เด็กวันนี้ต้องใฝ่ดีในวันหน้า
เสียงจักจั่นร้องระงมไปทั่วแนวป่าประสานเสียง
นกน้อย ที่โผบินออกหาอาหาร ราชสีห์เจ้าป่า ไล่ล่ากวางน้อยได้ และกัดกิน
จนอิ่มหนำ แล้วเอนตัวลงนอนทับพงหญ้า ที่อ่อนนุ่มกลางป่าโปร่ง มันไม่ใส่ใจไยดีเสียงนก
เสียงกา ที่ขับขาน อยู่บนแมกไม้ หมู่แมลงวัน ที่พากันบินมาตอม กลิ่นคาวเลือด
ในกรงเล็บ และตามขน ริมปาก ของมันนั้นต่างหาก ที่เจ้าป่ารำคาญ เป็นที่สุด
แต่มันก็จำนน ทำได้แต่สะบัด หนังและขน ให้สั่นไหวไปมา พร้อมเอาขาไปพาดปิดหน้าไว้
มันหลับได้ไม่นาน ก็สะดุ้งตื่น เมื่อรู้สึกว่า มีอะไรยุกยิกอยู่บนลำตัว
มองไปเห็น เจ้าหนูน้อย กำลังไต่อยู่ จึงตะปบทันที แล้วคำราม ด้วยความโกรธเคืองว่า
"เจ้าหนูสกปรก ทำไมเจ้าถึงบังอาจ ขึ้นมาไต่ อยู่บนตัวของข้า ข้าจะส่งเจ้าไปนรกเดียวนี้แหละ"
เจ้าหนูน้อย ตัวสั่นงันงก ด้วยความกลัว ละล่ำละลักว่า "อย่าพึ่งฆ่าฉันเลย
ท่านราชสีห์ผู้เป็นเจ้าแห่งป่า ฉันขออภัย ที่ซุกซน ซุ่มซ่าม ไปวิ่งอยู่บน
หลังของท่าน ขอได้โปรดเมตตาไว้ชีวิตฉันเถิด วันหน้าหากว่าท่านตกระกำลำบาก
ฉันอาจจะช่วย ท่านได้" ราชสีห์เจ้าป่า คำรามลั่น "ข้าเป็นเจ้าป่ามี
พละกำลัง ที่สามารถ จะล้มวัวควายก็ได้ ส่วนเจ้า ก็แค่หนูสกปรก ตัวกระจ้อยร่อย
จะมีปัญญาอะไร มาช่วยข้าได้ ไปเสียเถอะก่อนข้าจะเปลี่ยนใจ ข้าไม่อยาก
ให้เลือดสกปรกของเจ้า มาแปดเปื้อน กรงเล็บของข้า" เจ้าหนูน้อยลนลานหนีตาย
ออกไปทันที
ฤดูแล้งผ่านไป ย่างเข้าฤดูฝน
ใกล้ค่ำ หลังจากราชสีห์เจ้าป่า ออกล่าเหยื่อกิน จนอิ่มหนำแล้ว ก็กลับที่พัก
มันเดินอย่าง ไม่ระวังอะไร เพราะทระนง ในพละกำลัง อันแกร่งกล้า ทันใดนั้นบ่วงเชือกกับดัก
ของนายพราน ก็กระตุกรัด ที่กลางลำตัว ดีดดึงขึ้นไป จนสองขาหน้า ลอยขึ้นพ้นจากพื้น
ยิ่งดิ้นบ่วงก็ยิ่งรัดแน่นเข้าๆ ความรู้สึก กลัวตาย เกิดขึ้นอย่างไม่เคยมี
มาก่อน ความยโสโอหัง หดหายไปสิ้น ราชสีห์ร้องเสียงหลง ด้วยความตกใจ
"ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าที" เจ้าหนูน้อยได้ยิน และจำได้ว่า
เป็นเสียงของ พระยาราชสีห์เจ้าป่า จึงวิ่งตามเสียงไป จนพบราชสีห์ ที่เคยไว้ชีวิตตน
