-
เสฏฐชน -
กัดหมา
คำโบราณที่บอกเป็นเชิงสอนว่า "หมากัดอย่ากัดตอบ"
นั้นเป็นนัยคำปราม ให้คนนำมาเตือนสติตัวเอง ไม่ให้ลุอำนาจ แก่ความโกรธ
ให้หัดยับยั้งอารมณ์ตัวเอง ยิ่งหากเป็นความทุกข์ ความอัดอั้นตันใจ
ที่เกิดมาจาก "พฤติกรรมเลว" ที่คู่กรณีก่อขึ้นก่อน เราไม่มีความผิดอะไรเลย
จะเหตุมาแต่ ความเข้าใจผิด หรือไม่เข้าใจ ของคนใดคนหนึ่งก็ตาม เรายิ่งไม่ควรที่จะนำมาร้อนใจ
ผู้รับการปรึกษา จะสะกิด ให้ผู้มาปรึกษา ระลึกรู้สึกตัว ด้วยประโยคตัดบทสั้นๆ
ดังกล่าว เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนใจ ไม่นำความไม่ดี ของคนอื่น มาทำให้ใจตัวเองหวั่นไหว
นั่นคือการโยงภาพ ให้เห็นชัดเจนว่า "ก็หมากัดน่ะ
อย่าไปกัดตอบเลย" นั่นเอง
เมื่อได้ยินคำเตือนสติเช่นนี้
ก็ทำให้หัวใจ ที่กำลังรุ่มร้อนนั้น คลายหายไปได้เหมือนกัน แต่มาถึงยุค
๒๕๔๕ เป็นเรื่องกลับกัน เพราะมีข่าวเกมกีฬา ชนิดใหม่เกิดขึ้น เย้ยหยันคนให้ได้อายยิ่งกว่า
นั่นคือ "กีฬากัดหมา" ที่คนจัดขึ้น
ไม่ต่างจาก กีฬาม้าแข่ง ทางภาคกลาง กีฬาวัวชนทางปักษ์ใต้ กีฬาชนไก่ทางอีสาน
ฯลฯ ล้วนเป็นกรรมวิธี นำเอาสัตว์ต่างๆ มาก่อทารุณกรรม เพื่อสนองความสนุกสนาน
มันหัวใจของคนทั้งสิ้น ไล่ระดับไปจนกระทั่ง "กีฬามวย" ที่เอาคน
มาชกต่อยกัน จนตายคาเวทีผ้าใบนั่นเทียว
แต่ก็ไม่แปลกประหลาดอะไร
เมื่อมวยระดับโลกก็โด่งดัง ได้รับการสนับสนุน จากวงการสังคมอยู่ คนชกกัน
จนเลือดตก คิ้วแตก หัวใจวาย ต้องหามลงจากเวทีผ้าใบก็มี โดยการเอาตำแหน่งแชมป์
มาเป็นเหยื่อล่อ หรือ เอาเงินรางวัล มาล่อหลอก ก็ไม่ต่างกับกีฬา ที่นำสัตว์เดรัจฉาน
มากัดกัน เพราะในวงการ "หมากัด" ก็มุ่งเป้า เงินพนันที่ได้รับ
มุ่งเป้าชื่อเสียง "เจ้าของหมาตัวเก่ง" ที่ได้แชมป์จากการลงสังเวียน
ของหมาตัวนั้นเช่นกัน
ตามประวัติชาวโรมัน
ชาวกรีกสมัยก่อนที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์คริสต์ศาสนาว่า มีศาสดาพยากรณ์
ท่านหนึ่ง ในสมัยพระเยซู ถูกกษัตริย์องค์หนึ่ง ของอียิปต์สั่งฆ่า โดยการให้ต่อสู้กับสิงโต
คนอ่านในยุคนี้ จะรู้สึก หวาดเสียว ทารุณ ทนไม่ได้ แต่ลืมไปว่ายุค
๒๕๔๕ นี้ก็นิยมตื่นเต้น สนุกกับกีฬา ชนวัวกระทิง กีฬาชนวัว กีฬาหมากัด
มันก็ไม่ต่างอะไรกับกีฬา สู้สิงโต ในยุคโบราณครั้งกระโน้น เพราะเกิดจาก
จิตโทสะ จิตโลภะ ตัวเดียวกัน
ต่อไปนี้เรื่องหมาๆ
คงไม่ใช่เรื่องเล็กเสียแล้ว เพราะในด้านการทำมาหากิน ข่าวที่ทางตำรวจ
คอยจับคนที่ เอาหมาไปใส่เสื้อ ใส่หมวก ไปนั่งทำอาการ ตามที่เจ้าของบอก
