หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

แย่งกันใหญ่ ดังใจหมาย 'วิมุตตินันทะ

ถ้าพูดถึงการเมืองของไทย ใครๆ เป็นต้องส่ายหน้าว่ามันน่าเบื่อหน่ายเต็มที ที่จริงคงไม่ใช่อย่างที่คิด เพราะมันน่าอ้วก สุดเอียนเป็นบ้า เสียมากกว่า ดีไม่ดี ไม่มีขันติอุเบกขา อยากจะพาลลาตาย จากราษฎรไทย ให้รู้แล้วรู้แรดไป...

แต่ในเมื่อเกิดเป็นคนไทยอยู่เมืองไทย กินข้าวไทย ใจต้องเป็นพระ เหมือนพุทธะ ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เราจึงต้อง หัดยิ้มแย้มแจ่มใส ให้อภัยสิบทิศ แล้วไม่ต้องถาม นายเป็นคนไทยหรือเปล่า?...

ครับ....เมืองไทยสบายดีหลาย เพียงไม่เอาไหนอยู่ตรงที่คนไม่เอาจริง ปล่อยให้เสือสิงห์กระทิงแรด มาชิงสุนัขเกิด เต็มสภาผู้ทรงเกือก เพราะเงินใบละร้อย ฟาดหัวตาสีตาสาเลยเดี้ยง กันไปหมด

อนิจจตา ประชาธิปไตยแบบไทยๆ แจ้งเกิดมากว่า ๗๐ ปีแล้วนะ แต่ประทานโทษที เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เพิ่งโตสัก ๗ ขวบ ประมาณนั้นกระมัง น่านับถือจริงๆ ฝีมือนักเล่นการเมือง โคตรน้ำเน่า สามัคคี สายพันธุ์ช่างทาสี แห่งประเทศไทย

หลายสิบปีดีดัก นอกจากฝีไม้ลายมือ พวกถือปืนคุมกำเนิด ประชาธิปไตยแล้ว ยังมีพรรคสำคัญ อยู่ยงคงกระพัน ไม่ขาดตอนด้วยนโยบายดี เอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ถึงจะไม่ต้องใช้ อ้ายปืนโต เหนือชั้นกว่านั้น คือกำลังภายใน จากลิ้นลมปาก สำแดงเดช พ่นพิษเมื่อไหร่ ใครอ่อนภูมิคุ้มกัน เยียวยาไม่ทัน เป็นอันต้องเผาได้เลย

ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี โบราณชี้ชัดขนาดไหน เชิญดูได้ที่สภาหน้าจอแก้ว วันๆ ไม่ต้องทำอะไร ให้ได้เสนอหน้า จีบปากจีบคอ จ้อเป็นต่อยหอย เรื่องสร้างสรรไม่ต้องห่วง ว่าจะมีสักเท่าไร มีแต่สงครามน้ำลาย สาดเสียเทเสียไปหมด ไม่ว่าต่างสี หรือปลอดสี ไม่มีรุ่นอีกต่างหาก ละครน้ำครำ ไม่ต้องดูเสียเวลา สู้ของจริงไม่ได้ดอก ศรีธนญชัย สมัยกรุงศรี ดูชื่นชมกันหนัก ลองมาเจอศรีธนญชัย สมัยกรุงเทพบ้าง แล้วคงจะรู้สึกหนาว แต่ก็อาจดูพอสม ในสภาของพวก มากเขี้ยวลากดิน นักกินเมือง มืออาชีพ จึงจำเป็นต้องใช้คือ ถ้าไม่ทิ่มแทงด้วยหอกปาก มันต้องมีเคล็ดวิชา ใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง อะไรทำนองนั้น

เพียงน่าสงสารสุดสังเวช สำหรับหยดน้ำดี ที่ไม่มีสิทธิ์จะแจ้งเกิดกับเขาได้ ถึงจะโชคดี ผงาดขึ้นมา ในยุทธจักรกับเขาบ้าง มักจะไม่วาย ถูกป้ายสีใหม่ ให้เสียคน การเมืองไทย เลยไปไม่ถึงไหนสักที