ตกอยู่ในอันตราย หนูน้อยไม่รอช้า รีบไต่ขึ้นไปกัดแทะ เชือกเส้นใหญ่
ที่กำลังรัดตัวของราชสีห์ออก จนเชือกขาด ราชสีห์เจ้าจึงรอดพ้น จากความตาย
เพราะหนูตัวน้อยๆ ได้ช่วยเอาไว้
นักเรียนชั้น ป.๓
ต่างเงียบฟังคุณครู ครูสุภัคเล่านิทานเสริม ในช่วงสอน วิชาศีลธรรม
จบเรื่อง และคิดให้นักเรียน ช่วยสรุป นิทานด้วย
"เด็กชายนที
ช่วยสรุปนิทานเรื่องนี้ว่า สอนให้รู้ว่าอย่างไร ให้พวกเพื่อนๆ ฟังหน่อยสิคะ"
เด็กชายนทีหน้าแดง ด้วยความตื่นเต้น "นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนที่มีร่างกายโตใหญ่ อย่าไปดูถูกคนที่ตัวเล็กกว่า ว่าเขาไม่มีค่ากับตน
บางที คนตัวเล็ก เขาอาจมีความเก่ง ความสามารถมากมาย ที่เราไม่รู้ก็ได้ครับ"
เพื่อนนักเรียนปรบมือ กราวใหญ่ "มีนักเรียนคนไหน จะลุกขึ้นมา
สรุปให้เพื่อนๆ ได้ฟังอีกคะ" ครูสุภัคถามหา คนเก่งอีกสักคน นักเรียนต่างพากันอมยิ้ม
เงียบกันทั้งห้อง
"เมื่อไม่มีใครสรุปต่อ
ครูก็จะสรุปขยายให้ฟัง ราชสีห์นั้น เพราะมีเขี้ยวเล็บ พร้อมกำลังแข็งแรง
จึงหลงตัวเองว่า ตัวเองเก่ง ฉลาดเหนือสัตว์อื่น หลงว่าตัวมีอำนาจ ภัยใดๆ
ไม่อาจกล้ำกรายได้ ราชสีห์ลำพองใจว่า น้ำหน้าแค่ หนูน้อยสกปรก
นั้นจะไม่มีวัน มาช่วยอะไรมันได้เลย หากเปรียบเป็นในสังคมคน ราชสีห์นั่นคือคนที่ร่ำรวย
มียศมีอำนาจ แล้วหลงตนเองว่า แสนฉลาด ครบพร้อม ทั้งทรัพย์สิน และปัญญา
แล้วลืมคุณค่า ชาวนาจนๆ ที่เป็นผู้ผลิตข้าว ขายไปให้คน ผู้หลงตนนั้น
ได้กินข้าว จนอิ่มอยู่ทุกวัน ราชสีห์จึงเป็นแบบอย่าง ของความไม่ดี
เป็นคนหลงตน
"ส่วนเจ้าหนูน้อยนั้น
ก็เปรียบได้ดั่งคน ที่ไม่เจียมตน ประมาทเลินเล่อ ไม่คิดมองการณ์ไกล
ดั่งคนที่มีฐานะ ยากจน แล้วไม่รู้จัก ประมาณให้พอเหมาะพอดี ในการจับจ่ายใช้สอย
หลายคนเมื่อรับเงินค่าแรง ที่รับจ้างมาได้ ก็หลงไปติด การพนัน ติดเหล้าบุหรี่
ติดเที่ยวเตร่เฮฮา เสมือนดั่งเจ้าหนูน้อย เดินไต่ไปไม่ดูตาม้าตาเรือ
หลงขึ้นไปไต่อยู่บนหลัง ของราชสีห์ อย่างไม่รู้ตัว ซึ่งจะเป็นอันตราย
อันใหญ่หลวง ต่อชีวิตและทรัพย์
"นักเรียนจะไม่เป็นเหมือนราชสีห์