ตามที่สาธารณะต่างๆ เพื่อหาเงิน เลี้ยงชีวิต ก็มีมาแล้ว จนแยกแยะไม่ออกว่า
"คนเลี้ยงหมา" หรือ "หมาเลี้ยงคน" (บางคนก็คงว่า
"ต่างก็เลี้ยงซึ่งกัน และกัน") แต่ถ้านำเอา "เจตนา"
มาเป็นที่ตั้ง ก็คงจะได้คำตอบสุดท้าย
เรื่องการทำมาหากินด้วยการเอาสัตว์มาเป็นเครื่องมือ
มีมาแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ตั้งแต่ยุคคนป่าคนถ้ำ จนกระทั่ง ถึงยุคคนเมือง
เพราะคนกับสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิต ที่สื่อสารกันได้ด้วยภาษาท่าทาง ภาษาใจ
ได้ไม่น้อย ยิ่งคนในยุค ที่มีชีวิตอยู่ ด้วยการทำเกษตรกรรมกสิกรรม
คนกับสัตว์จำพวกช้าง วัว ควาย ยิ่งใกล้ชิดกัน อาศัยซึ่งกันและกัน แทบจะกินนอนด้วยกันทีเดียว
เรื่องนี้ชาวนาชาวไร่ย่อมรู้ดี การคมนาคม เพื่อนำพืชผล ไปขาย การเดินทางไปมาหาสู่กัน
ผู้คนก็ต้องอาศัยช้าง ม้า ลา ล่อ แม้การรบ ก็ต้องอาศัยสัตว์ใหญ่ เป็นพาหนะ
เป็นยุทโธปกรณ์ส่วนหนึ่ง คนกับสัตว์ จึงคบหากันด้วยไมตรี ที่ค่อนข้างดี
มีกระแส "ความเมตตา" ผสมผสานอยู่ประมาณหนึ่ง แม้ปัจจุบัน
คนที่เลี้ยงลิงไว้ขึ้นต้นมะพร้าว ทางปักษ์ใต้ จนกระทั่ง เปิดโรงเรียน,
วิทยาลัยสอนลิงก็เป็นไปได้ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ ในการทำมาหากิน เป็นสาระ
พอได้สัดส่วนเหมาะ คนกับสัตว์จึงเป็น "เพื่อนกัน" อยู่
หมาเป็นสัตว์ที่อยู่ใกล้ชิด
คลุกคลีกับคนมากที่สุด แม้การสื่อความหมาย ก็รับกันได้ยิ่งกว่าสัตว์ใดๆ
บางคน รักหมา จนกระทั่งคนด้วยกัน ริษยา วางยาเบื่อหมาก็มี
แต่เมื่อยุคอุตสาหกรรมฟูเฟื่องมากขึ้น
จนกระทั่งมาเป็นยุคเครื่องยนต์กลไก ปรมาณู คอมพิวเตอร์ บทบาท ความสัมพันธ์ต่อสัตว์
ที่คนจะนำมาเป็น เครื่องมือทำมาหากิน ไม่ว่าจะเป็น ด้านการเดินทางด้วยม้า
ทำไร่ด้วยช้าง ทำนาด้วยควาย ลากเกวียนด้วยวัว ฯลฯ ก็หมดไป ความรู้สึกผูกพัน
ใส่ใจในสารทุกข์สุข ของสัตว์ทั้งหลาย จึงน้อยลงๆ เพราะคนคิดว่า ไม่ได้รับประโยชน์
จากสัตว์เหล่านี้แล้ว ไยจะต้องไปเอื้ออาทร ตามสัญชาตญาณของ "ความเห็น
แก่ตัว" ที่มีมาโดยธรรมชาติ ความรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ ถูกแย่งชิง
จึงเกิดขึ้น ความเกี่ยวพันระหว่างสัตว์กับคนจึงเปลี่ยนแปลงไป จากฐานะ
เป็นการอาศัย พึ่งพากันและกัน มาเป็นการ สนองอารมณ์แทน
เมื่อมีนาฬิกาบอกเวลาได้แทนไก่ขัน
มีเครื่องยนต์ทำนาแทนควาย มีรถกระบะแทนเกวียนเทียมวัว มีรถแทรกเตอร์
