หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

เวทีความคิด * เสฏฐชน
เรื่องอ่านจากล่าม

อ่าน "เรื่องจากล่าม..." เขียนโดย "นภา หลิน" หรือ "นภา เลิศสง่า" (นภา เทพหัสดินณ อยุธยา) ซึ่งได้รับการศึกษา ระดับประถมศึกษา ถึงมัธยมศึกษา ที่มณฑลกวางตุ้ง ประเทศสาธารณรัฐ ประชาชนจีน ปริญญาโท ด้านศิลป วัฒนธรรมตะวันออก จากมหาวิทยาลัย เหวินฟ่า นครไทเป ประเทศไต้หวัน หลังแต่งงานแล้ว ส่วนใหญ่ย้ายตามสามี ที่ปฏิบัติราชการ ณ ต่างประเทศ จึงมีประสบการณ์ต่างๆ เชี่ยวชาญ ภาษาจีนกลาง มากพอที่จะเป็นล่าม ให้ประเทศไต้หวัน เกี่ยวกับการลักลอบเข้าเมือง เพื่อค้าประเวณี ที่เธอต้องทำหน้าที่ แปลเป็นภาษาไทย ให้รู้เรื่อง ระหว่างเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับ การจับผู้ค้า คนเหล่านี้ เพื่อส่งกลับ หรือช่วยเหลือต่างๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับ แวดวงโคจร ของการค้าประเวณี โสเภณีข้ามชาติ ทั้งประเภท ถูกหลอกลวง และสมัครใจ ซึ่งเป็นที่น่าตกใจอย่างยิ่ง เมื่อได้ข้อมูล จากหนังสือ เธอว่า จำนวนโสเภณี ที่สมัครใจ มีจำนวนทวีมากขึ้น ทั้งที่เป็นอาชีพ ซึ่งคนส่วนใหญ่ จะตราหน้าว่า ไม่สะอาด ทั้งที่คนอาจจะรู้สึกว่า เป็นความใจร้าย ใจดำต่อเพศหญิง แม้เพศหญิง ด้วยกัน นั่นแหละ ที่เป็นสื่อ เป็นตัวนำ เป็นตัวช่วยกันทำให้ ธุรกิจประเภทนี้ ดำรงอยู่ โดยมีผู้ชาย เป็นกำลัง เป็นอำนาจ เป็นอิทธิพลเชื่อมโยง ร่วมด้วยเป็นน้ำหนัก เป็นเนื้อแท้ อยู่ด้วยก็ตาม

คุณนภา หลิน เขียนหนังสือไว้หน้าหนึ่งว่า "ล่าม...นี้ เป็นชีวิตจริง ของคนจำนวนไม่น้อย ที่เกิดขึ้นบนโลก ยุคปี ๒๐๐๐ นี้ ผู้เขียนจะบอกว่า ถึงเวลาแล้ว ที่มนุษย์จะต้องช่วยเหลือ เกื้อกูล ซึ่งกันและกัน โดยผู้แข็งแกร่งกว่า จะต้องหันมาช่วยเหลือ ผู้ที่อ่อนแอกว่าบ้าง มิฉะนั้น สังคมคงจะอยู่ได้ลำบาก เพราะหากจะเปรียบ ความอดอยาก ทุกข์ยาก และความด้อยโอกาส ของกลุ่มคนในสังคม ก็อาจจะเปรียบได้กับ ปิระมิดด้านฐาน ที่นับวัน จะแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และ เนื้อหา ของหนังสือเล่มนี้ ก็นับได้ว่า เป็นชีวิตจริง ของคนกลุ่มหนึ่ง ที่อยู่ในปิระมิดด้านฐานนั่นเอง"

และผู้เขียนต้องการถ่ายทอดเรื่องราว ในฐานะของมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีโอกาสดีกว่า มนุษย์เพศเดียวกันหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงไทย และคนไทย ผู้เขียนต้องการ ที่จะบอกกล่าว ให้คนไทยทั้งหลาย ที่อยู่ดีกินดี มีการศึกษา มีหน้ามีตาในสังคมแห่งนี้ ได้ทราบว่า บนผืนแผ่นดินเดียวกัน กับที่พวกเราทั้งหลาย อาศัยอยู่นี้ ยังมีมนุษย์ ที่มีเชื้อชาติ สัญชาติเดียวกัน กับพวกเรา เปี่ยมไปด้วย เลือดเนื้อ และวิญญาณ ไม่ต่างไปจากพวกเรา แต่พวกเขา กลับมีสภาพ ความเป็นอยู่ ที่แตกต่างออกไป ราวนรกกับสวรรค์

