หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

ตอน บ้านนอกเข้าเมือง (๒)


เมื่อลืมตาขึ้นตอนเช้ามืดวันรุ่งขึ้น น้อยงง ไม่รู้ว่าเธอมานอนอยู่ที่ไหน ถึงไม่มีเสียงนกเสียงกา ดังจุ๊บจิ๊บ รอบบ้าน เช่นเคย ไม่มีเสียงไก่ในเล้าใต้ถุนครัว จิกกันดังก๊อกๆ เบาๆ คอยเวลา ให้เธอลงไปเปิดเล้า ให้มันออกมา และ เพื่อเข้าไปเก็บไข่เป็ด มาไว้ขาย พี่แมะนอนอยู่ใกล้ก็จริง แต่ที่นอนหมอนมุ้ง เปลี่ยนไป เธอไม่ได้นอน กอดหมอนข้าง ใบเล็กๆ ที่แม่เย็บให้คนละใบ และเธอกับพี่แมะ ช่วยกันยัดนุ่นเอง เบาะก็ไม่ได้วาง อยู่บนเสื่อเตย เธอนอนอยู่บนเตียง แต่ก็ไม่ใช่เตียง ของพ่อกับแม่ที่บ้าน

นี่เป็นที่ไหนกันแน่?

น้อยหันไปอีกด้านอย่างรวดเร็ว ค่อยยังชั่วหน่อย พ่อกับแม่นอนอยู่ใกล้ๆ เธอไม่ได้ฝันไปหรอก แล้วก็ไม่ได้หลงทาง ไปนอนที่ไหน ทั้งครอบครัว มาพักค้างคืนที่โรงแรมตังเส็ง ในสุไหงโกลก นั่นเอง

"เราอยู่ที่โรงแรม ยังมืดอยู่ นอนต่อได้อีกลูก ไม่ต้องไปเปิดคอกเป็ด" พ่อกระซิบ

แม่ยกตัวขึ้น ดึงผ้าห่มมาห่มให้พี่แมะกับน้อย พูดว่า "ใกล้รุ่ง อากาศเย็น ห่มผ้าเสียเถอะ วันนี้แมะ ไม่ต้องลุกไปหุงข้าว นอนเล่นได้อีกหน่อย"

นี่เป็นสิ่งที่ผิดปรกติมาก เพราะแต่ไหนแต่ไรมา เมื่อตื่นแล้ว ครอบครัวนี้ ไม่เคยนอนต่อ นอนอ้อยอิ่ง หรือนอนเล่นเลย แต่วันนี้ พ่อไม่มีถนนหญ้าหน้าบ้าน ไปเดินออกกำลังกาย น้อยกับพี่แมะ ก็ไม่มีที่ไปเดิน อาบน้ำค้าง ตอนเช้า ให้ไอตัวออก อย่างที่แม่ให้ทำ เป็นประจำ

นอนเล่นกันไปสักพักก็ได้ยินเสียงลูกจ้างในโรงแรม พูดกันล้งเล้ง อยู่ข้างล่าง ต่อด้วยเสียง คล้งเคล้ง พ่อจึงพูดขึ้นว่า

"ลุกก็ลุกเถอะลูก แมะ น้อย ลงไปอาบน้ำไป... เดี๋ยวเราไปหาอะไรรองท้อง แล้วไป สถานีกันเลย"

นี่เป็นครั้งแรกที่น้อยได้รู้จักคำว่า ห้องน้ำ โรงแรมเขากั้นสังกะสี เป็นห้องไม่ใหญ่นัก ไว้ให้คน ที่มาพัก ได้อาบน้ำ ฝาข้างหนึ่งคร่อมไว้เหนือบ่อ มีคานไม้ติดขวางอยู่ ข้างใต้ฝาด้านนั้น ตรงกลางคาน มีรอกติดอยู่ อย่างแน่นหนา มั่นคง เมื่อเขาจะตักน้ำในบ่อ ก็แค่ปล่อยถังลงไป ตวัดถังตะแคง ให้น้ำเข้า แล้วก็ดึงเชือก ที่พาดอยู่ในร่องรอก ถังก็จะขึ้นมาโดยง่าย ไม่ต้อง เปลืองแรง สาวซ้ายทีขวาที เหมือนการตักน้ำ ทั่วไปตามบ้าน

