อยู่อย่างกำชัยชนะ
ขนาดขี้เกียจอ่าน
แต่พอเห็นหัวข้อนี้ ไม่อ่านสักหน่อย ก็เกินไปละ
หนังสือขายดีที่สุด
เป็นเบสท์เซลเลอร์ ของร้านก็ชื่อทำนองนี้ทั้งนั้น ชนะๆๆๆๆ
โปรแกรม "ชนะ"
บรรจุเข้าหัวสมองเรียบร้อยตั้งแต่เกิด หลังจากนั้นทุกวิชาในโลก ก็ล้วนบรรจุ
เนื้อหาเป็นไป เพื่อ "ชนะ" วิธีการนี้เขาเรียก "การบูรณาการเชิงลบ!"
มาถึงวันนี้จะบอก
"ชัยชนะ" ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่ใช่เรื่องจำเป็น มนุษย์หน้าไหนจะยอมเชื่อ
คงคล้ายๆ กับเรื่อง
"กินอาหาร" วันนี้ตายเป็นผักปลาก็เพราะกินไม่เป็น มัวเน้นอร่อย
จึงก่อเกิดโรค หลากหลาย
ไปบอกคุณผู้หญิงบางคน
ชีวิตนี้ไม่ต้องมีเครื่องสำอาง รับรองต๊กกะใจ ไม่ยอมเชื่อ เป็นไปได้เหรอ
ชีวิตไม่พึ่ง เครื่องสำอาง
บทเพลงกล่อมโลก
ชอนไชหัวใจมนุษย์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็มิใช่บทไหน นอกจาก "เราต้องชนะ"
(ทำหน้าเครียด-ชูกำปั้น)
ตั้งแต่เกิดจนตาย
ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ตั้งแต่เช้ายันดึก
การเปลี่ยนโปรแกรม
จึงยากยิ่งเสียกว่า เข็นครกใส่ภูเขา หรือสีซอให้ควายฟัง
เมี่อ "รสนิยม"เหมือนกันรวมตัวเป็นกระจุก
พลันอุบัติ "ค่านิยม"
"ค่านิยม"
แข็งแกร่งพลันกลายเป็น "บรรทัดฐานของสังคม" ใครผิดจากนั้น
ถือเป็นคนผิดปกติ เป็นคนบ้า
จะเข้าเรียน เราก็ต้องสอบแข่งกัน
ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ลูกสอบไม่พอ พ่อแม่ยังต้องสอบอีกด้วย
จะทำงานก็ต้องสู้กันให้เข้ารอบ
จะกินจะอยู่ก็ต้องมีเกียรติ
มีศักดิ์ศรี ไม่น้อยหน้า ถึงจะไม่สุดยอดก็ติดกลุ่มผู้ประสบความสำเร็จ
โลกของวัตถุ จึงคัดแต่บุคคลหน้าตาดีๆ
ฐานะดีๆ มาประกาศเป็นความสำเร็จ ให้สติปัญญา คนดูงุนงง เคลิบเคลิ้ม
อยากเป็นบ้างเกิด "ลัทธิเอาอย่าง"
"สักวันต้องเป็นเรา"
บ้านเราต้องใหญ่
ห-รู-ห-รา เสื้อผ้า-ต้องชั้นดี-เริด รถ-ต้องมี กิน-ต้องอร่อย อยู่-ต้องเท่
ตาย-ต้องเผา ในวัดใหญ่ๆ...
นักจิตวิทยา ทำการวิจัย
เหตุแห่งการฆ่าตัวตายของหนุ่มสาว ยุค "เพลี้ยลงหัว" "ควายถูกแย่งเจาะจมูก"
เป็นเพราะค่านิยม "หล่อ(สวย)-เริด-หรู"
เข้าทำนองสุภาษิตโบราณ
เห็นช้างขี้ก็อยากขี้ตามช้าง เห็นกระต่ายขี้ ก็อยากขี้ตามกระต่าย เห็นเสือคำราม
ก็อยากคำรามแบบเสือ
เมื่อไม่มีจุดยืนของชีวิต
มนุษย์นั้นไซร้ก็แค่... จิ้งหรีดตัวหนึ่ง รอให้เขาปั่นหัว ควายตัวหนึ่ง
รอจูงจมูก เข้าโรงฆ่าสัตว์
เป็นดวงดาวที่มีเส้นทางโคจรยุ่งเหยิง
เสียยิ่งกว่าการเดินทาง ของหนอนในส้วม !