ไม่ต้องอะไรหรอก ประชาธิปไตยถอยหลังลงคลองขนาดไหน คิดดูเอา แค่นำพาให้คนไทย รู้จักใช้สิทธิ์ ใช้เสียง ยังไม่เป็นเลย (นับประสาอะไรกับการใช้ชีวิต ไม่เสพยาพิษ ไม่ติดหวยอบายมุข) จะหวังให้มี การศึกษาสูงๆ ถึงไหนอีกล่ะ ขนาดที่จบปริญญา เป็นอย่างต่ำ ยังใช้เงินจ้างโกงเสียง จนจับมือ เจ้าตัว ส.ส. เข้าคุกไม่ได้สักคน

กับโจรเสื้อนอกมีระดับ หาคนกล้าตามจับได้ยากมาก ใครจะไปทิ้งรอยเอาไว้ง่ายๆ

ยิ่งโจรวิ่งราวสมัยนี้ ยกชั้นคุณภาพเป็นถึง นักศึกษามหาลัย ดังข่าว ๓ นักศึกษาคนหนึ่งเภสัช มหิดล อีกสองอยู่ ม.กรุงเทพ และมศว. ปี ๔ ทั้งนั้น ใช้รถเก๋งฉกกระเป๋าถือผู้หญิง ซึ่งคอยรถเมล์ หวังเอาเงิน ไปเที่ยวเล่น ได้ไป ๓๐๐ บาทกับมือถือ

บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ เมื่อ ส.ส.เป็นโจรมีระดับได้ดี ย่อมเป็นตัวอย่างให้ แม้โจรกระจอกอื่นๆ

หรือกรณีรุนแรงแดนใต้ ไม่รู้เหมือนกันว่า เป็นเรื่องของโจรกับตำรวจ หรือโจรกับโจรมีสี ไม่มีสีกันแน่ จริงๆ มีอยู่ว่า ถ้าฝ่ายรับใช้บ้านเมือง บำบัดทุกข์บำรุงสุขราษฎรดี มันจะมีโจรกำเริบได้อย่างไร เฉพาะอย่างยิ่ง ตำรวจไทย มีอำนาจล้นฟ้า แล้วใครจับตำรวจได้บ้าง

เห็นชัดหรือยังว่า การขยายประมาณการศึกษาสูงถึงไหนก็ดี การเพิ่มตำรวจ ตามจำนวนโจรก็ตาม คงดีกับโอกาส ของนักบริหาร เพื่อมีงบประมาณ และอำนาจตำแหน่งเพิ่มขึ้น พร้อมๆ กับปัญหา ทวีคูณ จากคนฉลาดแบบ ศรีธนญชัย คือ อดไม่ได้ที่จะแย่งกันงาบ หรือ คอยขัดขาเลื่อยเก้าอี้กัน

ดังนั้น การปฏิรูปการศึกษาที่กำลังคิดกัน แน่นอนว่าไม่ควรชักช้า ขณะเดียวกัน อย่าหลงเพลินกับ ความรู้มาก อยากเอาเปรียบคนทั้งหลาย ชาวพุทธมีหลักสูตร การศึกษาสำเร็จรูป แห่งไตรสิกขาอยู่แล้ว ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ สัมมาสิกขา ว่าล้าหลังการศึกษา เพราะหาก คนดีก่อนเก่ง ได้จริงแล้ว อย่าห่วงว่า จะเก่งไม่ทันโลก มันเรื่องเล็กกว่ากันเยอะเลย ยิ่งโจรเตรียมเหยียบจมูกตำรวจได้ หรือตำรวจเป็นโจร เหยียบเมฆเสียเอง จะว่ายังไง....

