หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร


แตกต่าง ไม่แตกแยก
(วัณณาโรหชาดก)


แตกต่าง ห่างเชื้อ ชาติพันธุ์
รักกัน ดีกัน ได้หนอ
อย่าเผลอ หูเบา แตกคอ
ด่าทอ ก่อแตก แยกกัน

ณ กรุงสาวัตถี พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน ทรงเอ่ยถึงเรื่องราวของพระอัครสาวก ทั้งสอง

สมัยหนึ่ง พระมหาเถระทั้งสองคิดกันว่า
"ภายในพรรษานี้ จะเพิ่มพูนการไปอยู่สงัดในป่า"

ดังนั้นจึงทูลลาพระศาสดา ละออกจากหมู่คณะ ถือบาตร และบริขาร (ของใช้สอยของพระ) ด้วยตัวเอง มุ่งสู่ป่าแห่งหนึ่งใกล้ปัจจันตคาม (หมู่บ้านชายแดน) แล้วพักอาศัย อยู่ในป่านั้น

ที่นั้นเอง มีคนกินเดน (กินของเหลือ) คนหนึ่ง ได้พบพระมหาเถรทั้งสองแล้ว ก็ขอทำการ อุปัฏฐาก (รับใช้) อยู่ด้วยในที่นั้น พระมหาเถระ ก็มิได้รังเกียจแต่ประการใด

อยู่ๆ กันมา คนกินเดน เกิดจิตวิปริตขึ้นว่า
"เราเห็นภิกษุสองรูปนี้ ช่างอยู่กันอย่างสมัครสมานพร้อมเพรียงดีเหลือเกิน จะเป็นไปได้ไหมหนอ ที่เราจะทำลาย ให้แตกแยกกันเสีย"

คิดแล้วให้รู้สึกท้าทายความสามารถของตน จึงเข้าไปหาพระสารีบุตรเถระ กล่าวคำส่อเสียดยั่วยุว่า
"ท่านผู้เจริญ ท่านไปก่อเวรอะไรไว้กับ พระมหาโมคคัลลานเถระหรือ?"

"ก่อเวรอะไรกันเล่า อาตมายังไม่ทราบเรื่องเลย"

คนกินเดนรีบโป้ปดมดเท็จทันทีว่า
"ท่านผู้เจริญ ก่อนหน้าที่กระผมจะมาหาท่าน เมื่อครู่นี้ พระมหาโมลคัลลานเถระ ได้กล่าวถึงท่าน แต่ในแง่ เสียหายเท่านั้น ซ้ำยังบอกว่า พระสารีบุตร ไม่อาจเทียบ กับเราได้เลย แม้โดยชาติโคตร ตระกูลก็ตาม แม้โดยการศึกษาร่ำเรียนก็ตาม แม้โดยอิทธิฤทธิ์ หรือ การบรรลุธรรมก็ตาม"

พระสารีบุตรเถระรับฟังแล้ว ก็มีอาการยิ้ม มิได้กล่าวตอบโต้อะไร เพียงแต่ตัดบทกล่าวว่า "ท่านจงไปเสียเถิด"

เมื่อถูกไล่เช่นนั้น คนกินเดน จึงเดินลุกเดินไปยังที่พักของ พระมหาโมคคัลลานเถระ แล้วก็กล่าวโกหก ทำนองเดียวกันนั้นอีก พระมหาโมคคัลลานเถระ รับฟังแล้ว ก็มีอาการแย้มหัวเช่นกัน พร้อมกับกล่าวว่า
"ท่านจงไปเสียเถิด"

แล้วพระมหาโมคคัลลานเถระ ก็ได้เข้าไปหาพระสารีบุตรเถระถึงที่พัก เอ่ยปากถามว่า
"ท่านผู้มีอายุ คนกินเดนนั้น ได้กล่าวอะไรกับท่านบ้างหรือไม่ ? "

พระสารีบุตรเถระจึงบอกเล่าคำความเหล่านั้นให้ฟัง พร้อมกับพิจารณาว่า "คนกินเดนผู้นี้ กล่าวมุสา ส่อเสียด แม้กับผม ฉะนั้นจึงไม่ควรอยู่ในที่นี้ ควรออกไปเสีย"