ตัวอย่างเรื่องหนึ่ง คือเรื่องของ "รินทร์" ซึ่งอายุเพียง ๒๗ ปี หน้าตาสวย พูดจาคล่องแคล่ว แต่งงาน ตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ตามสามีมาทำงานก่อสร้าง ที่กรุงเทพฯ มีลูก ๑ คน เสี่ยรับเหมา ก่อสร้าง เห็นหน้าตาดี จึงรับเลี้ยง โดยสามีของเธอ ก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย แล้วโดนเสี่ย หลอกล่อ ให้สามีเธอ ไปทำงาน ที่ประเทศเขมร แล้วพารินทร์ ไปขายที่ฮ่องกง หลังจากที่ เบื่อหน่ายเธอแล้ว โดยเธอไม่รู้ว่า ถูกหลอก มาขาย

เธอโดนขายให้ไปบำเรอกามของคนในเรือ ๑๒๐ คน เป็นเวลา ๖ เดือน จนเธอหาโอกาส เอาตัวรอด ออกมาได้ อย่างทุลักทุเล สะเปะสะปะ ขึ้นรถเมล์หนี อย่างไม่รู้อะไรทั้งนั้น จนถึงไทเป มาพบ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เข้าไปขอความช่วยเหลือ จึงถูกรายงาน ไปยัง กงสุลไทย จนกระทั่ง ถูกส่งไป ร้านอาหารไทย แล้วรินทร์ก็ถูกคนไทย ที่เป็นผู้ช่วยกุ๊ก ที่มีอาชีพ ส่งผู้หญิง ให้แขกนักเที่ยว ชักชวน ให้ทำงาน เป็นแม่เล้าอีก การเริ่มต้นเดิน บนถนนคนชั่ว ของรินทร์ จึงเต็มตัว นับแต่บัดนั้น แต่รินทร์ มีกติกา ในการเป็นแม่เล้า ข้ามชาติว่า จะไม่บังคับใคร ไม่หลอกลวงใครก่อน แต่กลับ เป็นเรื่องแปลก ที่มีตัวมาเสนอตัวมาก จนเธอไม่รู้ จะเลือกใครดี

หลังจากรินทร์ถูกกงสุลส่งกลับเมืองไทย จึงรู้ว่าสามีโดนฆ่าตาย เสี่ยที่นำเธอไปขาย บอกกับ แม่เธอว่า เธอเสียชีวิตในทะเล ทางบ้านเมืองไทย ก็ทำการฌาปนกิจศพ ด้วยรูปถ่ายเธอ ไปเรียบร้อยแล้ว ครั้งแรก เธอคิดจะแจ้งตำรวจ ไปจับเสี่ย แต่ทางบ้านเห็นว่า ไม่มีประโยชน์ อะไร ชีวิตรอดมาได้ ก็บุญถมไปแล้ว จึงระงับเรื่อง และคิดว่า น่าจะหันกลับไปทำงาน ที่ไต้หวันต่อ เพราะยังไงๆ ก็รู้เส้นทาง อาชีพค้าประเวณี ข้ามชาตินี้ ดีอยู่แล้ว จึงเริ่มอาชีพ เป็นแม่เล้าข้ามชาติ นับตั้งแต่นั้นมา

เธอยืนยันว่า กิจการชนิดนี้ ล้วนมีผู้มีสี สังกัดหน่วยราชการที่เป็นบุรุษ เป็นผู้กำอำนาจ กำชะตา กำทุกๆ อย่าง กำชีวิต ในนามของเจ้าพ่อบ้าง นายพลบ้าง คุ้มครองร่วมหุ้น ลงทุน ปกป้อง มีผลประโยชน์ ส่วนแบ่ง ตำแหน่งกิตติมศักดิ์ ด้วยทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าหวังเลยว่า จะลบล้างอาชีพนี้ ให้หมดไป

เธอเคยติดคุกไต้หวันหลายครั้ง ครั้งละเป็นปี แต่แม้อยู่ในคุก ก็ยังสามารถ ดำเนินงานได้ เพราะมีเครือข่าย มีอิทธิพลเชื่อมโยง เป็นสะพานอยู่ ทั้งด้านการค้าประเวณี การค้าของเสพติด ให้โทษ เป็นกระบวนการ ที่ไม่อาจทำลายล้างได้ เพราะรากแก้ว รากใหญ่ รากน้อย แผ่ไพศาล กินตัว ไปโดยรอบ สิ่งที่คนในวงการนี้ ถือร่วมกัน คือ "บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ" และ บุญคุณก็ทดแทนไม่รู้จักหมด ถ้าใครโกง หักหลัง ก็อย่าหวัง จะมีชีวิตรอดอยู่ได้ วงจรชีวิต ในสังคมอย่างนี้ น่ากลัวยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด คุณนภา หลิน บอกว่า "น่ากลัวมาก อย่าไปเล่น กับคนไม่มีอนาคต ต่อมสติบกพร่อง ถ้าใครยังไม่เคย ก็ขออย่าไปลอง เสือยังน่ากลัวน้อยกว่า คนพวกนี้ และเรื่องที่ว่า ขอทำแค่ทำทุน แล้วจะเลิก ไม่มีทาง ถ้าง่าย อย่างที่คิดล่ะก็ ซ่องเจ๊ง หมดแล้ว เพราะคนเลิกอาชีพนี้ วันละหลายคน ทำเข้าไปแล้ว มันเลิกยาก ตัวเกาะ ตัวดูด ตัวยึดมันเยอะ มันไม่ปล่อยคุณง่ายๆหรอก กฎเหล็กของขบวนการนี้ ทำให้ผู้หญิง ต้องสังเวย ด้วยชีวิต มาแล้วนับไม่ถ้วน"