เสียงคล้งเคล้ง ที่น้อยได้ยิน มาจากตรงนี้เอง ลูกจ้างโรงแรม เขาสาวถังน้ำขึ้นมาใส่บ่อ ที่ก่อด้วยซีเมนต์ ในห้องน้ำ เสียจนเต็มเปี่ยม คนที่มาพักอาบน้ำในนั้นได้ โดยไม่ต้อง ตักขึ้นมาเอง

"แต่เราต้องเสียเงินให้เขา" พี่แมะพูดกับน้อยเบาๆ "ไม่งั้นเค้าก็ไม่ตักให้ร้อก"

น้อยอดรู้สึกแย้งไม่ได้ว่า ไม่ต้องตักน้ำจากบ่อขึ้นมาก็ดี ไม่ต้องเหนื่อย ก็พ่อต้องจ่ายเงินค่าน้ำ ค่าคนตัก ให้แล้วนี่ ขันเขายังเอามาวางไว้ให้เลย เหลือแค่ตักน้ำ ขึ้นมารดตัว เท่านั้นเอง น่าจะสบายดี

แต่พ่อกับแม่หาเงินมาด้วยความเหนื่อยยาก แล้วพวกเธออาบน้ำไหลเอื่อยในคลอง หรือไม่ก็น้ำเชี่ยว ในคูหน้าบ้าน มาโดยตลอด พ่อไม่ต้องจ่ายเงินให้ใคร นึกได้อย่างนี้แล้ว น้อยจึงคล้อยตามพี่แมะว่า

"จริงด้วยนะ"

แล้วน้อยก็ก้มดูน้ำในบ่อซีเมนต์ เมื่อเย็นวานเธอก็อาบน้ำในนั้นมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้สังเกต จนถึงเช้านี้ นอกจากเรื่องจ่ายเงินแล้ว เธอยังรู้สึกแปลกๆ อย่างอื่นด้วย ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

"ก็เราไม่ชินไง น้อยก็" อ้อ! พี่แมะคงรู้สึกเหมือนกัน "ถึงไงพี่ก็ชอบคลองแว้งมากกว่า คลองแว้งน้ำไหลตลอด รู้แล้วหละ นี่ น้อยดูนี่ซี"

น้อยมองตามที่พี่แมะบอก เธอเห็นข้างในบ่อซีเมนต์มีตะไคร่จับเต็ม คงไม่ได้ขัดมานาน กำลังจะเอ่ยปากพูด พี่แมะก็ชิงตัดบท ขึ้นเสียก่อน "ช่างเหอะ เขาเพิ่งตักน้ำใส่ตะกี้นี้ เราเป็นคนแรกที่อาบ ยังไม่ทันสกปรกหรอก พี่ว่าน้อยอาบให้เสร็จๆ แล้วรีบขึ้นไป บอกพ่อ กับแม่ดีกว่า"

หลังจากรับประทานข้าวเช้าในร้านข้างโรงแรมแล้ว ขบวนชาวแว้งก็ออกเดินจากโรงแรม ไปสถานีรถไฟ มีมะตาเห ช่วยหาบหีบปัดไปส่ง ฟ้าเพิ่งจะสาง ถนนภูผาภักดี ที่เดินกันไปนั้น ยังไม่ค่อยมีรถรา นอกจากรถสามล้อ ที่ผ่านไปมานานๆ คัน ถึงอย่างนั้น น้อยก็เดินเสียชิดขอบ ท่อน้ำริมถนน เธอยังจำเสียง แตรรถยนตร์ เมื่อบ่ายวานนี้ได้ว่า น่ากลัวแค่ไหน

แต่รถสามล้อไม่น่ากลัวเท่าไร มันเป็นเพียงรถจักรยานธรรมดานี่เอง แต่เขาต่อแคร่ออกไป ทางซ้าย เอาเก้าอี้หวาย วางบนนั้น ให้คนโดยสารนั่ง อีกด้านหนึ่ง ของแคร่ มีล้อติดอยู่ล้อหนึ่ง รวมทั้งหมด เป็นสามล้อด้วยกัน จึงเรียกว่ารถสามล้อ แต่ชาวบ้านเรียกกันว่า รถแซ้กซี่ () (แท็กซี่)

"อยากนั่งหรือลูก?" แม่ถามเมื่อเห็นสองพี่น้อง หันหน้ากลับไปมองรถสามล้อ ที่สวนทาง แล้ว ก็มองหน้ากัน "เราอาจได้นั่ง ที่บางนราก็ได้นะ"

