพจิตใจของเด็กเล่าคะ ท่านคิดเห็นใจเขาบ้างไหม เคยบอกให้ครู
ไปให้กำลังใจ เด็กบ้างหรือเปล่า ใครประทับ ตราบาปให้เขา ไม่ใช่ครูดอกหรือ
คุณธรรมจริยธรรมของครู ไปไหนหมด ลองคิดดูซิคะ ครูแต่ละคน ต่างก็จบออกมา
จากสถาบัน อันทรงเกียรติ ของประเทศกันทั้งนั้น เพื่อที่จะ ออกมา เป็นแม่พิมพ์
ให้แก่บุตรหลาน และเยาวชนของเรา ออกมาเป็นบิดามารดาคนที่สอง รองจาก
สถาบันครอบครัว แต่กลายมาเป็นแม่พิมพ์ที่อันตราย ให้ความปลอดภัย ให้แก่พวกเขาไม่ได้
แล้วจะผดุง ความเป็นศักดิ์ศรี ของความเป็นครูไว้ทำไม เด็กน้อยๆ ถึงจะเป็นลูกชาวบ้าน
แต่ต่างก็เข้ามา เป็นลูกศิษย์ และลูกศิษย์ ก็เหมือนลูกของครู ใครเอาลูกมาบำเรอความใคร่
มันไม่ใช่คน แต่มันคือพวกสี่ขา ที่วิ่งเพ่นพ่าน อยู่ตามถนน.."
"หยุด คุณนา
ผมมาเพื่อขอร้อง ไม่ได้มาฟังคุณสอน คุณจะทำตามหรือไม่ เป็นเรื่องของคุณ
แล้วเรื่อง คุณธรรม จริยธรรมอะไร ของคุณนั้น มันก็เป็นแต่เพียง ตัวหนังสือที่อยู่ในตำรา
ไม่เห็นมีใคร นำมา ปฏิบัติ สักคน แล้วก็ไม่มีใครหรอกครับ ที่จะไม่เห็นแก่ตัว
เรื่องมันไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณนี่ คุณถึงไม่เดือดร้อน แต่เมื่อไหร่
เรื่องมันเกิดขึ้น กับคุณนั่นแหละ คุณถึงจะรู้สึก" ผู้อำนวยไม่พอใจ
"ถ้ามันเกิดขึ้นกับหนูนะคะ
หนูยินดีที่จะยอมรับสภาพนั้น อย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ เลย" ครูเวรยืนยัน
"ไม่จริงดอก
คุณอย่าพูดเอาแต่ดีใส่ตัวเลย ผมไม่เชื่อคุณหรอก เดือดร้อนขึ้นมา ก็วิ่งแจ้น
ขอความช่วยเหลือ เหมือนกันนั่นแหละ"
"ก็ให้มันเกิดขึ้นเสียก่อนซิคะ
แล้วจะได้รู้ว่า หนูพูดจริงหรือไม่.." ครูเวรท้า
"พอแล้ว ผมไม่อยากเถียงกับคุณ
จะพูดความจริงก็ตามใจ แต่ผมไม่รับรองนะว่า คุณจะโดนข้อหา หมิ่นประมาท
หรือไม่ เพราะทางฝ่ายผู้เสียหาย เขาไม่เอาเรื่อง แล้วก็ไม่ได้แจ้งความด้วย
เด็กเขาก็รับปาก แล้วว่า จะไม่พูด หากว่ามีการออกมา สอบปากคำจริงๆ
เด็กเขาก็จะตอบว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแก่เขา ครูก็ไม่ได้ข่มขืน ตามที่เป็นข่าว
มันเป็นเพียงเรื่อง การเข้าใจผิดกันเท่านั้น ถ้าคุณจะพูดความจริง ก็ตามใจสิ"
"หนูแค่แสดง ข้อคิดเห็นเท่านั้น ยังไม่ได้บอกเลยว่า จะไม่ทำตามคำขอร้อง
เรื่องนี้แม้หนูไม่พูด แต่คนเขารู้กัน ทั้งตำบล ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ
บุญกรรมอยู่ที่ทำตัว คงมีสักวันหนึ่งหรอก.."
ขณะครูเวรกำลังโต้เถียง
อยู่กับผู้อำนวยการนั้น ครูอู๊ดเดินเข้ามาหาคนทั้งสอง พร้อมกับเอ่ยถามอย่างสงสัย
"มีเรื่องอะไรกันครับ"
"อ้าว อู๊ดมาก็ดีแล้ว
คุยกับครูนาเขาหน่อย พี่มีธุระขอตัวก่อน" ว่าแล้วผู้อำนวยการ
ก็เดินหันหลังจากไป
"มีเรื่องอะไรกันหรือน้องนา
ผอออถึงได้โกรธ.."
"เรื่องเดียวนั่นแหละพี่
ผอออมาขอร้อง
ไม่ให้หนูพูดความจริงเมื่อทางจังหวัดออกมาสอบถาม"
"แล้วไง ?"
