เรื่องสั้น
* ธารธรรม
คำสารภาพ
(ตอนจบ)
อีกอย่างหนึ่ง
วาจาคารมของคนเราเป็นเหยื่อเป็นอาหารของผู้เสพทางหูดูทางตา ให้เกิดความกระหาย
ใคร่อยากจะเห็น อยากจะฟัง และวาจาคารม ก็เป็นเหยื่อชักจูงใจ ได้ทั้งทางดี
และทางชั่ว สุดแท้แต่เจตนา ของผู้แสดง เป็นสำคัญ พระคุณเจ้าได้เทศน์
โดยไม่ได้ปรุงแต่ง คารมใดๆ ไม่ได้ฟอกข้าพเจ้า ด้วยผงมีฟอง ที่ข้าพเจ้าใจเย็น
นั่งฟังได้ ก็ใช่ว่า จะเก่งเหนือมนุษย์ คนอื่นๆ แต่เป็นเพราะท่านแฝงเทคนิค
ในการเทศน์ เอาไว้ จนทำให้ข้าพเจ้า สงสัย ในคำว่า
"สายเลือดชั่ว" และคำว่า "การลงทุน"
นั้น ความหมายที่แท้จริง คืออะไร นี่ต่างหาก แล้วข้าพเจ้า ก็ได้พบ
และได้เห็นนิสัยตัวเอง อย่างแท้จริง ชัดเจน นี่ถ้าท่าน ไม่จับเอานิสัย
ความรู้สึกดิบๆ ของข้าพเจ้า พลิกขึ้นมา ข้างหน้าแล้ว ข้าพเจ้าหรือ
จะเห็นข้างหลังได้
ความจริงแล้วข้าพเจ้าเป็นโรคทางจิตชนิดหนึ่ง
พระพุทธเจ้าเรียกว่าโรค "ถัมภะ" คือ
"หัวดื้อ" เป็นโรคที่ ขัดขวาง ความก้าวหน้า ทั้งทางโลก
และ ทางธรรม
เท่าที่สำรวจดูตัวเองโรคถัมภะ
ที่ข้าพเจ้าเป็นอยู่นี้มีสองประเภทด้วยกัน
ประเภทที่หนึ่ง
ดื้อดึง โรคนี้จะเกิดขึ้นแก่ ข้าพเจ้าเมื่อได้ยินคำสั่งสอนตักเตือน
ของผู้อื่น ไม่เชื่อคำท้วงติง ของใคร เชื่อมั่นแต่ตัวเอง จนคนอื่นรู้นิสัย
ไม่กล้าบอกกล่าวตักเตือนใดๆ เพราะกลัวแสลงโรค
ประเภทที่สอง ดื้อด้าน
ดื้อแบบอ่อนนอกแข็งใน จะเกิดขึ้นเมื่อได้รับคำตำหนิตักเตือน จากผู้ใหญ่
หรือ ผู้มีตำแหน่ง หน้าที่สูงกว่า ข้าพเจ้าจะเก็บความไม่พอใจ เอาไว้ข้างใน
ไม่ว่าใคร จะแนะนำสั่งสอนอย่างไร ก็จะครับผม ไปเรื่อยๆ แต่ไม่ทำตาม
นี่คือโรคจิต "ถัมภะ"
หรือโรคความหัวดื้อ ซึ่งติดเป็นสันดานตลอดมา และอาจสืบทอดลง สู่สายเลือด
อีกทางหนึ่ง เหมือนเชื้อ ไม่ทิ้งแถว กำพืดมันเป็นอย่างไร สายเลือดมัน
ก็เป็นอย่างนั้น
การที่ข้าพเจ้ามีนิสัยหัวดื้อแบบแมวนี่ก็อีก
แมวเป็นสัตว์ที่น่ารักแต่ฝึกยากสอนยาก ไม่รู้ว่า จะหาวิธี สอนมันอย่างไร
เพราะมัน เป็นสัตว์หัวดื้อตัวยง ลองจับแมวให้ยืนขึ้น แล้วดึงหลัง ให้มันโก่ง
ไม่มีทาง ที่มันจะโก่งตาม มันจะแอ่นหลัง ลงทันที ครั้นจับหนังท้อง
ดึงลง มันก็จะ โก่งหลังขึ้น จับคอดึง ให้เดินไปข้างหน้า มันก็จะถอยหลัง
ครั้นดึงหาง ให้มันถอยหลัง มันก็ตะกุย ไปข้างหน้าท่าเดียว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้
ก็ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าหวาดหวั่น เพราะยิ่งมองดูตัวเองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็น