แม่จุดประกายความหวังในใจน้อยเข้าแล้ว พ่ออธิบายว่า ที่ไม่เรียกรถสามล้อนั่งไปกัน ก็เพราะ จากโรงแรมตังเส็ง ไปสถานีรถไฟ เป็นระยะทาง ที่ไม่ไกลนัก เพียงแต่ต้องเดินขึ้นควน ลงควน ครั้งหนึ่ง ระหว่างทาง น้อยสังเกตเห็น สถานีตำรวจภูธรสุไหงโกลก อยู่ทางขวามือ รูปร่างเหมือนกับ โรงพักที่แว้ง ไม่มีผิด ทางซ้ายเป็นห้องแถวไม้ ยาวเหยียดไป จนลงควน จึงเป็นพรุ ไม่ใหญ่นัก

พากันเดินต่อไปเรื่อยๆ ยังไม่ทันเหนื่อย ก็ถึงสถานีรถไฟแล้ว น้อยเริ่มตื่นเต้นอีกครั้ง เพราะผู้คน จอแจมาก บ้างก็กำลัง ขนข้าวของสินค้า บ้างก็อุ้มลูกจูงหลาน เพื่อเดินทาง ไปกับรถไฟ เสียงตะโกน เป็นภาษามลายู ดังโขมงโฉงเฉง ถึงน้อยจะเคยขึ้น รถไฟมาแล้ว ครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้น เธอยังจำความไม่ได้ ครั้งนี้ จึงเหมือนกับ การขึ้นรถไฟครั้งแรก ในชีวิตของเธออยู่ดี

น้อยเห็นทางรถไฟเป็นรางเหล็กยาวเหยียด สุดลูกหูลูกตา สำหรับให้รถไฟวิ่ง พ่อบอกว่า รางนี้ต้องวางเป็นแนว ให้ห่างเท่ากันตลอด ไม่อย่างนั้น รถจะตกราง เขาวางราง บนท่อนไม้ สี่เหลี่ยม เรียกว่า ไม้หมอน ตรึงไว้ด้วย หมุดเหล็กตัวใหญ่ ข้างใต้ไม้หมอน เขาถมด้วย ก้อนหินทุบ ขนาดเท่ากำปั้น

กำลังชะเง้ออยู่กลางรางรถ เพื่อดูว่าทางรถไฟ มันมาจากทางไหน และมันจะไปทางไหน แม่ก็พูด เสียงเข้มขึ้นว่า

"เอ้า! น้อย เร็วเข้า มัวดูอะไรอยู่ ข้ามทางรถไฟนี่ไปก่อน เร็ว!"

พอข้ามทางรถไฟแล้ว พ่อก็บอกให้แม่และทุกคน เฝ้าของที่ชานชาลา ส่วนพ่อไปที่ห้องขายตั๋ว มีคนออกัน แน่นขนัด แย่งกันซื้อตั๋วชุลมุน ขณะนั้น เจ้าพนักงาน สถานีคนหนึ่ง ถือธงสีแดง ออกไปที่ริมชานชาลา ด้านที่เพิ่งข้ามกันมา แล้วรถไฟทาสีเขียวๆ เหลืองๆ ก็แล่นชึ่กชั่ก พร้อมเปิดหวูด เสียงน่ากลัว มาแต่ไกล แถมพ่นควันขึ้นฟ้า เป็นกลุ่มๆ ด้วย ผู้คนเฮละโล อย่างวุ่นวาย ไปทางด้านนั้น แต่ไม่มีใคร ก้าวล้ำลงไป ใกล้ราง เสียงรถไฟ ยิ่งดังโครมคราม เหมือนแผ่นดิน จะถล่มทลาย จนน้อยกลัวว่า มันจะหยุดไม่ได้ แล้วพุ่งเข้า ชนสถานี เธอยึดมือแม่ไว้แน่น เหงื่อซึมหลัง ทั้งที่อากาศเย็น แต่แล้วก็ค่อยรู้สึกดีขึ้น เมื่อรถหยุดลง ไม่ได้พุ่งชนสถานี

พ่อซื้อตั๋วสำหรับทุกคนได้แล้ว และเดินกลับมา แม่ก้มลง พูดกับน้อยว่า

"เห็นไหมน้อย รถไฟมันน่ากลัวอย่างนี้ แม่ถึงเร่งให้ลูกเดิน ข้ามรางโดยเร็ว"

น้อยพยักหน้า นึกภาพรถพุ่งชนคนที่ข้ามไม่ทัน รู้สึกสยดสยอง จึงถามแม่ว่า

"เคยมีคนถูกรถไฟชนตายไหมคะ แม่?"