โดยเฉพาะโสเภณีข้ามชาติ ที่เกิดขึ้นมาจาก "ค่านิยม+รสนิยม" ที่ผิดๆ ความคดโกง ทุจริต ของข้าราชการ ในวงการของรัฐ ความมักมากในกาม ของผู้ชาย ความละโมบใจร้าย ของผู้ทำ ธุรกิจ ในขบวนการอย่างนี้ ทั้งที่รู้อยู่ว่า เป็นการค้าคน

บางเรื่องได้เล่าถึงการหาคู่ให้คนต่างชาติ โดยหญิงไทย ไปแต่งงานกับผู้ชายสูงอายุ ในไต้หวัน เพราะผู้ชาย สูงอายุ ซึ่งมักเป็นข้าราชการ ปลดเกษียณ แต่มีเงินทอง ต้องการหญิงไทย ไปทำลูก เท่านั้น แต่ถูกแม่เล้า นายหน้าหลอกลวง ไม่บอกว่า ผู้หญิงเป็นหมัน มารู้ภายหลัง ก็ฆ่าหญิงไทย ที่เป็นเมียนั้น ชำแหละใส่ตู้เย็นกันเลย ทั้งๆ ที่เธอจำต้องมาแต่งงาน กับผู้เฒ่า ไต้หวัน เพื่อต้องการเงิน ไปเลี้ยงพ่อ ที่พิการ และลูกเล็กๆ ที่อยู่ในเมืองไทย และทำหน้าที่เมีย อย่างดี ไม่บกพร่อง แต่ความเสียใจ ของสามีเฒ่าไต้หวัน ที่ต้องการเพียงมาทำลูก เมื่อรู้ว่า ผู้หญิง ทำหมันแล้ว ก็รู้สึกว่าเสียรู้ ฆ่าเมียแล้ว ตัวเองก็เป็นบ้า เสียสติในภายหลังก็มี

เราอยากวิเคราะห์จากเรื่องที่อ่านมาเหล่านี้ว่า คนที่ก่อเหตุการณ์เรื่องราว ในทำนองนี้ขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ตัวผู้หญิง ที่ไปขายประเวณี หรือ ผู้ชายที่หลอกลวงเขาไป หรือ ผู้ชายที่ไปซื้อ ประเวณี หรือ ผู้หญิง ที่เป็นแม่เล้า หรือใครๆ ฐานะใดๆ ก็ตาม ล้วนเป็นผู้ต้องรับผิดชอบ ในการเกิดขึ้น ของสิ่งไม่ดีงาม เหล่านี้ เพราะจิตใจแล้งไร้ศีลธรรม

พ่อแม่ที่ขายลูกสาวไปค้าประเวณี เป็นพ่อแม่ที่ทำผิดหน้าที่พ่อแม่ เพราะพ่อแม่มีหน้าที่ ต้องเลี้ยงดูลูก อบรมสั่งสอน ในสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง ไม่ใช่พ่อแม่ที่เอาเปรียบลูก ค้าขาย เลือดเนื้อของลูก มาเลี้ยงดู ตัวเอง

ลูกที่คิดจะกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ ด้วยการไปค้าประเวณี ก็ทำไม่ถูกต้อง หน้าที่ลูกที่ดี เพราะทำให้ ชื่อเสียง วงศ์ตระกูล เสียหายไปถ้วนทั่ว รู้ไปถึงไหน อายไปถึงนั่น ว่านี่ๆ เป็นญาติ เป็นคน นามสกุลเดียว กันกับโสเภณี คนขายตัวคนนั้นๆ

ข้าราชการที่ทุจริตในหน้าที่ หรือเห็นแก่ได้ ดำเนินเรื่องเพื่อการนี้ ไม่ซื่อสัตย์ ต่อการงาน ของตน อาศัย ตำแหน่งหน้าที่ ฉวยประโยชน์ลาภ เงินทอง ข้าวของ บนเลือดเนื้อ หยาดน้ำตาชีวิตผู้อื่น