นิสัยลูก มากขึ้น ก็เท่านั้น พ่อแมว ลูกแมว หลานแมว มันก็ยังเป็นแมว
แต่เอาเถอะ นั่นมันสัตว์ แต่ไฉน เราเกิดมา เป็นมนุษย์แท้ๆ
กลับลงทุน สร้างนิสัย แบบสัตว์ๆ ทับถมซับซ้อน เพลิดเพลิน หมกมุ่นมัวเมา
ไปกับกิเลส ตัณหาสารพัด ดั่งตัวหนอน ที่ตกบ่อ อุจจาระ มันทั้งดีใจ
และพอใจ ที่ได้อยู่ในโลก อันอุดมสมบูรณ์ ไปด้วยอาหารการกิน เก่าหมดใหม่มา
เน่าเหม็น แช่ปาก แช่ตาอย่างไร หนอนไม่เคยรู้สึก
ยิ่งคิดมากก็ยิ่งเห็นอะไรมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้แต่ศีลสักข้อ ก็ไม่เหลือไว้ ให้ภูมิใจ ให้รักษา แล้วจะให้ สายเลือด
มันดีได้อย่างไรกัน ในเมื่อ "กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด"
เอาเฉพาะ กิเลสใหญ่ๆ หลักๆ ที่มองเห็นง่าย ในตัวเอง แค่เอา สามจำพวกนี้
มากล่าว ท่านก็รับข้าพเจ้า ไม่ไหวแล้ว
พวกที่หนึ่ง
กิเลสจำพวกที่ทำให้จิตใจหิว อยากกอบโกย อยากได้มาไว้เป็นของตัวเอง
ให้มากๆ อยากหวงแหน อยากสะสม ทั้งทุจริต "กิเลสโลภะ"
มีตำแหน่งใหญ่โต ประจำตระกูล
พวกที่สอง
กิเลสจำพวกจิตร้อน กิเลสล้างผลาญ อยากได้อะไรบนความพินาศ ของคนอื่น
อยากด่า อยากฆ่า เมื่อได้สมดังใจ อยากโกรธ อยากชังคนนั้นคนนี้
"กิเลสโทสะ" ตามกอด ตามเกาะ จนมีตำแหน่ง ในตระกูล
พวกที่สาม
กิเลสทำให้ลุ่มหลง มัวเมา งมงาย และมืดบอดทางปัญญา
"กิเลสโมหะ" นี่ก็มีตำแหน่ง ติดอันดับ ในตระกูล อีกเหมือนกัน
พระพุทธองค์ ท่านทรงฆ่ากิเลสเหล่านี้ด้วยปัญญา
อันเกิดจากบุญบารมีที่สะสมมา แต่ข้าพเจ้า จะแก้อย่างไร ชาติไหนๆ ก็สร้างแต่บาป
แต่กรรม ลงหม้อนรก อยู่ไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งที่มอง เห็นทาง อยู่ทนโท่ว่า
ไหนทางบาป ไหนทางบุญ ทางไปสวรรค์ ทางไปนรก ทั้งสองทาง ต่างก็มี คนเดินให้เห็น
แต่เป็นเพราะ สาเหตุใด สายเลือด ของข้าพเจ้า จึงเลือกทางเดิน สายนรก
ลองย้อนถอยหลังมาพิจารณาที่ปากทางสองแพร่งนี้
เพื่อพิเคราะห์ หาเหตุผล เพ่งมองดู สายบาป หรือ สายนรกก่อน ทางสายนี้
มีคนมากหน้า หลายตา หลายสาขาอาชีพ หลากหลาย ภาษา ต่างแออัด เบียดเสียด
แย่งกันเดิน ส่งเสียงโห่ร้อง ตอบรับกันเซ็งแซ่ ทั้งคนที่เรารัก เพื่อนฝูง
ญาติพี่น้อง ผู้หลักผู้ใหญ่ ที่เคารพนับถือ ต่างโบกไม้ โบกมือ ต้อนรับอยู่เย้วๆ
อาหารของกิเลส มีมากมาย ให้ลองลิ้ม ชิมรส เสียงหัวเราะ ร้องไห้ ดีใจ
เสียใจ สุขทุกข์ ถือเป็นเรื่องธรรมดา ของมนุษย์ ผู้เดินทาง น้ำจะไหลลงคลอง