ความไม่สมดุลระหว่างธรรมะกับอธรรมะห่างกันยิ่งกว่าความเกลียดชังของ
ยอร์จ บุช กับบิน ลาเดน !
วันนี้ ลองพูดซิ
"เวรย่อมไม่ระงับ ด้วยการจองเวร" "แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร"...
ท่านอาจจะถูกไข่เน่าขว้างจากประชาชน
ขนาดพระเยซูเจ้า กล่าวคำให้อภัยกับผู้ประทุษร้ายท่าน พระพุทธเจ้า ไม่เคยโกรธเทวทัต
ตั้งแต่ไหนแต่ไร
แสดงตัวอย่างขนาดนี้
เหล่าศาสนิกชนก็ยังไม่ยอมเลียนแบบ มิหนำซ้ำ กลับถ่มน้ำลายรด! (ปฏิบัติในทาง
ตรงกันข้าม)
เขียนมาซะยาว ย้อนไปต้นเรื่องดีกว่า
"อยากชนะทำอย่างไร?"
ตอบแบบปรมัตถ์ ต้องว่า
โลกนี้ไม่มีแพ้ไม่มีชนะ มีแต่ความเป็นไป
ตอบแบบสมมติ ก็ต้องว่า
ยังอยากชนะก็ ยังต้องมีแพ้ มีสวรรค์ก็ต้องมีนรก!
มีการชนะ ย่อมแปลว่า
เรายังมีฝ่ายตรงข้าม ยังมี "พวกกู" กับ "พวกแก"
อยู่นั่นเอง
วันนี้ บนพื้นพิภพโลกมนุษย์
มีกิจกรรมมากมายที่บรรจุลงสมอง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า "ชนะๆๆๆๆๆๆ"
เรามีแข่งกีฬาทุกวัน
ปลุกให้ฮึกเหิม แพ้ไม่ได้ ต้องชนะลูกเดียว!
ส่วนคำว่า
"รู้แพ้-รู้ชนะ-รู้อภัย" เขาเก็บฝังเอาไว้ในป่าช้านานแล้ว
เป็นทฤษฎีที่สวยหรู
แต่ภาคปฏิบัติที่ต่ำช้า!
แข่งกับคนอื่นไปทำไม
แข่งกับตัวเองสบายกว่าเป็นไหนๆ
ยังอยากแข่ง ก็เหมือนกระบี่อยู่ที่ใจ
ย่อมพร้อมฟาดฟันตลอด 24 ชั่วโมง
วางอาวุธ วางใจ
มีแต่โลกทั้งผองเป็นพี่เป็นน้อง มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน
ไม่แข่งกับใคร แต่มีใจพร้อมช่วยทุกผู้คนน่าจะดีกว่า
ก่อน IMF เรามีผู้คนยืนอยู่บนแท่นชัยชนะมากมาย
สีหน้า ยิ้มแย้ม มีความสุข มีทรัพย์สมบัติ มีเงินทอง ไหลมาเทมา
สุขจริงหนอ ชีวิตนี้
นึกเงินก็ได้เงิน นึกทองก็ได้ทอง
แต่จิตใจมีแต่ความเห็นแก่ตัว
แบ่งชั้นวรรณะ ใจจืด ใจดำ
กินอยู่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม
เป็นอานุภาพแห่งการบันดาลของมารซาตาน!เพราะเหตุนี้
ใครๆจึงต่างรู้สึก "หลงภาคภูมิใจตัวกูของกู"
"กูนี้แน่กว่าใคร!"
คุณธรรมความดี ถูกถีบลงโถส้วม!
เมื่อ IMF มา ความสุขหายไป
มีแต่ความทุกข์พาดผ่านสีหน้าและแววตา ต้องถือเป็นอำนาจ ดลบันดาล ของซีกฝ่ายพระเจ้า
ความจน ความมัธยัสถ์
จิตใจเริ่มอ่อนโยนเริ่มอาทร มีน้ำใจต่อกันและกัน
ทัศนะ "กูแน่"
เปลี่ยนไป "กูเก่ง" ก็ไม่กล้าคิดอีกแล้ว
ความจน ทำให้มนุษย์เราละพยศ
เลิกอหังการ
นี่แหละเป็นภาพสวยงามที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็น
มาก่อนในชีวิต
ใครที่อยากกำชัยชนะ
ข้าพเจ้าขออธิษฐานให้เขา แพ้ตลอดไป !
เพื่อความเป็นมนุษย์ จะได้สมบูรณ์แบบ !
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๔๕ สิงหาคม ๒๕๔๕)
|