เรื่องสั้น
' ธารธรรม
คำสารภาพ (๑)
เป็นบทเรียนอีกครั้งหนึ่งสำหรับชีวิตของข้าพเจ้าที่จะต้องสารภาพกันอีกที
เมื่อวันหนึ่ง บุตรชายได้กระทำผิด กฎของโรงเรียน จนถึงกับมีการพิจารณาไล่ออก
นับว่าเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้า วุ่นวายใจเป็นอันมาก จนถึงกับกินไม่ได้
นอนไม่หลับเลยทีเดียว
การพิจารณาความผิดในการกระทำของเด็กเป็นเรื่องปกติ
รวมทั้งการไล่เด็ก ออกจากโรงเรียน ก็ถือว่า เป็นเรื่องที่สมควร เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่นต่อไป
แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ากังวลใจ อย่างมากนั้นคือว่า จะเอาเขาออกมา อยู่ข้างนอกอย่างไรดี
เหตุก็คือเขามีความประพฤติไม่ดี มาจากข้างนอกก่อนแล้ว ซึ่งตอนนั้นข้าพเจ้าเห็นว่า
ถ้าคงปล่อยให้เขามั่วสุม อยู่กับสังคมภายนอกต่อไป ก็อาจเป็นอันตราย
ต่อตัวเขาเอง และครอบครัว ถึงแม้ว่าตอนนั้น เด็กจะยังไม่มีพฤติกรรมที่ชัดเจนนัก
กับสิ่งเสพติดอย่างอื่น แต่การที่เขาเริ่มคบเพื่อน หัดสูบบุหรี่นั้น
ย่อมเป็นสิ่งบอกเหตุ ให้ผู้ปกครองได้รับรู้ว่า ไม่สมควรนิ่งนอนใจ จึงได้นำเรื่องนี้
มาปรึกษากับพระคุณเจ้า เพื่อขอความกรุณา ให้ท่านช่วยพิจารณารับเด็ก
เข้ามาเรียน ที่โรงเรียนแห่งนี้ด้วย และท่านก็ยินดี ที่จะเปิดโอกาสให้
โดยให้นำเด็กมาเข้าค่ายดูตัว เป็นเวลาหนึ่งเดือน และเด็กก็ผ่าน กิจกรรมนี้ไปได้ด้วยดี
จนเป็นความหวัง ของผู้ปกครองที่คิดว่า เขาคงรอดพ้น จากอบายมุข เหล่านั้นได้
ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี
จนเมื่อขึ้นจาก ม.๑ เป็น ม.๒ ปัญหาก็เกิดขึ้นมา เมื่อข้าพเจ้าได้รับคำชี้แจง
จากทางโรงเรียน ว่าหลังจากเปิดเทอม เด็กกลับมาจากบ้าน มาถึงโรงเรียน
ก็เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม โดยการ แอบสูบบุหรี่ หลบหน้าหมู่กลุ่ม จนผิดสังเกต
เมื่อตรวจค้นในที่พัก พบว่ามีร่องรอย การสูบบุหรี่จริง และ ยังพบอุปกรณ์
อย่างอื่นอีกด้วย แต่ยังไม่พบ ยาเสพติด เช่น ยาบ้า แต่ก็เข้าข่ายน่าสงสัย
เมื่อสอบถาม ก็โกหก ไม่ยอมรับความจริง จนในที่สุด เมื่อจำนนต่อหลักฐาน
เขาจึงได้ยอมรับ
ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจและเสียใจเป็นอย่างมาก
เมื่อได้รับฟังคำชี้แจงทางโทรศัพท์เช่นนี้ ก็ให้รู้สึกอ่อนล้า และสับสน
ไม่รู้จะหาทางออก ให้เขาอย่างไร เพราะขณะนั้น ทางโรงเรียนมีมติ ให้ออกสถานเดียว
และ ให้ข้าพเจ้าไปรับตัวกลับ นี่ย่อมแสดงว่า เขาไม่สามารถปรับปรุงตัวเองให้ดีได้
ไม่ว่าจะอยู่ข้างนอก หรือข้างใน จะอยู่กับโลก หรือจะอยู่กับธรรม ก็ยังมีนิสัยเดิม
และอาจจะยิ่งเลวร้ายไปกว่าเก่า ถ้าเขาต้อง ออกมา เผชิญกับ สังคมข้างนอก
อย่างผู้ผิดหวัง จะทำอย่างไร ข้าพเจ้ายังหาทางออกไม่ได้เลย คำว่าสันดอน