ลงร่อง ที่สะดวก และ กว้างใหญ่ ผองชน จะเดินตาม คนหมู่มาก กฎกติกาของโลก
ย่อมให้ความสำคัญ ต่อเสียงข้างมากเสมอ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่นิสัยสันดาน
ของมนุษย์ ต้องไหลไปตาม เส้นทางของผู้เริ่มต้น
เมื่อมีทางบาปก็ต้องเกิดทางบุญ
ในความรู้สึกของข้าพเจ้าเชื่อว่า ทางสายบุญ แยกออกมาจาก ทางสายบาป
โดยทางสองเส้นนี้ เริ่มต้นเป็น ทางสายเดียวกัน มนุษย์เกิดใหม่ ยังไม่รู้จัก
บุญบาป จะรู้เพียงหิว ร้องไห้ และ ขับถ่ายปฏิกูล ในร่างกาย ให้เลอะเทอะ
เท่านั้น พ่อแม่ ต้องหอบหิ้ว ต้องกระเตง จนกว่าจะเติบโต เรียนรู้แบบ
รู้ภาษา ของพ่อแม่ มนุษย์แรกเกิด ยังไม่มีองค์ประกอบ เหตุปัจจัยเอื้ออวย
ให้ก่อบุญ ก่อบาป (แต่เชื้อบุญ เชื้อบาป ยังมีอยู่ เพียงแต่ นอนนิ่ง
ยังไม่ปะทุ) จึงยังคงความบริสุทธิ์ ปลอดจากนรกสวรรค์ จนเมื่อเติบใหญ่
รู้จักคิด รู้จักแบบ เริ่มทำถูก ทำผิด ด้วยตัวเอง นั่นแหละ สวรรค์นรก
จึงถามหา
คนเราเริ่มเติบโตมาจากแบบจากเบ้าที่หล่อหลอมทั้งชีวิตและจิตใจ
ให้เดินไปตามแนว ตามแบบ ตามเบ้า ตามจารีต และ อาชีพของใครของมัน โดยมีองค์ประกอบ
ของเชื้อสาย เผ่าพันธุ์ มาเป็นจุดหลอมรวมกัน จึงได้เกิดรูปร่าง ลักษณะนิสัย
คล้ายคลึง กับเบ้าแบบ เช่นเดียวกับวัตถุ ทัพพีหักขันแตก เมื่อนำมา
หลอมละลาย กลายเป็น น้ำทองแดง ทองเหลือง พอเทลงในแบบในเบ้า ก็ได้รูปพรรณ
สันฐาน ตามความต้องการ และมีคุณค่า ประโยชน์ ใช้สอย ส่วนไหนที่กระเด็นกระดอน
ออกนอกเบ้า ก็กลายเป็น เศษเหล็ก เศษทองเหลือง ที่คำนวณ หาคุณค่าไม่ได้
มนุษย์ก็เช่นกัน คนไหนที่ก้าว เดินออกนอกลู่ นอกเส้นทาง ออกนอกเบ้า
นอกแบบ ก็กลายเป็น เศษคน เศษมนุษย์ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมคนเรา
จึงมักจะเดิน ทางสายบาป หรือ สายนรก ก่อนทางสายบุญ เพราะทางสายนรก
มาก่อน เป็นประธาน พอลืมตาจำความได้ ก็ฝากร่างกาย ไว้บนเส้นทาง สายนี้แล้ว
สำหรับทางสายบุญ
ซึ่งมนุษย์เลือกเดินได้เป็นสายที่สอง เป็นเส้นที่มีพระเจ้า และ ศาสดา
ต่างๆ เป็นผู้แนะนำ ประทาน เป็นเส้นทาง แห่งปัญญา ทางแห่งความประเสริฐ
ของมนุษยชาติ ที่ควรแสวงหา
ทางสายบุญที่ข้าพเจ้าจะพูดถึง
คือทางสายที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปี ผ่านมาแล้ว
ท่านเสด็จหนี ออกจากทางสายนรก ก่อนใครๆ แล้วค้นหาทางสายบุญ สายสวรรค์
อย่างจริงจัง เมื่อท่าน ค้นพบแล้ว ก็ออกมาเทศน์ โปรดเวไนยสัตว์ ให้เห็นโทษ
