การศึกษา พาให้ฉลาดได้ จริงหรือ?
ก็คงต้องขออนุญาตนำทัศนะของอาจารย์ท่านหนึ่ง
ซึ่งเธอเป็นนางสาวไทยอีกต่างหาก แต่เมื่อไม่นานมานี้ เกิดเป็นเรื่อง
ฮือฮากันขึ้นมา เพราะเธอยอมถ่ายภาพ โฆษณาละครเรื่อง "ต้นรักดอกงิ้ว"
โดยอนุญาต ให้เขาแต่งภาพ จนอยู่ในสภาพ ไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นปิดเรือนกาย
ความจริงตอนเธอได้เป็น นางสาวไทยใหม่ๆ เธอมีความตั้งใจดี อยู่หลายๆ
เรื่อง แต่หลังจากนั้น เธอเปลี่ยนไป เพราะเหตุใด น่าติดตาม...
เมื่อตอนได้เป็น นางสาวไทยใหม่ๆหมาดๆ
เธอได้ให้สัมภาษณ์ นิตยสารขวัญเรือน เมื่อเดือนมิถุนายน ปี ๒๕๔๓ เอาไว้ว่า
Q ทราบมาว่าคุณบุ๋มตัดสินใจลงสมัครประกวดนางสาวไทย
ในวินาทีสุดท้าย
A บุ๋มมีเหตุผลหลายเหตุผลที่ทำให้ตอนแรก ไม่อยากจะมาประกวด อย่างแรกก็คือ
บุ๋มเป็นอาจารย์ กลัวภาพพจน์ออกมาจะแรง กลัวคนจะว่า เป็นอาจารย์แล้ว
ออกมาประกวด มันสมควร หรือไม่สมควร แต่พอมาดูรูปแบบ และจุดประสงค์ของการประกวด
ทำให้เราเห็นว่า ไม่เสียหาย และแถมยังมีเกียรติอีกด้วย ก็คือไม่มีการ
ใส่ชุดว่ายน้ำ มีการสอบข้อเขียน สอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ มีการดูกัน
ตอนไม่แต่ง หน้าเลย แต่ละอย่างบอกว่า ทำเพื่อจะทดสอบ ถึงคุณสมบัติ
ของผู้หญิง
จริงแล้วกับการเป็นทูตวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ
เน้นความสามารถอย่างสูง ไม่ใช่เป็นการ ได้ตำแหน่ง เพื่อไปแข่งขัน กับประเทศอื่นๆ
แล้วก็จบกัน
Q ในฐานะที่เป็นอาจารย์แล้วมาประกวด
หวั่นใจเรื่องอะไรมากที่สุดคะ
A กลัวว่า...อืม ยังไงดีล่ะ คือช่วงหลังๆ นี่การประกวดค่อนข้างจะเป็นเชิงธุรกิจ
คนมองเรื่อง การประกวด ในแง่ลบ มากขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าเขาจะเหมารวม
เกรงว่าเขาจะไม่เปิดใจ เกรงว่าเขาจะมองเรา ที่ภาพลักษณ์ เท่านั้น มองแบบเหมารวม
โดยไม่มองตัวตนที่แท้จริงของเรา ว่าเหมาะสมหรือไม่ กลัวอย่างนั้นมากกว่า
Q แล้วกับการประกวดความงามอีกเวทีหนึ่งก่อนหน้านี้
ไม่ลงสมัครเวทีนั้นเพราะอะไรคะ
A ไม่ไป เพราะมีชุดว่ายน้ำค่ะ
Q ตรงนี้คือประเด็นสำคัญในการตัดสินใจของคุณบุ๋ม
A ใช่ค่ะ เพราะไม่ว่าการประกวดอะไรก็ตาม ถ้ามีชุดว่ายน้ำ คงไม่เหมาะสมกับสิ่งที่บุ๋มเป็น
เพราะบางที บุ๋มเห็น เวลามีประกวดชุดว่ายน้ำแล้ว เห็นคนที่มาดูการประกวด
เขาใช้กล้องส่องทางไกล ดูผู้ประกวด เราเกร็งนะ เกร็งมากเลย ขนาดบุ๋มใส่ชุดว่ายน้ำ
ไปว่ายน้ำตามสระปกตินี่ บุ๋มยังต้องวิ่งลงสระ ให้เร็ว ที่สุดเลย ยิ่งถ้าจะไปยืนบนเวที
แล้วให้ใครมาส่องขนาดนั้น ตัวบุ๋มเองคงสั่นน่ะ
Q เป็นคนขี้อายหรือคะ
A จริงๆ แล้วไม่ใช่นะ ขนาดบนเวทีในวันประกวด ยังไม่ตื่นเต้นเลย ใช้คำนี้ได้เลย
แต่ถ้าจะเห็นใคร มาส่องดู นี่จะเขิน แค่วันที่บุ๋มต้องใส่ชุดว่ายน้ำ
ให้เฉพาะคณะกรรมการดูนี่ บุ๋มสั่นมากเลย เข่านี่สั่นดึกๆ ตีกันเลย
Q พูดถึงแผนอนาคตอันใกล้นี้ให้ฟังบ้างสิคะ
A พอพ้นตำแหน่ง บุ๋มจะกลับไปเป็นอาจารย์ แต่ก็จะพยายามทำหน้าที่ ทูตวัฒนธรรม
และ การท่องเที่ยว เหมือนเดิม และจะช่วยงานการกุศลต่อ เท่าที่จะทำได้
สำหรับเรื่องแผนการเรียน บุ๋มอยากจะเรียนต่อ ด็อกเตอร์ เพื่อที่จะกลับมาเป็นอาจารย์