"รถมันเป็นเหล็กทั้งคัน ไม่รอดหรอก เสียงมันก็น่ากลัวจะตาย แล้วยังพ่นควันออกมาอีก" พี่แมะ ตอบแทนแม่ น้อยจึงรู้ว่า พี่แมะคนเก่ง ก็กลัวเหมือนกัน พ่อเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นว่า

"มันน่ากลัว แต่มันก็มีประโยชน์มาก ลูก แล้วที่มันพ่นควัน ก็เพราะเขาต้มน้ำ ให้เป็นไอ นั่นไง ใต้ท้อง หัวรถจักรนั่น เห็นไหม ที่พ่นฟู่ๆ ออกมานั่น ไม่ใช่ควันนะ มันเป็นไอน้ำร้อน ไอนั้น ไปดันลูกสูบ นั่นตรงนั้น ที่มันเลื่อน ไปมาได้ ให้มันไปดันล้อให้หมุน รถก็เลยไปได้ นั่นไงน้อย แมะ ตรงหัวรถนั่นไง เป็นหม้อต้มน้ำ รถต้องเติมน้ำ เติมฟืน เป็นระยะ ฟืนที่เขากองไว้ เป็นกองใหญ่ๆ ตรงโน้นนั่นแหละ ที่เขาใส่ในเตา เพื่อต้มน้ำ เข้าใจไหม?"

สองพี่น้องตอบพ่อว่าเข้าใจแล้ว พี่แมะแถมว่า "เขาต้มน้ำเป็นไอ ก็เลยเรียกรถไฟว่า รถจักรไอน้ำ ในหนังสือ วิทยาการทั่วไป ของแมะ ก็มีค่ะ" ส่วนน้อยถามต่อ ด้วยความอยากรู้ว่า

"ใครทำรถไฟนี้คะ เก่งจัง แล้วทางรถไฟยาวๆ นี่ใครทำคะ?"

"หลวงลูก หลวงต้องใช้เงินมาก มาทำทางรถไฟ ตัวรถ เราก็ต้องซื้อเขามา วันหลังโตขึ้น น้อยก็จะได้ เรียนรู้เรื่องนี้ รถไฟขบวนนี้ ไม่ใช่ของเรา มันมาจากกลันตัน พอมันออก จากสถานี ขบวนของเรา ก็จะเข้ามาเทียบ อีกด้านหนึ่ง วันนี้คนมากจริงแม่"

น้อยถอนหายใจ ดูเหมือนว่ามีอะไรๆ อีกมากมาย คอยเธอให้ได้เรียนรู้ เมื่อโตขึ้น เธอบอกไม่ถูก ว่ายังอยากไป บางนราอยู่อีกหรือไม่ ไหนจะรถยนตร์ ไหนจะรถไฟ ที่ต้องระวังไปหมด ไม่สามารถ วิ่งเล่นได้ เหมือนอยู่ที่แว้ง

เธอรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก และ เวียนศีรษะเป็นกำลัง เมื่อถูกฉุด ให้ไปข้างหน้า ถูกเบียด จนตัวลีบ ให้ไปข้างๆ แล้วก็ถูกแทรก ถูกผลัก ให้ไปข้างหลัง พี่แมะกับแม่ ก็คงถูกเหมือนกัน แต่เธอตัวเล็กกว่าเพื่อน จึงสู้แรงเหล่านั้น ได้น้อยกว่า ทำไมคนถึงต้อง เบียดกัน มากมาย อย่างนี้ บันไดขึ้นรถ ก็ขึ้นไปได้ ทีละคน เท่านั้นนี่นา เธอได้ยินแต่เสียงแม่ พูดซ้ำๆ ว่า "มาแมะ มาน้อย ตามแม่มา ขึ้นไปก่อนลูก"

ยังไม่ทันที่น้อยจะเบียดคนขึ้นไป เสียงพ่อก็ดังขึ้น เป็นภาษามลายู

"บุวี โต๊ะชา นาเฮะดูลูลา (ให้พระขึ้นก่อนครับ)"