พระมหาโมคคัลลานเถระเห็นพ้องด้วย จึงเอ่ยปากรับคำว่า "ดีล่ะ คนกินเดนนี้ควรออกไปให้พ้นจากที่นี้"

แล้วจัดการนำเขา ออกไปจากที่นั้นทันที ตลอดพรรษานั้น พระมหาเถระทั้งสอง จึงอยู่ร่วมกัน อย่างสามัคคี สุขสงบ ต่อเมื่อออกพรรษาแล้ว จึงเดินทางกลับไป เข้าเฝ้าพระศาสดา พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงถามไถ่ ขึ้นว่า

"เธอทั้งสองอยู่กันโดยสงบ สบายตลอดพรรษาหรือ ?"

พระมหาเถระทั้งสองจึงทูลเรื่องราวให้ทราบ
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีคนกินเดนผู้หนึ่ง ประสงค์จะทำลายมิตรภาพ ของพวกข้าพระองค์ แต่เขา ทำลาย ไม่ได้ จึงถูกขับให้พ้นไปเสีย"

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับฟังแล้ว ตรัสว่า
"ดูก่อนสารีบุตร มิใช่ในบัดนั้นเท่านั้น ที่เขาไม่อาจทำลายมิตรภาพได้ แม้ในกาลก่อน คนกินเดนนี้ ก็เคยคิดว่า จะทำลายพวกเธอเสีย แต่เมื่อทำลายไม่ได้ จึงต้องหนีจากไป"

พระมหาเถระทั้งสองทูลอาราธนา (นิมนต์ ) พระศาสดาจึงตรัสเล่าให้ฟัง


ในอดีตกาล ณ ป่าแห่งหนึ่ง อันเป็นที่อาศัยอยู่ของราชสีห์กับเสือโคร่ง ทั้งสองพักอยู่รวมกัน ในถ้ำแห่งหนึ่ง ของป่านั้น โดยไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันเลย ต่างก็สนิทสนมรักใคร่เป็นมิตรที่ดีต่อกัน

เหตุการณ์ต่างๆ ของสัตว์ทั้งสองนี้ ถูกเฝ้ามองดูอยู่ โดยรุกขเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ในป่านั้น

วันหนึ่งมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง ผ่ายผอมหิวโซมา เที่ยวหาอาหารกินไม่ได้เลย เมื่อมาพบซากสัตว์ ที่เป็นอาหาร เหลือเดน ของราชสีห์กับเสือโคร่งแล้ว จึงได้ใช้ประทังชีวิตสืบไป มันจึงเกิดความคิด อย่างมักง่ายว่า

"ทำไมเราจะต้องเที่ยวหากินให้เหนื่อยยากลำบากด้วยเล่า หากเราคอยติดตามสัตว์ทั้งสองนี้อยู่ ย่อมมี เดนอาหาร ให้เราได้กินอย่างสบายๆ"

ดังนั้นสุนัขจิ้งจอกจึงอาสาคอยรับใช้ราชสีห์และเสือโคร่ง ได้กินเดนจากสัตว์ทั้งสองเสมอมา จนกระทั่ง สุนัขจิ้งจอก มีร่างกายสมบูรณ์ใหญ่โต เพราะได้กินเนื้อสัตว์ นานาชนิดมากมาย ทำให้เกิดความโลภ คิดอยู่ในใจว่า
"เนื้อใดๆ เราก็เคยกินมาแล้ว แต่เนื้อของราชสีห์กับเสือโคร่ง เรายังไม่เคยลิ้มลองเลย เราน่าจะทำให้ สัตว์ทั้งสองนี้ ทะเลาะกัน แตกแยกกัน ฆ่ากัน เราก็จะได้ลิ้มรสเนื้อของสัตว์ทั้งสองแน่ๆ"

คิดแล้วก็ออกอุบายเข้าไปหาราชสีห์ เอ่ยยั่วยุว่า "ข้าแต่นาย ท่านไปมีเวรเกลียดชังอะไรกับเสือโคร่งหรือไม่"

ราชสีห์ตอบอย่างสงสัยว่า "เวรอะไรกันเล่า ?"