แทนช้าง ฯลฯ ไฉนจะต้องไปคำนึงถึง จิตใจของสัตว์ต่างๆ ให้เสียรายได้
เสียเวลาในเมื่อ "เวลาเป็นเงินเป็นทอง" ในความรู้สึกของคน
"ยุคทุนนิยม" รุ่นนี้
ไก่ย่างเคนตั๊กกี้
หมาย่าง เนื้อโกเบ ฯลฯ จึงเป็นเมนูใหม่ๆ เกิดปรากฏการณ์ "เปิบพิสดาร"
เพิ่มขึ้นๆ แม้ราคา จะแพง ชนิดที่คนระดับล่าง ไม่มีโอกาสลิ้มชิมเลยก็ตาม
การชดเชยสิ่งที่ขาดผลประโยชน์ที่คิดว่าคนจะได้รับจากสัตว์ทั้งหลายในอดีต
ที่ใช้เป็นแรงงาน ทำมาหากิน ตั้งแต่ การบุกป่าฝ่าดง ขนย้าย แบกหาม
ต่อสู้ ไปจนกระทั่ง นำออกแสดง ตามงานต่างๆ ระดับงานวัด งานเทศกาล งานละครสัตว์
ฯลฯ จึงถูกแปรมาเป็น "งานกีฬา"
ทดแทน
กีฬาชนวัว กีฬาวิ่งควาย
กีฬาชนไก่ กีฬาม้าแข่ง จนกระทั่งมาถึง "กีฬากัดหมา"จึงเกิดขึ้นได้
อย่างไม่ต้อง สงสัย การสั่งสมความหยาบ ความแรง ในความติดรสชาติ ตั้งแต่ติดรสชาติหยาบๆ
เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด จนกระทั่ง ติดในรสชาติทางอารมณ์ เช่นอารมณ์ร้อน
อารมณ์เย็น อารมณ์แรง อารมณ์อ่อน อารมณ์มัน ฯลฯ ทำให้คนแสวงหา "สัมผัส"
มาสนองอารมณ์เหล่านั้น ให้สาแก่ใจ จึงเกิดกีฬา ต่อยคน ปล้ำคน (มวยชก,
มวยปล้ำ) และต่อๆ ไปก็จะเป็นกีฬาเอาคนมาฆ่ากันเอง หรือเอาคน มาต่อสู้
กับสิงโต ต่อสู้กับเสือ เหมือนอย่าง สมัยโรมัน สมัยกรีก สมัยอียิปต์นั่นแหละ
เพราะมันเป็นพัฒนาการ ของการเพิ่มสีสัน รสชาติ การเสพความมันทางอารมณ์
ของคนทั้งสิ้น
เขาไม่รู้สึกว่า
"สงสาร" ในความ "เจ็บปวด"
ในความ "ทุกข์" ของสัตวโลกใดๆ
เพราะคนเป็นเจ้าชีวิต ของสัตวโลกทั้งหมด ออกมาในรูปของ เจ้าของฟาร์มเลี้ยงไก่ฟาร์มเลี้ยงวัว-ควาย
คอกม้า ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ นานาชนิด ทั้งทำธุรกิจประเภท ผสมพันธ์ขายตัว
ขายเนื้อ ขายอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์
การดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่รอดของสัตวโลกทุกชนิด
รวมถึงคนด้วย อาศัยสัญชาตญาณ ป้องกันภัยให้แก่ตัวเอง โดยวิธีทำร้าย
คนอื่นก่อน ไม่ยกเว้นกระทั่ง ความคิดของคน จึงทำให้คนประดิษฐ์อาวุธ
ขึ้นมาเพิ่มเติม จากการ "จับสัตว์มาฝึก" เพื่อให้ทำร้ายแทนคน
เช่นฝึกหมาไปจับคน ฝึกช้างออกศึก คนเองก็ล่าสัตว์ แล้วคน ก็สอนสัตว์
ให้ไปล่าสัตว์ล่าคนอีกและอีก....ต่อๆ ไป เป็นวัฏจักรวงจร ของการเบียดเบียนกันและกัน
ลำพังความดุร้ายของสัตว์
และคนที่มีมาโดยกำเนิดก็มิใช่น้อยแล้ว ยิ่งมาเพิ่มเติม ผสมระหว่างคน
กับสัตว์ด้วย จะเพิ่มดีกรีของความโหดร้ายขึ้นเพียงใด?