ผู้เที่ยวเสพประเวณี กระทำผิดศีลข้อ ๓ ทั้งต่อครอบครัว ต่อตัวเอง ต่อสังคม แมงดา พ่อเล้า เจ้าพ่อ ผู้มีอิทธิพล เกี่ยวกับเส้นทาง โคจรเหล่านี้ เป็นคนเห็นแก่ตัว ทำลายความเป็นมนุษย์ อย่างไม่มีชิ้นดี

ผู้หญิงที่ขายตัวเอง บาปเวรไม่มีที่สิ้นสุด อาจต้องชดเชย ด้วยการเกิดมาเป็นสัตว์อื่น ที่ไม่ใช่คน ที่จะต้องโดน กระทำการหยาบช้านี้ อีกหลายภพหลายชาติ

ในตอนหนึ่งคุณนภา หลิน เขียนเล่าว่า ยอดของผู้ที่สมัครใจ ทำอาชีพโสเภณีนี้ มีมากกว่า ผู้ที่ถูกหลอก อย่างน่าตกใจ เมื่อเธอชี้แจง ให้รู้จักรักศักดิ์ศรี เกียรติยศของผู้หญิง โดยเฉพาะ คนไทยที่ถูกย่ำยี จากต่างชาติ มากขึ้นว่า มีแต่ผู้หญิง อาชีพค้าประเวณี ค้ายาเสพติด รวมทั้ง ผู้ชายด้วย ซึ่งผู้หญิงดีๆ เดินทาง ไปต่างประเทศ คราวใด มักจะพบกับปัญหาพวกนี้ ให้เสียอารมณ์บ่อยๆ เพราะถูก เหยียดหยาม ดูหมิ่นว่า เป็นคนไทย ที่ไม่มีจุดประสงค์อื่น มากไปกว่า ค้าประเวณี ค้ายาเสพติด แล้วเธอแนะนำ ให้ผู้หญิงคนนั้น เลิกอาชีพนี้เสีย ก็ถูกตอกกลับมาว่า "พี่เรียนจบชั้นไหน? พี่เคยหิวไหม? พี่เคยจนสุดๆ ไหม? หนูตอบแทนพี่ รวมทั้งคนดี อีกจำนวนมาก ที่ไม่เคยเจอ อย่างพวกหนู ความทุกข์ยากเป็นอย่างไร พวกคุณ ก็ไม่รู้จริง ในสังคมของพวกคุณ ดูถูกเหยียดหยาม มากกว่าคนต่างชาติ เสียอีก ปากคุณ บอกว่าช่วย แต่จริงๆ ไม่ได้ช่วยเลย พวกคุณแบ่งชั้นวรรณะ เป็นที่หนึ่ง" การหาความ "จริงใจ" นั้นยากยิ่งกว่า "หาเงิน" เป็นไหนๆ นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่ง ในการบีบคั้น ให้เกิดอาชีพนี้ขึ้น

ฉะนั้นผู้ที่เกิดมามีโอกาสดีกว่าเขาอื่น ทั้งด้านการศึกษา ความรู้ การงาน หน้าที่ ตำแหน่ง ฐานะ ฯลฯ พึงนำน้อมนำมาตรวจสอบ ตัวเองด้วยว่า เราเป็นคนหนึ่งใช่ไหม ที่มีส่วน ในการผลักดัน ให้เกิดอาชีพ อันไม่งดงามนี้

ความไม่รู้จักพอ สันโดษในการครองชีพ ความไม่รู้จักอิ่มในการบริโภค การไม่รู้จักสำรวม ในการเสพ เมถุนกาม การไม่เห็นอกเห็นใจ เมตตาสงสารผู้อื่น การไม่เสียสละ การไม่มีน้ำใจ ไมตรี การไม่ควบคุม อารมณ์ การไม่มีศีลธรรมกำกับ ในการดำรงชีวิต

ที่สุดก็คือ การไม่รู้จักใช้ชีวิตให้อยู่ในศีลในธรรม การไม่รู้จักอบรมศีลธรรม ให้เกิดขึ้น ในจิตใจ การไม่รู้จัก ขัดเกลากิเลส ระงับตัณหา ของคนทุกฝ่าย ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ทุกชาติ ทุกภาษา นั่นแหละ คือพาหะ ของความชั่วร้ายทุกอย่าง ในคน ในสังคม ในโลก มีอยู่ในทุกๆคน ทุกๆ อาชีพ ทุกๆ สังคม ทุกๆ ภพชาติโน่นเทียว น่ากลัวที่สุด ในโลกด้วย

หนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๗ ตุลาคม ๒๕๔๕