ของทางสายเดิม (สายนรก) เพราะไม่อาจทนเห็น ความทรมาน ของเหล่ามนุษย์
ที่ถูกไฟนรก เผาผลาญ อยู่ไม่เว้น ถึงแม้ว่ามนุษย์เหล่านั้น จะไม่สามารถ
จะสละเส้นทางเดินเดิม แล้วออกบวช ปฏิบัติเหมือนอย่างท่านได้ ท่านก็ยังทรงมอบ
ศีลวิเศษห้าข้อไว้ เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัว ถ้าทุกคนถือปฏิบัติ
อย่างเคร่งครัด ก็จะปลอดภัย จากไฟนรกทั้งปวง
ถึงแม้ทางสายที่พระพุทธองค์ทรงสร้างไว้จะผ่านพ้นยุคสมัย
และกาลเวลา มานานเนิ่น ถึงสองพันห้าร้อยกว่าปี ก็ตาม ยังมีคนก้าวเดินอยู่ไม่ขาด
แต่ก็ไม่คึกคักขวักไขว่ เหมือนเส้นทาง สายนรก ข้าพเจ้าเพ่งดูเส้นทาง
อย่างพิจารณา ทางสายบุญ หรือทางไปสวรรค์ ของพุทธองค์ ราบเรียบดูดี
แต่มีคนเดินกันจริงๆ น้อยมาก ส่วนใหญ่ ก็เพ่นพ่าน อยู่แถวๆ ปากทาง
ถึงแม้ว่า หลายคน จะรู้เส้นทาง แต่ก็ดูเหมือนว่า จะรู้กันแต่เพียงผิวเผิน
ไม่ค่อยมี คนรู้จริง สักเท่าไร ตัวอย่างเช่น ปลาอยู่ในน้ำ แต่กลับมอง
ไม่เห็นน้ำ ทั้งๆ ที่น้ำ แช่ตามันอยู่แท้ๆ คนเดินทาง สายบุญ มีถมเถ
แต่ยังไม่เห็นบุญ ที่แท้จริงว่า มันคืออะไร ปฏิบัติกันแบบไหน ถึงจะเห็นสวรรค์
อย่างเที่ยงแท้ ส่วนมาก เอาบาป มาเป็นบุญ และบ้างก็ดึงบุญ มาเป็นบาป
อยู่เช่นนั้น
กล่าวย้อนมาแต่หนหลัง
ตัวข้าพเจ้าเองเคยคิดว่าฆ่าสัตว์ทำอาหารถวายพระสงฆ์ จะได้บุญมาก เพราะพระสงฆ์
จะได้รับอาหารดีๆ มีแรงมีกำลัง ปฏิบัติศีล ปฏิบัติธรรม ไม่ได้เฉลียวใจว่า
เราเบียดเบียน ชีวิตหนึ่ง ไปให้อีกชีวิตหนึ่ง เรียกว่า เอาบาปมาทำบุญ
หรือ เอาบาปมาแลกบุญ ซึ่งจะต้องขาดทุนเรื่อยไป แต่กลับมีผลกำไร ทางสร้างบาป
สร้างกรรม เพิ่มขึ้น จากการฆ่าทำลายล้างเผ่าพันธุ์ ชีวิตสัตว์โดยเจตนา
แต่เดิมข้าพเจ้าเคยคิดว่า
ซื้อบุหรี่ถวายพระ ซื้อเครื่องหอมถวายพระ เอาเงินทองของมีค่า ถวายพระ
จะได้บุญ สมปรารถนา เกิดชาติหน้า จะเป็นคนเนื้อหอม หน้าตาดี เป็นเศรษฐีมั่งคั่ง
แต่หารู้ไม่ว่า นั่นคือ การดึงบุญ มาเป็นบาป ทำให้พระ ต้องผิดธรรม
ผิดวินัย พระพุทธเจ้า ทรงมีบัญญัติห้ามไว้ ไม่ให้ถวาย ของเหล่านี้
แด่พระภิกษุ และ ห้ามมิให้ภิกษุ รับของเหล่านี้ อันจะนำกลับไป สู่เส้นทางของกิเลส
หมุนเวียนไปสู่นรก พระท่านต้องการ ฝึกปฏิบัติ ธรรมวินัย เพื่อความหลุดพ้น
จากกิเลสนรกทั้งหลาย แต่เรากลับนำเอาสิ่งของ อันไม่ควรมาถวาย เป็นการดึง
ความสูงของท่าน ให้ต่ำลง จากการว่างเปล่า จากกิเลส กลับมาสะสมกิเลส
เช่นนี้ จะเป็นบุญ อันประเสริฐ ได้อย่างไร?