สัตว์กินสัตว์ สัตว์กัดกันเพื่อแย่งชิงที่อยู่
ผืนแผ่นดินอาศัยกัน สัตว์แย่งการติดสัด แล้วสัตว์ยังต้องมา เป็นเครื่องมือ
ของคนในการก่อกรรม ในทำนองเดียวกันอีก ตรองดูเถิดว่า "เวรกรรม"
นั้นจะเพิ่มพูน อีกเท่าไร???
สัตว์ที่ถูกคนนำมาเป็นเกมกีฬาต่อสู้กัน
จนกระทั่งถึงแก่ความตาย อาจถูกตราหน้าว่า เพราะมันเป็นสัตว์ "เดรัจฉาน"
ที่โง่เง่าเต่าตุ่น แต่คนที่ถูกแนะถูกนำ ถูกค่านิยมในเชิงให้เพิ่ม
ความโหดร้ายทารุณ เพิ่มความโลภ มากขึ้น จนกระทั่ง "คนกัดกันเอง"
รวมไปถึงกัดทุกสิ่ง ทุกอย่างที่ตนจะมีโอกาสกัดได้นี่สิ จะน่าสมเพชกว่าเพียงใด
ยิ่งเมืองไทยที่ชื่อว่าเป็น
"เมืองพุทธ" มีพุทธศาสนิกชนในทะเบียนกว่า ๙๖% จะทำเมิน มองผ่านในเรื่องนี้หรือ
คนที่ได้ชื่อว่าเป็น "สัตว์ประเสริฐ"
ควรจะเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองภัยให้แก่สัตว์อื่นๆ ที่ต่ำต้อยด้อยกว่า
แต่กลับเป็น ผู้กระทำประทุษร้าย สัตว์อื่นเสียเอง เรื่องในทำนองนี้
เคยเกิดมาแล้ว ตั้งแต่ครั้งที่ เจ้าชาย สิทธัตถะ โต้แย้งด้วยเหตุผล
ในการเป็นเจ้าของครอบครอง "หงส์ตัวที่ถูกยิง" ที่พระเทวทัตยิงมาตก
ตรงหน้าเจ้าชายสิทธัตถะ ที่พระองค์นำมาเยียวยา แต่พระเทวทัต อ้างความเป็นเจ้าของธนู
ที่ยิงให้หงส์ ตกลงมา นัยความเป็นคนเหนือกว่าสัตว์ ประเสริฐกว่าสัตว์
ก็น่าจะมองให้ลึกซึ้ง ในรูปรอยเชิงนี้
"ผู้ประทุษร้ายสัตว์อื่น
หาชื่อว่าเป็นคนรัก ตัวเองเลย ผู้ที่รู้ว่าไม่มีอะไรเป็นที่รักยิ่งกว่าตน
ไม่ควรประทุษร้าย สัตว์อื่น เพราะการประทุษร้ายสัตว์อื่น ชื่อว่าเป็นผู้ประทุษร้ายตน"
พระพุทธพจน์
กล่าวไว้เช่นนี้
ความโมหะ อวิชชา
เป็นเครื่องปิดบังทำให้คนมองไม่ออกว่า "การทำร้ายสัตว์ทำร้ายคนอื่น"
ทั้งทางกาย วาจา ใจ ไม่ว่าจะเป็นการทำร้าย ด้วยการใช้อาวุธ ใช้อวัยวะจนกระทั่ง
เลือดตก ตาย หรือ ทำร้ายด้วยวาจา ให้เจ็บปวด หรือการทำร้ายด้วยความคิดทางใจ
ล้วนเป็นการทำร้ายตัวเอง เป็นการปลูกฝัง "วิญญาณ