สันโคก เรายังสามารถขุดทิ้งได้ แต่สันดานขุดอย่างไร แก้อย่างไรก็ไม่หาย
เพราะว่าเด็กคนนี้ อาจจะเป็น โดยสันดาน เสียแล้ว ไม่ใช่เพราะหลงผิด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้
ทำให้ข้าพเจ้าคิดจนนอนไม่หลับ ตลอดจนถึงรุ่งเช้าของวันใหม่ เช้าวันนั้น
ข้าพเจ้ามาถึงที่ทำงาน อย่างท้อแท้ ตอนบ่ายจะต้องไปรับตัวเขากลับมา
โดยที่ใจของข้าพเจ้า ไม่ปรารถนา เช่นนั้นเลย เพราะก่อนที่จะนำตัวเขา
เข้ามาศึกษาเล่าเรียนที่นี่ ก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า ถ้าเป็นไปได้ หรือ
เขามีบุญพอ ก็ยินดีมอบตัวเขา ให้ทางชุมชน และคอยรับใช้เจตนารมณ์ ของชุมชน
ตลอดไปอยู่แล้ว แต่เมื่อมีเหตุการณ์ เช่นนี้เกิดขึ้น ทำให้ข้าพเจ้าผิดหวัง
เป็นอย่างมาก ความสับสนเหล่านี้ ทำให้เกิด ความหวาดระแวงต่างๆ นานา
เพราะเมื่อเขาต้องกลับออกมา เผชิญกับสังคม ที่เข้มข้น รุนแรง เร่าร้อน
และเลวร้าย เขาจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ในเมื่อเขาอ่อนแอ ไม่มีความเข้มแข็ง
แม้แต่น้อย กำลังใจ ที่ผู้ปกครอง และใครต่อใคร ต่างทุ่มเทให้ กลับเป็นเรื่องไร้ประโยชน์
เช่นนี้แล้ว อะไรเล่า ที่จะช่วยเขาได้ ในยามนี้
เช้าวันนั้น หลังจากที่ข้าพเจ้าเข้ามาถึงที่ทำงานได้สักครู่
ก็ได้รับโทรศัพท์ จากท่านอาจารย์ ซึ่งเป็นนักบวช ผู้ทรงศีล ท่านได้กรุณาโทรศัพท์มาแจ้ง
ให้ข้าพเจ้าได้ทราบอีกครั้งหนึ่งว่า โรงเรียนได้ให้พิจารณาโทษ ของเด็กเสียใหม่
และมีมติ เปิดโอกาสให้เด็ก ได้แก้ไขพฤติกรรม และปรับปรุงตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
แทนการไล่ออก โดยจัดให้มีการกำหนดโทษไว้ เป็นขั้นตอน ตามมติของที่ประชุม
ข้าพเจ้าจึงมีความรู้สึก เบาใจขึ้น พอสมควร เพราะอย่างน้อย ก็เป็นการต่อเวลาออกไป
พอให้ผู้ปกครอง ได้มีโอกาสตั้งตัว เพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป
การให้โอกาสเป็นสิ่งที่ดี
สำคัญคือเด็กจะเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านั้นได้หรือไม่ การกำหนดโทษทัณฑ์
เพื่อให้โอกาส ให้เด็กได้แก้ตัวใหม่อีกครั้ง ก็เป็นเรื่องที่ดี แล้วก็เป็นเรื่องธรรมดา
เพื่อให้กฎระเบียบ ของโรงเรียน มีความยืดหยุ่น ไม่ตึงจนเกินไป หากว่าเด็กเขามีความใฝ่ดีอยู่บ้าง
ก็อาจจะได้ความมุ่งหวัง กลับคืนมา
แม้ว่าทางโรงเรียนจะยังไม่ไล่เด็กออกก็ตาม
แต่ถ้าเขาไม่สามารถแก้ไข ปรับปรุงตัวเองได้ ในที่สุดเขา ก็ต้องออกอยู่ดี
ความรู้สึกผิดบาป เต็มล้นในจิตใจ ลูกกระทำผิด เพียงครั้งเดียว แต่เหมือนกับข้าพเจ้า
ทำผิดเอง เป็นร้อยเท่าพันเท่า วัดและโรงเรียนแห่งนี้ เป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติธรรม
และเป็นสถานที่เรียน อันบริสุทธิ์ ความรู้สึกที่ว่า โรงเรียนแห่งนี้ยังเป็นสีขาว