'ผู้นำไทยไร้การศึกษาโลกธรรม
คงจะฟันธงตรงๆ ได้เลยว่า นักการเมืองยังไร้เดียงสา กับปัญหาโลกธรรม ถ้าพูดถึงอบายมุข เหมือนพอ จะฟังเข้าหู รู้ภาษาอยู่บ้าง แม้เถียงไม่ออกว่ามันเลว แต่อดไม่ได้ และแล้ว ก็ไม่รู้จักนำพาลดละ นับวันยิ่ง ขยายผลมอมเมา เมื่ออบายมุขฟู่ฟ่า เศรษฐกิจจุลภาค มหภาค มันจะดี ได้อย่างไร รัฐบาลไทยรักไทย ดีแต่ทำประชานิยม ทุ่มเงินล้านทุกหมู่บ้าน คิดบ้างไหมว่า อบายมุข จะดูดซับ กลับคืน กระทั่งยากจน ไม่เสร็จต่อไป ในคนไทยที่รักเงิน มากกว่าคน!

อย่างไรก็ตาม โลกอบายมุขยกไว้ ใครไม่เห็นทุกข์ ปล่อยให้เป็นบัวใต้ตึกไปก่อน ส่วนโลกธรรม มีแปดประการ คงจำกันได้ว่า มีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คู่กับเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์

ธรรมดาโลก ต่างแข่งขันเพื่อแข่งชิง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขด้วยกันทั้งนั้น ไม่เห็นประหลาดตรงไหน ที่นับถือว่า ประสบผลสำเร็จในชีวิต ล้วนวัดด้วยโลกธรรม ๔ มิใช่หรือ ทางศาสนากระแสหลัก ยิ่งไม่วาย ประเคนกัน เข้าไปเพียบ พูดทำไมมี กับการศึกษาโลกย์ๆ จึงไม่เห็นแปลก ที่อุตส่าห์ เรียนสูง ขนาดไหน ไม่วายริเป็นโจร แม้กระจอกแค่วิ่งราว ยังเอาด้วยเลย

ยิ่งนักการเมืองด้วยแล้ว แยกไม่ออกเด็ดขาด เขาทำเพื่อโลกธรรมโดยหมายมั่นปั้นมือเต็มๆ ถึงกับนิยามตรงๆ ว่า การเมือง คือ ผลประโยชน์ จะแบ่งกันลงตัวแค่ไหนหรือเปล่า เป็นเรื่องต่อรอง หรือเกมยุทธศาสตร์ต่อไป ของแต่ละพรรคพวกฝูง

มุมมองวิสัยทัศน์ มันต่างกันนานา ผู้ศรัทธาสัมมาทิฐิ ท่านย่อมนำพาตรงเป้า ว่า การเมืองเป็นเรื่อง เสียสละ ไปกันคนละคุ้ง คนละแคว อย่างนี้แหละ โลกียะกับโลกุตระ

ทีนี้เมื่อยื้อแย่งแสวงหาอำนาจโลกธรรม นักการเมืองเอง ย่อมเป็นตัวปัญหา ติดตังกับผลประโยชน์ ห่วงธุรกิจกำไร จะตกหล่น กลัวสูญเสีย บัลลังก์หรือ เกรงเสียคะแนนนิยมบ้าง อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ย่อมไม่อิสระ ที่จะทำงาน เพื่อบ้านเมือง เลยหมดหวัง ที่จะเห็นการเมือง ที่สร้างสรร อย่างจริงจัง แม้ใครจะพาฝันอย่างไร เชื่อได้ว่า ไม่มีวัน ไปถึงดวงดาว

ประจักษ์พยานหลักฐานง่ายๆ คือ นักการเมืองไม่ว่าหน้าไหน ต่างคุยว่าจะมารับใช้ จะมาเสียสละ เสร็จแล้ว ความจริง มันออกมาตรงกันข้าม เหมือนหน้ามือกับหลังเท้า เราจึงเห็นแต่ คนคุยโม้เปล่าๆ

งานการเมือง เมื่อแน่ใจว่าจะมารับใช้พร้อมเสียสละ พอทำจริงแล้วก็ควรจนลง หรือไม่รวยขึ้น แบบนี้ ค่อยฟังขึ้นหน่อย

เราเห็นการเมืองเป็นเรื่องสกปรก เพราะคนโสโครก มันเป็นอย่างนั้นมาหลายสิบปี เคราะห์ดีมาถึงวันนี้ ทุกคน อยากเชื่อว่า มันต้องเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มากก็น้อยไม่ช้าก็เร็ว