"อ้าว ข้าแต่ท่านผู้มีเขี้ยวงาม เสือโคร่งได้กล่าวดูหมิ่นเหยียดหยามท่าน ว่าราชสีห์ ย่อมมีลักษณะสูงใหญ่ ด้อยกว่าเรา มีผิวพรรณด้อยกว่าเรา มีชาติด้อยกว่าเรา เช่นนี้แหละ"

ราชสีห์ได้ยินคำบอกเล่านั้นแล้ว มิได้มีจิตกระเพื่อมอ่อนไหวแต่ประการใด เพียงคำรามว่า
"เจ้าจงไป เสียเถิด เสือโคร่งย่อมจะไม่กล่าวเยี่ยงนี้"

เมื่อแผนชั่วไม่เป็นผล สุนัขจิ้งจอกจึงไปล่อลวงเสือโคร่งบ้าง ในลีลาทำนองเดียวกัน พอเสือโคร่ง ได้ฟัง ดังนั้นแล้ว อดใจไว้ไม่ได้ จึงเผ่นโผนเข้าไปหาราชสีห์ แล้วสอบถามว่า
"เพื่อน จริงหรือที่ท่านกล่าวหมิ่นเราว่า เสือโคร่งย่อมมีลักษณะสูงใหญ่ด้อยกว่าเรา มีผิวพรรณด้อยกว่าเรา มีชาติด้อยกว่าเรา มีกำลังกายด้อยกว่าเรา และมีความเพียรด้อยกว่าเรา"

ราชสีห์ฟังแล้ว ก็กล่าวตอบด้วยอาการสงบแต่หนักแน่นจริงจังว่า
"แน่ะ เพื่อนรัก ถ้าท่านจะประทุษร้ายเรา ผู้อยู่กับท่านมาเนิ่นนานปี อย่างนี้เราก็ไม่พึงยินดี อยู่ร่วมกับท่าน ต่อไป เพราะผู้ใดเชื่อฟังคำของคนอื่น โดยถือเป็นจริง ผู้นั้นต้องพลันแตกแยกจากมิตร และ ต้องประสบ เวรภัย เป็นอันมาก จะมุ่งความแตกร้าว คอยแต่จับผิด ผู้นั้นไม่ชื่อว่าเป็นมิตร แต่ถ้าผู้ใด ไม่ประมาททุกขณะ คนอื่นมายุ ให้แตกกันไม่ได้ ไม่มีความระแวงกัน ไม่มีความรังเกียจมิตร นอนอยู่ร่วม อย่างปลอดภัย เสมือน บุตรนอน แนบอกมารดา ฉะนั้น ผู้นั้นนับได้ว่า เป็นมิตรแท้"

เมื่อราชสีห์กล่าวคุณของมิตร และโทษของการหูเบาเชื่อง่ายแล้ว เสือโคร่งก็ได้สติรู้ตัว หายระแวงแคลงใจ จึงทำอาการคารวะแก่ราชสีห์ แล้วกล่าวว่า
"เพื่อนเอ๋ย โทษผิดนี้เป็นของข้าพเจ้าเอง ขอขมาต่อท่านด้วยเถิด"

สัตว์ทั้งสอง จึงได้อยู่กันอย่างเป็นสุข มีความพร้อมเพรียงรักใคร่กันดังเดิม ส่วนสุนัขจิ้งจอก ได้แอบหลบหนี ไปอยู่ที่อื่นแล้ว โดยไม่กล้ากลับมาที่นี้อีกเลย


พระศาสดาทรงแสดงชาดกนี้จบแล้ว ตรัสว่า
"สุนัขจิ้งจอกในกาลนั้น ได้มาเป็นคนกินเดนในกาลนี้ ส่วนราชสีห์ได้มาเป็นพระสารีบุตรเถระ เสือโคร่ง ได้มาเป็น พระโมคคัลลานเถระ ส่วนเทวดาผู้เห็นเหตุการณ์ ได้มาเป็นเราตถาคต"
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ� ๗๕๓ อรรถกถาแปลเล่ม ๕๘ หน้า ๗๙๓)

เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๓ มิถุนายน ๒๕๔๕

เราคิดอะไร