แต่ข้าพเจ้ากลับพลั้งเผลอ เอาสีดำ มาทำให้ เปรอะเปื้อน จนไม่น่าดู
อันเป็นความเผลอไผล ประมาทจนไม่น่าให้อภัย เสียด้วยซ้ำ เพราะการที่เด็ก
ได้กระทำผิดกฎของโรงเรียนนั้น เนื่องมาจากการที่เด็ก ปิดภาคเรียน แล้วกลับมาพักอยู่
กับผู้ปกครองที่บ้าน โดยขาดการระมัดระวัง ผู้ปกครองไม่ค่อยดูแล เอาใจใส่
ให้เด็กปลอดภัยในช่วงนี้ เพราะนิสัยของเด็ก ผู้ปกครองย่อมรู้ดี
พฤติกรรมเก่าๆ เมื่อตอนที่เขายังเรียนอยู่ข้างนอก ก็บ่งบอกอยู่แล้วว่า
ไม่ควรไว้วางใจ
กว่าที่ข้าพเจ้าจะเดินทางไปถึงโรงเรียน
เพื่อสอบถามเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ก็ตกเอาบ่ายแก่ๆ มีนักเรียน
หลายคน เดินสวนมาพร้อมพนมมือไหว้ อย่างอ่อนน้อม พร้อมกับคำกล่าวที่ว่า
"สวัสดีค่ะพ่อ" เด็กทุกคนที่นี่ ได้รับการฝึกฝนอบรม ทางกิริยามารยาท
ให้มีสัมมาคารวะ อ่อนน้อมถ่อมตน ดูแต่ละคน หน้าตาสดใส ไร้ร่องรอย ของความวิตกกังวล
ข้าพเจ้ารับไหว้พวกเขาด้วยความรู้สึกละอายใจ
เพราะเด็กๆ เหล่านี้มีความบริสุทธิ์ศีล ยิ่งกว่าข้าพเจ้า หลายเท่านัก
ถ้าจะคิดพลิก กลับให้ดีๆ โดยไม่ถือเด็ก ถือผู้ใหญ่แล้วละก็ ข้าพเจ้าต่างหาก
ที่สมควร จะยกมือไหว้ พวกเขา ข้าพเจ้ามองตามหลังเด็กน้อยเหล่านั้น
ด้วยความรู้สึกภูมิใจ แทนพ่อแม่ผู้ปกครองของ
พวกเขา บางคนอยู่ถึงเมืองเหนือ เชียงใหม่ เชียงราย แต่ส่งลูกๆ มาศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่นี่
อย่างตั้งใจ ไม่ท่าดีทีเหลว เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้า ประสบอยู่ในขณะนี้
ที่โรงธรรม ข้าพเจ้าได้พบกับท่านอาจารย์
ซึ่งเข้าใจว่าท่านรอข้าพเจ้าอยู่ก่อน เมื่อข้าพเจ้าเข้าไป ก้มกราบ
นมัสการ ท่านก็กล่าวคำว่า "เจริญธรรม" "
คิดว่าโยมจะไม่มา"
ท่านกล่าวด้วยใบหน้า ที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม
"เชิญโยมขึ้นไปคุยกับท่านสมณะที่ข้างบนก่อน
เดี๋ยวอาตมาจะตามขึ้นไป" ท่านกล่าว
"ขอรับ พระคุณเจ้า"
ข้าพเจ้าตอบรับด้วยความเคารพท่าน
จากนั้นท่านก็เดินนำข้าพเจ้า
ขึ้นไปส่งที่ข้างบน ซึ่งขณะนั้น มีพระคุณเจ้าอีกองค์ นั่งอ่านหนังสืออยู่ก่อน
ข้าพเจ้ายังไม่ทราบ ชื่อของท่าน ข้าพเจ้าหมอบเข้าไปกราบท่าน ในเวลาเดียวกัน
เสียงท่านอาจารย์ ที่พาข้าพเจ้าไป กล่าวแนะนำว่า "นี่ผู้ปกครอง
ของเด็กมาแล้ว" ท่านก็พยักหน้ารับรู้ จากนั้นท่านอาจารย์ ก็ขอตัวออกไปก่อน
"มาเรื่องเด็กหรือโยม...?"
ท่านเอ่ยถามข้าพเจ้า อย่างเคร่งขรึม
"ขอรับ พระคุณเจ้า"
เมื่อข้าพเจ้าตอบรับท่านก็พยักหน้า
"เป็นอย่างไรบ้างครับ
เรื่องที่เด็กน้อยกระทำผิดกฎ?" ข้าพเจ้าประนมมือถาม
"อืมม์ ไม่ดี
ถ้าอยู่ข้างนอก เจออาญาแน่ ถึงแม้หลักฐานต่างๆ จะไม่ชัดเจนก็ตาม โยมเข้าใจไหม?..."
ท่านถาม พร้อมกับ จ้องหน้าข้าพเจ้าเขม็ง
"เข้าใจขอรับ..."
ข้าพเจ้าตอบ
"เข้าใจรึ..."