ที่ชั่วร้าย" ให้แก่ตนเองทั้งสิ้น
เมื่อ "วิญญาณชั่วร้าย"
เสียแล้ว อะไรในโลกทั้งหมดทั้งสิ้น ก็ย่อมดีไม่ได้แน่นอน เพราะทุกอย่างในโลก
ล้วนเป็นสังขาร ที่เกิดขึ้นจาก "คน" เป็นผลพลอย เป็นผลขยาย
เป็นผลสืบเนื่อง เพราะคนมีวิญญาณ ที่มีพลัง ยิ่งกว่าวิญญาณใดๆ ในโลก
เมื่อวิญญาณใหญ่
วิญญาณอันมีประสิทธิภาพที่สุด อันเป็นบ่อเกิดของวิญญาณทั้งหมด เลวเสียแล้ว
จะหาวิญญาณที่ดีๆ ได้จากที่ไหน?
เรื่องไร้สาระอื่นๆ
คนยัง "กัดไม่ปล่อย" กันได้ จะต้อง "เอาเรื่อง"
ให้ถึงที่สุด ดูได้จากกรณี การแย่งชิงมรดก จากข่าวหนังสือพิมพ์ต่างๆ
ทำไม? ผู้มีหน้าที่ที่จะใช้สิทธิ์ในการหยุด ห้าม เรื่องไร้สาระทั้งหลาย
จะหันมา "กัดไม่ปล่อย" ในการ "เอาเรื่อง" กับพวกนี้บ้าง
ในเมื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชน
ขึ้นอยู่กับปริมาณ ความหนักแน่นของคุณธรรม ผู้ปกครองประเทศ ที่จะเอื้อความเมตตา
ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
การพนันขันต่อของชีวิตทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็นการพนันด้วยเดิมพันเงินทอง ข้าวของ ชีวิต ล้วนเป็นสิ่งที่
คนหลงใหลกันอยู่ โดยพื้นฐาน เป็นการพนันที่ทำให้ เสียทรัพย์สมบัติ
เสียชื่อเสียง เสียชีพ แต่คงไม่ร้ายแรง เท่า
"เสียนิสัย"
เพราะการ "เสียนิสัย"
(คือนิสัยดีๆ ถูกทำลายหายไปหมด เหลือแต่นิสัยชั่วๆ นิสัยเลวๆ) เป็นการสูญเสีย
ที่ยิ่งใหญ่ เพราะ "คนที่ยังมีชีวิต แต่นิสัยเสีย"
นี่แหละที่เป็นเหตุใหญ่เหตุแท้ ของการ "ทำให้เกิดอะไรๆ ที่เสียๆ"
ทุกอย่าง
ต่อนี้ไป คำว่า
"ปากหมา" ก็คงจะไม่แย่กว่า "ปากมาก"
"หมากัด"
ก็คงไม่แย่กว่า "กัดหมา"
ถ้าคนไม่ "แผ่เมตตา"
ในเรื่องหมาๆ ก็คงจะต้อง "เสียคน" เพิ่มขึ้นแน่ๆ เทียว
สัตว์ทั้งหลายล้วนต้องการความสุข
ผู้ที่ต้องการความสุข
แต่เบียดเบียนสัตว์อื่น
ตายไปแล้วย่อมไม่ได้รับความสุข
พุทธวจนะ |
(เราคิดอะไร ฉบับที่
๑๔๓ มิถุนายน ๒๕๔๕)
|