หรือไม่เป็นเหมือนเจ้าหนูน้อยนั้นได้ จะต้องหมั่น ทำความดี และขยัน
ทำการงาน แล้วจะเกิดปัญญา ฉลาดรู้อาชีพการงานต่างๆ รู้จักการอดออม
รู้จักมารยาท วางตัวที่เหมาะสม และรู้จักเท่าทัน เภทภัย จากคนเกเร
ที่จะมาชักชวน นำพาให้ไปหลงติด ยาเสพติด หรือสิ่งเลวร้าย"
นักเรียนตั้งใจฟัง
ครูสุภัคจึงเริ่มนิทานเรื่องใหม่ "เรื่อง เหยี่ยวเจ้าเล่ห์"
ณ หนองน้ำเล็กๆ
กลางป่า ซึ่งมีปลาหมอปลาช่อนปลาดุก และปูนาอย่างละตัว เหยี่ยวเจ้าเล่ห์
บินผ่านมาเห็น เลยแวะ ลงมายืน อยู่ริมหนอง แล้วทักขึ้นว่า "สวัสดีพวกสหาย
เราบินมาได้มองเห็น หนองน้ำใหญ่ อยู่ฟากป่านี้เอง เราจะช่วย นำพวกเจ้า
ไปสู่ที่ปลอดภัยเอาไหม เพราะอีกไม่นาน น้ำในหนองนี้ ก็จะแห้งขอด พวกสูเจ้าจะต้องตาย
หมดแน่ๆ เราจะช่วย ท่านเอาบุญ กระโดดขึ้นมาสิ เราจะคาบไปส่ง"
พวกปลาปูต่างประชุมว่า จะเอาอย่างไร ไม่นานก็ตกลงกันได้ แล้วพูดว่า
"พวกเราไม่แน่ใจว่า ท่านพูดจริง พวกเราจะไปดูก่อน ว่าหนองน้ำใหญ่นั้นมีจริงๆ"
ว่าแล้วปลาหมอ ก็กระโดด ขึ้นมาจากน้ำ เหยี่ยวเจ้าเล่ห์ รีบคาบไปที่หนองน้ำใหญ่ทันที
ปลาหมอแหวกว่าย ในหนองน้ำกว้างใหญ่ จนพอใจ จึงกระโดดขึ้นมา ให้เหยี่ยวคาบกลับ
มายังหนองน้ำกลางป่าที่เดิม เพื่อยืนยันว่า หนองน้ำใหญ่นั้นมีจริง
แล้วปลาทั้งสาม ก็ทยอยกระโดด ขึ้นมาให้เหยี่ยวคาบ เอาไปกินเป็นอาหารจนหมด
แต่เหยี่ยวยังไม่อิ่ม บินกลับมาหา เจ้าปูนาอีกรอบ ปูนาไต่ขึ้นมาที่ริมหนอง
แล้วยื่นก้ามข้างที่เล็ก ให้เหยี่ยวคาบ ส่วนก้ามใหญ่ ก็หนีบคอของเหยี่ยวเอาไว้
เหยี่ยวบินไป ห่างหนองน้ำ แค่สิบเมตร ก็พาปูนาลงพื้นพร้อมพูดว่า "เจ้าปูหน้าโง่
ปลาพวกนั้น ข้ากินหมดแล้ว ต่อไปก็จะเป็นตัวของเจ้า" ปูนาเลยใช้ก้าม
หนีบคอของเหยี่ยว ตายอยู่ตรงนั้นแล
"นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนที่ยกตัวเองว่ายิ่งใหญ่เหนือฟ้า เมื่อฆ่าเขาตาย ตัวเองก็จะถูกฆ่าตาย
ตามกรรมเช่นกัน" ในยุค บ้านเมือง กำลังวิกฤต แต่นักเรียนที่โชคดี
ก็จะได้ฟังนิทานคติธรรมจากครู ผู้มีอุดมการณ์
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๔๔ กรกฎาคม ๒๕๔๕)
|