เป็นนักวิชาการ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุด ในชีวิตตอนนี้
หลังจากที่ได้ทำหน้าที่นางสาวไทยจนหมดวาระแล้ว
ความคิดที่จะทุ่มเท ให้การเรียน ในระดับปริญญาเอก ยังมีต่อ จึงก่อให้เกิดตำนานของมงกุฎหนาม
น้ำตาเดือด กับปนัดดา วงศ์ผู้ดี ซึ่ง น.ส.พ.มติชน ฉบับวันที่ ๒๑ มีนาคม
๒๕๔๕ ได้สัมภาษณ์ เธอดังนี้ :
Q ก่อนถ่ายรู้ไหมว่าต้องนำภาพไปรีทัชอีก
A รู้...เขาก็บอกแต่บุ๋มมองว่าไม่เป็นไร บุ๋มมองภาพไม่ออกว่า ถ้าลบสะโพก
มันจะออกมาโป๊ขนาดนี้ คิดว่า มันคงเห็นหน้าอก กับหน้าแข้งเท่านั้น
Q พ่อแม่รู้เรื่องนี้ว่าอย่างไรบ้าง
A ตอนไปถ่าย คุณพ่อคุณแม่ไปดูด้วย ท่านไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่คุณพ่อบอกว่า
ให้ยอมรับผลที่จะตามมานะ ถ้าเกิดถ่ายรูปออกมาแล้ว บุ๋มจะดึงภาพนางสาวไทยกลับมาไม่ได้อีกแล้วนะ
ตอนนั้นบุ๋มก็เข้าใจ ในเมื่อเรา จะเดินมา ในวงการการแสดงแล้ว เราอยากทำให้เต็มที่
เพราะเมื่อตอนเป็น นางสาวไทย บุ๋มก็ทำหน้าที่ เต็มแล้ว เวลาบุ๋มทำงาน
บุ๋มจะทำแบบทุ่มเท
Q คิดยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น
A มีคนเคยบอกบุ๋มว่า ความเป็นนางสาวไทย จะติดตัวบุ๋มไปตลอดชีวิต ตอนแรกคิดว่า
มันไม่จริง แต่มาถึง วันนี้ มันออกจากตัวเรายาก เรื่องที่เกิดขึ้นบุ๋มเหนื่อยมาก
ท้อมาก ถ้าเขาอยากให้บุ๋ม เป็นนางสาวไทย ไปตลอด คุณก็ป้อนงานมาให้บุ๋มบ้างซิ
ไม่ใช่ให้บุ๋มอยู่บ้านเฉยๆ งานนางสาวไทยก็ไม่มี งาน ททท.ก็ไม่มี แล้วบุ๋มจะเอาเงินที่ไหน
มาใช้ในการเรียน
Q ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง
A ที่ทุ่มเทมากที่สุดคือเรื่องการเรียน ตอนนี้เรียนปริญญาเอก คณะบริหาร
ที่ Northum Bria นิวคาสเซิล ประเทศ อังกฤษ
อยู่ปี ๒ เป็นการเรียนรูปแบบใหม่ เรียนทางอินเตอร์เน็ต ทุกอาทิตย์
จะต้องนั่งคุยกับอาจารย์ ทางอินเตอร์เน็ต ค่าเรียนเทอมละ ๒ แสนบาท
ปีหนึ่งเรียน ๓ เทอม ค่าใช้จ่ายปีละ ๖ แสนบาท นี่ยังไม่รวม ค่าตั๋วเครื่องบิน
ค่าใช้จ่าย และจะให้บุ๋มนั่งรองานคงไม่ได้ บุ๋มจะทำยังไง เพราะบุ๋มต้องดูแลชีวิตตัวเอง
พ่อ แม่ งานไอทีวีก็ไม่ป้อนหนูเลย หรือไปงานทั้งวันได้ ๒ พันบาท แต่ถ้าหนูรับงานอื่นๆ
บางทีเฉลี่ย อย่างต่ำ วันละ ๔ หมื่นบาท
เรื่องสอนหนังสือก็ไม่ค่อยได้ไปสอนแล้ว
จะไปสอนเป็นครั้งๆ เป็นกรณีพิเศษนานที สอนเรื่องการจัดการ โรงงาน การจัดการคุณภาพ
ซึ่งที่มหาวิทยาลัยไม่มีผล กระทบกับการถ่ายภาพเลย...
ถ้าดูข่าวนิสิตนักศึกษาฆ่าตัวตาย
เพียงแค่ได้เกรดออกมาไม่ดี หรือเมื่อเร็วๆ นี้ข่าวในหน้าหนึ่งของ น.ส.พ.
ยักษ์ใหญ่ ที่นักเรียนผูกคอตาย เพราะไม่สามารถจะไปเรียนต่อ ในระดับมหาวิทยาลัยได้
ทั้งที่เป็น นักเรียน ที่เรียนดี และมีความประพฤติดี ของจังหวัดอุบลราชธานี
และข่าวที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้น ก็คือนิสิต นักศึกษา พากันขายตัว เพื่อหารายได้ในช่วงปิดเทอม
จนราคาค่าตัวตก ดูแล้วก็น่าว้าเหว่ กับการศึกษา ทุกวันนี้ เพราะขนาดคนระดับอาจารย์
ก็ยังคิดกันได้เพียงแค่นี้.
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๔๓ มิถุนายน ๒๕๔๕)
|