ได้ผล แขกทั้งหญิงชาย หยุดเบียดเสียดกัน แถมหลีกทางเป็นวงกว้างด้วย พวกเขาไม่ได้นับถือ พุทธศาสนา แต่คำว่า โต๊ะชา (พระ) ก็ยังมีความหมายว่า เป็นนักบวช ในพุทธศาสนา ท่านแตะต้อง ผู้หญิงไม่ได้ พ่อนิมนต์ ให้ท่านขึ้นไปก่อน และ เพราะท่านเป็นพระ พ่อจึงต้อง นั่งลงข้างๆ ท่าน เพื่อกันผู้หญิงออกไป พ่อให้แม่ พี่แมะ และน้อย นั่งเบียดกัน ในเก้าอี้ อีกตัวหนึ่ง จากนั้น พ่อจึงรับข้าวของที่ มะตาเห ส่งขึ้นมา ทางหน้าต่าง แล้วมะตาเห ก็บอกลา เพื่อกลับไปแว้ง

ผู้โดยสารแน่นมาก พอนายสถานีเป่านกหวีด โบกธงสีเขียว รถก็เริ่มเคลื่อนออก จากสถานี แม่ถอนหายใจ เหมือนโล่งอก ตอนแรก รถไฟแล่นช้าๆ ก่อนแล้วค่อยเร็วขึ้นๆ จนน่ากลัว น้อยมองเห็น เสาไฟฟ้าข้างรถ วิ่งหนีกันเป็นแถว ต้นยางในสวนทั้งสองข้าง ก็วิ่งหนีรถไฟ เหมือนกัน ที่อยู่ใกล้ วิ่งหนีเร็วกว่า ที่อยู่ไกลออกไป เธอชี้ให้พี่แมะดู

"อย่ายื่นมือออกไปเป็นอันขาด น้อย เดี๋ยวโดนสะพานนิ้วขาด" เอาอีกแล้ว มีเรื่องให้ต้อง ระวังอีกแล้ว น้อยชะโงก มองพ่อ พ่อชี้ให้เธออ่านข้อความ ในกรอบเหนือที่นั่ง เขาเขียนไว้ว่า "อันตราย อย่ายื่นแขนขา ออกไปนอกตัวรถ" เธอเห็นโซ่ โผล่ออกมาจากท่อไม้ ติดกับผนังรถ เหนือป้ายนั้น เสียงพ่อสั่งมาอีกว่า "อย่าไปดึงเข้าเชียวนะ" และน้อยก็เห็น อีกข้อความหนึ่ง เขียนว่า "ห้ามดึง โดยไม่มีเหตุจำเป็น ปรับ ๕๐๐ บาท"

น้อยนั่งนิ่งเบียดไปกับพี่แมะ รู้สึกค่อยชินกับการนั่งรถไฟขึ้นบ้างแล้ว ลมที่พัดเข้ามา ทางหน้าต่าง ทำให้ค่อยเย็น สบายขึ้น รถหยุดที่สถานีหนึ่งแล้ว ผู้โดยสารเบียด เพิ่มกัน ขึ้นมาอีก พอรถจะออก น้อยเห็นมันพ่นควัน เขม่า และดอกไฟ ออกมามากมาย พอออกไปได้ ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น พวกแขก ที่นั่งตรงกันข้าม กับพ่อ ก็โวยวาย อย่างตกใจขึ้น แขกนอกนั้น ก็ลุกขึ้นเบียดเสียด จะออกจากตู้

น้อยลุกทะลึ่งพรวดขึ้น ด้วยความตระหนกและกลัว แม่ดึงตัวเธอเข้ามา ไม่ให้ไหลไปกับคนอื่น รถยังวิ่งเร็ว อยู่เช่นเดิม เสียงอื้ออึง ทำให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง วิ่งเข้ามา น้อยเห็นเขาปีนขึ้นไป บนพนักเก้าอี้ พ่อส่ง แก้วน้ำขึ้นไป ให้เขาราดลงไป บนจุดเล็ก ที่ไฟกำลังไหม้อยู่ ขณะเดียวกัน พ่อก็เอาน้ำ ราดไปบนจีวร ด้านหลังของพระ ที่ท่านม้วนไว้เป็นลูกบวบ ดอกไฟได้ปลิวเข้ามา ทางหน้าต่างด้านนั้น ไปติดข้างบนคาน และตกบนจีวร ทำให้จีวรท่าน ไหม้ไปด้วย แต่ดูท่าน สงบมาก ไม่โวยวายอะไรเลย พ่อขอให้ เจ้าหน้าที่คนนั้น ช่วยไปซื้อน้ำเย็น จากห้องเสบียง มาถวายท่านด้วย

อ่านต่อฉบับหน้า

หนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๗ ตุลาคม ๒๕๔๕