การสร้างบุญสร้างกุศล
หากทำไม่ถูกวิธีสร้างไม่ถูกวิธี ก็ไม่ได้บุญได้กุศล มิหนำซ้ำ ยังจะกลาย
เป็นบาป เป็นกรรม รัดรึงเข้าไปอีก
ข้าพเจ้าเริ่มกระจ่างเมื่อได้ฟังคำอธิบายขยายความจากพระคุณเจ้า
เพราะแต่ก่อน ก็ไม่ได้ เห็นบาป เห็นบุญอะไร ที่เข้ามาศึกษา ก็เพียงแค่สงสัย
พอศึกษาไป ก็เกิดความศรัทธา ในวัตรปฏิบัติ ของกลุ่ม ผู้เดินทาง ที่มีแต่
ความสงบเงียบ เรียบง่าย มีระเบียบ ต่างมุ่งหน้า สู่ทิศทางเดียวกัน
ผิดกับทางนรก ของข้าพเจ้า ที่มีแต่ความวุ่นวาย นึกเป็นห่วงสายเลือด
ที่จะต้องตกหลุมนรกด้วยกัน เลยคิดเอาเขา หนีออกจาก ทางสายเดิม หวังให้เขาได้พ้นจาก
ปากเหวนรกเหล่านั้น จึงนำเขามาฝาก ให้เดินบนเส้นทางบุญ โดยที่ข้าพเจ้า
ยังกลับไปวุ่นวาย อยู่กับทางสายบาป อย่างไม่รู้หนาว รู้ร้อน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้
หูก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญ จึงลืมตามองดูเส้นทาง เบื้องหน้านั้น
ข้าพเจ้ามองเห็น กลุ่มคนเดินทาง อย่างสงบ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต่างเดินเป็นแถว
อย่างมี ระเบียบ ค่อยๆ ก้าวไป อย่างมั่นคง เงียบเหมือนไร้ผู้คน ในขบวนแถวนี้
มีใครบ้าง ข้าพเจ้า ไม่อาจจะทราบได้ เพราะผ่านหน้า ไกลออกไปแล้ว จนยากแก่การจดจำ
เพ่งพินิจที่หางขบวน
เห็นเด็กพลัดหลง คนหนึ่งเดินโซซัดโซเซ อ่อนระโหยเต็มที กลุ่มที่ล่วงหน้าไป
ค่อยๆ หันกลับมา ช่วยพยุงเขา ให้ก้าวต่อไป บ้างก็ปลอบใจ ให้เข้มแข็ง
แต่ดูเหมือนกับว่า เขาจะหมดแรงเอาจริงๆ เริ่มก้าวเท้าช้า... ช้าลง
พร้อมกับเสียงร้องไห้ คร่ำครวญ ดังมาเป็นระยะ
"พ่อครับ
ช่วยด้วย ผมกำลังจะหมดแรง แม่ครับ ผมขาดเสบียงทั้งกายและใจ พ่อครับ
แม่ครับ มาอยู่ใกล้ๆ ผมเถิดครับ ผมไม่มีกำลัง ที่จะก้าวต่อไปแล้ว ผมจะหมดบุญแล้วครับพ่อ..."
ข้าพเจ้าถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นเพราะความสงสาร
เขาเป็นสายเลือด ที่ข้าพเจ้า ส่งให้มาก้าวเท้า อยู่บนเส้นทางสายนี้
โดยขาดการเตรียมพร้อมทุกด้าน ขาดเสบียงบุญ ติดตัวมาเป็นทุน ข้าพเจ้าบกพร่อง
ในหน้าที่พ่ออย่างยิ่ง ในขณะที่เสียงร้องเรียก ค่อยๆ เงียบลง แต่เสียงสะอื้น
ยังก้องอยู่ ความรู้สึก ทันใดนั้น ก็มีเสียงใหม่ ร้องเรียก เสียงนุ่มๆ
แต่หนักแน่น
"มาเถิดโยม..มาเป็นกำลังใจให้เขา
ช่วยพยุงเขาให้ก้าวเดินต่อไป มาลงทุนร่วมกัน ร่วมเดินทาง เส้นเดียวกัน
ลูกของโยม จะได้อบอุ่น และมั่นใจ ในทางสายนี้ เข้ามาเถิด.. อย่าได้เบียดเวลา
ไปหานรกอยู่อีกเลย.."
ปิ้งปลาหมองอแล้วให้รีบกลับ
เป็นเคล็ดลับโบราณท่านขานไข
หมายว่าเราทำผิดควรเปลี่ยนใจ
กลับตัวใหม่ทันทีอย่ารีรอ
ทำการใดดันทุรังทั้งผิดผิด
จะไหม้มิดหมดท่าเช่นปลาหมอ
ทั้งทั้งที่ร้อนรัวจนตัวงอ
ยังรั้งรอก็เสียไฟเลียโทรม
หนังสือพิมพ์
เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๗ ตุลาคม ๒๕๔๕
|