แม้รัฐบาลจะสำเร็จผล ในการขายฝัน คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อคนไทยทุกคน มันจะเป็นไปได้ขนาดไหน อยู่ที่วิสัยทัศน์ ตื้นลึกเท่าใดด้วย คงเป็นงานท้าทายของไทยรักไทย จะเอาจริง หรือหลอกเล่นไปวันๆ

หลายคนคงอยากเชื่อผู้นำไทยรักไทยว่า คงจะตั้งใจจริง เพื่อทำอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาบ้าง สำคัญแต่ว่า เมื่อมาอาสา ทำคุณแก่แผ่นดิน ส่วนตนต้องพรักพร้อม ด้วยเศรษฐกิจพอเพียง กรอบความเชื่อ มันโปร่งใสอันนี้ สาธารณชน คงต้องคอยติดตาม ต่อไปอยู่แล้ว

เมื่อไม่ต้องห่วงเรื่องรวยลาภของท่านผู้นำ ถือเสียว่าอย่างนั้น ประเด็นที่น่าสนในทางการเมือง คือปัญหา การแย่งกันเป็นใหญ่ ในไทยรักไทยเอง มีเหล้าเก่ามาใส่ขวดใหม่ อยู่ตั้งเยอะ แล้วจะคิดใหม่ ทำใหม่ เป็นแค่ไหนเชียว ทั้งภายใน และนอกพรรค ย่อมจะมีอุปสรรค หนักหนาพอได้ อย่างน้อยๆ ผู้นำเคยบอกเองว่า อยากเห็นการเมืองนิ่งๆ (เพื่อจะได้ทำงาน เข้าเป้าเต็มๆ ขอคาดเดาว่าอย่างนั้น)

ประชาธิปไตยจริงๆ จะให้การเมืองนิ่งจับตัววางตาย นั่นมันเผด็จการ การเมืองไม่นิ่งย่อมดีในเชิงถ่วงดุล เผื่อใครทำนอกลู่ นอกทาง จะได้โคนคว่ำบาตรโดยง่าย ถึงเป็นพรรคเดียว หรือมีสองพรรคก็ตาม ไม่ควรผูกขาด ความเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว เดี๋ยวจะเข้าทางประมาท คือความตายสิ้นดี

คนเราจะเป็นใหญ่ โดยสัจจะต้องให้คนอื่นเขายกตั้งให้ ถึงจะเป็นตัวจริง ของจริงเที่ยงแท้ แน่นอน ใครทำดีทำจริง ผู้คนย่อมมีตารับรู้รับรอง ท่านว่า คนทำดีแล้วยังไม่ได้ดี เพราะทำดีไม่มากพอ

เพราะฉะนั้น เรื่องจะต้องแข่งกันเป็นใหญ่ โดยผู้เดียวพรรคเดียว เป็นเรื่องป่วยการ เมื่อยเปล่าๆ สำหรับ คนเข้าใจ สัมมาทิฐิเพียงพอ ยิ่งงานเสียสละ รับใช้มหาชนด้วยแล้ว ไม่เห็นจำเป็น ต้องแข่งกันเป็นใหญ่ อะไรนักหนา ยิ่งเป็นผู้นำสูง ดีเด่นเท่าไหร่ คนเขายิ่งจะใช้งาน พึ่งพามากเท่านั้น มันเป็นงานหนัก จะตายไป

นักการเมือง ที่กำลังขับเคี่ยวเข่นโค่นกัน เพื่อแย่งกันเป็นใหญ่ เป็นคนไทย สติดีหรือเปล่า น่าถามตัวเอง บ้างไหมหนอ...

โดยเฉพาะ มีกี่คนที่พอรู้ว่าพระบรมศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงสอนวิถีผู้นำไว้อย่างนี้ (หลักตัดสิน ธรรมวินัย ๘ ประการ)
"ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ ธรรมนั้นวินัยนั้น ไม่ใช่ของเราตถาคต"

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๕ สิงหาคม ๒๕๔๕)

เราคิดอะไร