แล้วท่านก็พยักหน้ารับรู้
"มีทางแก้ไขหรือเปล่าขอรับ?"
ข้าพเจ้าเอ่ยถาม
"ไม่มี"
ท่านตอบสั้นๆ
"เพราะอะไรขอรับพระคุณเจ้า"
"เพราะสายเลือดคุณไม่ดี"
ท่านจ้องหน้าข้าพเจ้าแล้วกล่าวต่อ
"เมื่อสายเลือดพ่อมันไม่ดี แล้วลูกมันจะดี ได้อย่างไร โยมทำชั่วเหลวไหลอะไรไว้
อย่าคิดว่ามันไม่กระทบนะ"
คำกล่าวตรงไปตรงมาอย่างไม่เกรงใจกิเลสหยาบๆ
ของผู้รับฟังว่าจะรับได้หรือไม่นั้น เป็นครั้งแรก ที่ข้าพเจ้ายิน แค่คำว่าสายเลือดไม่ดีคำเดียว
ก็แทงทะลุทะลวงถึงขั้วตับขั้วปอด เพราะคำว่าไม่ดีนั้น ย่อมหมายถึงเลว
หรือชั่ว ขณะเดียวกัน หัวใจอันเต็มไปด้วยกิเลสโลกของข้าพเจ้า ถูกกระทุ้งให้สะเทือนโสต
จนกิเลสชักดิ้นอยู่เร่าๆ เกิดความไม่เสนาะในรูหู จนเดือดร้อนซุปเปอร์อีโก
ที่ต้องออกมาปลอบ ให้อดทน รับฟัง อย่าได้วุ่นวายตามกิเลสนั้น "ดี"
เทศน์ต่อไปเถิดขอรับ ข้าน้อยยินดีรับฟัง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ยังไม่เคยได้ยินใคร
ตำหนิข้าพเจ้า อย่างตรงไปตรงมา เช่นนี้มาก่อน แถวสำนักอื่น ข้าพเจ้าก็พอคุ้นเคย
การสนทนากับพระอาจารย์ต่างๆ เท่าที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีพระองค์ใด ใส่วาทะได้ถึงกิเลสเช่นนี้
คนหลงโลกเช่นข้าพเจ้าก็ชอบคิดอะไรบ้าๆ
แบบโลก คำว่าสายเลือดชั่วมันคืออะไร ไม่อยากจะคิด ว่าเป็นการ ด่าประจาน
เพราะท่านเป็นนักบวช ผู้ปฏิบัติอยู่แต่ในศีลวินัย อย่างเคร่งครัด ย่อมไม่มีเจตนา
ที่จะเยาะเย้ย หรือถากถาง บุพการีของเด็ก ให้เจ็บปวด โดยไม่มีเหตุผล
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ตัวกิเลส ความไม่พอใจ ที่ดิ้นเต้น อยู่ผางๆ ก็เริ่มสงบ
และตั้งใจฟังเทศน์ต่อไป
คนหลงตัวหลงตนจนกิเลสเกาะจนหนาเตอะเช่นข้าพเจ้า
พระคุณเจ้า ท่านคงจะเล็งเห็นว่า ถ้ามัวแต่พูดอ้อมค้อม ก็คงยากที่จะแซะกิเลส
ให้ร่วงกร่อน เห็นแก่นได้เป็นแน่แท้ แค่ขัด แค่เคาะ มันคงไม่ได้ผล
คนเช่นนี้มันต้องทุบ และทุบแรงๆ ให้กิเลสมันหลุดร่วงลงมา กองกับพื้นเสียบ้าง
มันจึงจะไม่เย่อหยิ่ง จองหอง จะได้รู้ว่าแก่นแท้ ข้างในมันคืออะไร
ตลอดเวลา มัวเมาอยู่กับการสวมหน้า สวมหัวโขน
กระดกลิ้นแต่ละครั้ง ก็เข้าใจแต่ว่า ข้าพเจ้าพูดดี มีคนเชื่อถือ ขยับเยื้องกาย
แต่ละที ก็เข้าใจแต่ว่า มาดตัวเองใช้ได้ จะคิดจะทำอะไร ก็เข้าใจแต่ว่า
ตัวเองคิดถูกทำถูก คนติเตียนหามีไม่ คงเพราะ เขากลัวผิดโรค ผิดกิเลสชั่วๆ
ของข้าพเจ้านั่นเอง แล้วก็หลงภูมิใจ อยู่กับกิเลสบ้าๆ บอๆ เช่นนี้ตลอดมา
(อ่านต่อฉบับหน้า)
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๔๕ สิงหาคม ๒๕๔๕)
|