"หนูก็เพียงแต่แสดงเหตุผลว่า
ท่านไม่สมควรปกป้องคนผิด เพราะว่าหนูไม่เห็นด้วย"
"อื่อม์...เรื่องนี้ยังไงเราก็พูดความจริงไม่ได้นะน้อง"
"อ้าวพี่อู๊ด...
ที่สุดพี่ก็กระบุงเดียวกัน เสียแรงที่หนูเชื่อถือพี่มานาน แต่วันนี้หนูเห็นธาตุแท้ของพี่แล้ว
ความศรัทธา ในตัวพี่เหลืออยู่แค่นี้" กล่าวแล้วครูนา ก็ยกปลายนิ้วก้อยให้ดู
"เดี๋ยวก่อนน้องนา...อย่าเพิ่งเข้าใจพี่ผิด"
ครูอู๊ดหน้าเสีย รีบยกมือห้ามแล้วกล่าวต่อ "เรื่องนี้ทางฝ่ายผู้เสียหาย
เขายอมความ ไม่เอาเรื่องกันแล้ว โดยฝ่ายครูเรายอมเสียเงิน" ครูอู๊ดกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
"เหรอ...เสียเท่าไหร่
?"
"สองแสนแปด"
"ปล่อยคนผิดลอยนวล"
ครูนาแสดงสีหน้าผิดหวัง
"เราต้องทำใจแล้วน้อง
เมื่อผู้เสียหายเขาไม่เอาเรื่องแล้ว ก็ไม่พูดว่าเขาถูกกระทำ คนอื่นก็ทำอะไรไม่ได้"
ครูอู๊ดกล่าว
"ใครมีส่วนได้อีกรึ
?" ครูนาถามอย่างแคลงใจ
"เรื่องนี้พี่ไม่ทราบนะ
แต่เดาเอาว่านอกจากพยานรู้เห็นแล้ว ผู้เป็นตัวแทนวิ่งเต้นช่วย ก็น่าจะมีส่วน"
"ตำรวจล่ะ
?"
"แน่นอน เพราะเขาพูดช่วยเต็มที่
ได้ยินผอออพูดว่างานนี้ กว่าจะเคลียร์กันเสร็จ จะต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า
สี่แสน"
"มิน่าเล่า?
ถึงวิ่งเต้นช่วยเหลือเกิน ได้ทั้งเงินได้ทั้งบุญคุณ ใครจะไม่เอา"
ครูนาพึมพำ
"ก่อนเกิดเรื่องพวกกู้เงินออมทรัพย์มา
เพื่อสร้างบ้านใหม่ ห้าแสนคงจะหมด เพราะเรื่องนี้เป็นแน่" ครูอู๊ด
หยุดถอนหายใจแล้วก็กล่าวต่อ "เงินมีค่าเหนือทุกอย่าง บุญไม่ต้องทำ
กรรมก็ไม่มี แถมความดีก็ยังได้ งานก็ยังได้ทำ ยังไม่เสียอนาคต นี่ถ้าลองไม่มีเงินซิ
เสียทั้งงาน และเสียอนาคต แถมเข้าคุกอีกด้วย เรื่องแบบนี้ มีขึ้นทุกวันทั่วเมืองไทย
แต่ที่ยอมให้เป็นข่าว มีเพียงไม่กี่ราย นอกนั้นก็จบลงแบบนี้แหละ ทำใจเถิดน้อง
เรื่องเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมอย่าได้พูดถึงมัน ปล่อยทิ้งไวใต้ลิ้นชัก
เราก็ทำหน้าที่ ของเราต่อไป ชั่วช่างชีดีช่างพระ ใครขึ้นช้าง ลงม้าก็ช่างหัวมัน"
ครูอู๊ดกล่าวจบ ก็ขอตัวเดินเข้าห้องเรียน
ปล่อยให้ครูนา
นั่งก้มหน้าเช็ดน้ำตา ด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้ ความเป็นคนเถรตรง จนเกินไป
จึงทำให้ครูนา มีเพื่อนน้อยลง ตราบใดที่ยังไม่มีอำนาจหน้าที่ เหนือผู้อื่นแล้วละก็
อย่าได้หมายที่จะผดุงคุณธรรม และ จริยธรรม อะไรเหล่านี้ อีกต่อไปเลย
หลังเข้าห้องเรียน ผมเห็นครูนายิ้มให้ลูกศิษย์อย่างเศร้าๆ
จนผมอยากจะเดินไปกระซิบบอกคุณครูว่า ผมผู้หนึ่ง ที่เห็นการกระทำ ในวันนั้น
แต่ไม่ได้หวังค่าปิดปาก จึงไม่ขอแสดงตน ได้ค่าเสียหาย มากมายกว่า ค่าสินสอด
ในอนาคตเป็นไหนๆ จริงไหมครับคุณครู?
เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๔๓ มิถุนายน ๒๕๔๕
|