เราคิดอะไร.

ตอน บ้านนอกเข้าเมือง (ตอนจบ)


พ่อพาทุกคนลงจากรถไฟที่สถานีตันหยงมัส ต้องต่อรถยนตร์สองแถว เข้าสู่อำเภอเมือง นราธิวาส หรือที่เรียกกันว่า บางนรา อีกทอดหนึ่ง กว่าจะถึงปลายทาง น้อยก็ชินกับเสียงแป...น แป...น ของรถยนตร์แล้ว พ่อบอกให้รถส่งที่ บ้านญาติสนิทของแม่ ชื่อลุงเกลื่อน ป้าคิม สุวรรณแพทย์ ซึ่งเขายินดีมาก ที่ได้พบพ่อและแม่อีก หลังจากที่ ไม่เคยได้พบแม่เลย ตั้งแต่พ่อย้ายไปอยู่ อำเภอแว้ง

ครอบครัวลุงเกลื่อน และป้าคิม มีลูกสาวสองคน คนโตเป็นสาวแล้ว ชื่อ สุนีย์ สุวรรณแพทย์ คนน้องอายุเท่าน้อย ชื่อ ปรีดา สุวรรณแพทย์ (๑)

ปรีดามีท่าทางเหมือนเด็กผู้ชาย แต่สวมแหวนเพชรวูบวาบที่นิ้วนาง นุ่งกางเกงขาสั้น มีจีบทบ เข้าหากันข้างหน้า ดูท่าทาง โก้กว่าเด็กบ้านนอก จากแว้งทั้งสองคน น้อยก้มมอง เสื้อผ้าของตน วันนี้แม่ให้สวมชุดใหม่ แบบลำลอง ดูดีเหมือนกันแหละ น้อยคิด พอป้าคิมบอก ให้มาเล่น กับน้อย ปรีดาก็เอามือทั้งสองข้าง ล้วงกระเป๋ากางเกง พลางยืดตัว เดินโหย่งอาดๆ เข้ามาถามทันที

"ชื่อน้อยเหอ?" เมื่อน้อยพยักหน้ารับ ก็พูดต่อว่า "ขึ้นต้นชมพู่เป็นไหมล่ะ?" และเมื่อน้อย ตอบว่าเป็น ปรีดาก็พูดต่ออีกว่า "แต่บ้านดา มีต้นชมพู่อยู่ในบ้านเลยนะ เห็นไหม?" น้อยแหงนหน้า มองตาม ปรีดาทำท่าจะเริ่มปีน แต่ป้าคิมร้องห้ามว่า

"นี่ ดา น้อยเพิ่งมาถึง น่าจะชวนเพื่อนไปหาอะไรกิน กลับมาชวนปีนชมพู่เสียนี่ เด็กอะไร ซนเป็นลิงเป็นค่างเลยทีเดียว"

ปรีดาก็เลยเอามือล้วงในกระเป๋ากางเกงเหมือนจะหาอะไรสักอย่าง ทำตาปริบๆ ชวนน้อยว่า

"ที่แว้งมีน้ำแข็งบอก(๒) ไหม? ไม่มีเหอ ไป๊ ไปหน้าวิก(๓) กัน ดามีสตางค์พอ ไปกินน้ำแข็งบอก กันดีกว่า"

"ไปซีน้อย แมะไปด้วยกันเลย ดีแล้ว เดี๋ยวปรีดาช่วยซี้อตั๋วหนังมาด้วยนะ คืนนี้พี่จะพาทุกคน ไปดูหนัง ขออนุญาตนะคะ น้า" พี่สุนีย์พูดพลางหันไปทางพ่อกับแม่ ซึ่งพยักหน้าอนุญาต "มาเอาตังค์ไป อย่าไปทำหายเสียอีกล่ะ"

วิกหนังเป็นสิ่งที่น้อยไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน เธอก็เคยดูแต่ หนังควร (๔) แบบมลายู เท่านั้น นี่ปรีดาบอกว่าเป็นหนังญี่ปุ่น(๕)ในเมืองนี่ช่างมีอะไรแปลกประหลาดมากมายเหลือเกิน ที่เรียกว่าวิกหนังก็คือโรงสร้างด้วยไม้ขนาดใหญ่ ข้างหน้าเขามีรูป ในเรื่องที่จะได้ฉาย คืนนี้ไว้ด้วย ไม่เหมือนรูปหนังควนหรอก เป็นรูปคนธรรมดานี่แหละกำลังหนีไฟกันอย่างตกใจ คงเป็นคนในเรื่องที่เขาเขียนไว้ในป้ายหน้าโรงว่า คืนนี้เชิญชมเรื่องผจญไฟป่า นั่นเอง ปรีดาชี้ ให้ดูผู้หญิงในรูปพลางพูดว่า

"นี่ไง โดโร ทีลามัว(๖) ที่พี่นีย์เขาชอบ พอดีน้อย กับพี่แมะมา ดาเลยได้รับเลี้ยงด้วย ไป๊ ไปซื้อตั๋วก่อน แล้วซื้อน้ำแข็งบอกกันดีกว่า"

น้ำแข็งบอกที่ปรีดาซื้อแจกนั้นก็เป็นของแปลกและที่แว้งไม่มีขาย จริงๆ แล้วที่แว้ง ไม่มีน้ำแข็ง เสียด้วยซ้ำไป น้อยเห็นคนขาย เขาใช้มือขวาจับแปรงไม้ ที่มีตาปูตอกเต็ม วางป๊อกลง บนก้อนสี่เหลี่ยม ใสเหมือนแก้ว ที่วางอยู่บนม้าเตี้ย บนรถเข็น ใช้มือซ้าย ถือกระบอกสังกะสี รอไว้ข้างใต้ พอเขาไถก้อนน้ำแข็ง ผ่านใบมีดคมกริบ บนม้านั้น น้ำแข็งก็ถูกไถเป็นขุยขาวเล็กๆ ลงมาในกระบอก เขาไถๆๆๆ จนพูนล้นกระบอก ต้องใช้ฝ่ามือ ป้องไว้ด้วย แล้วก็หยุดไถ ใช้นิ้วกด จนขุยน้ำแข็งอัดแน่น ในกระบอก เขาหยิบไม้ไผ่เล็กๆ แทงลงไปในก้อนน้ำแข็ง ก่อนที่จะถามว่า "เอาสีอะไร?" ซึ่งน้อยไม่เข้าใจ ก็พอดีปรีดา ตอบแบบนักเลงว่า

"สามสีเลย เขียว แดง แล้วก็เหลือง"

อ้อ! สีน้ำหวานในขวดนั่นเอง เจ๊กขายน้ำแข็งเทน้ำสีเหลืองในขวดลงบนน้ำแข็งในกระบอก น้อยเห็นมันซึมลงไป อย่างรวดเร็ว เขาคว่ำกระบอกลง ดึงแท่งน้ำแข็งสีเหลืองสวย ออกมาส่ง ให้เด็กทั้งสาม

"พี่แมะเป็นพี่ ให้พี่แมะก่อน" น้อยอยากบอกว่าอยากได้สีแดง แต่กลัวเสียมารยาท ก็พอดี ปรีดาสั่งคนขาย ที่กำลังไถ ก้อนมหัศจรรย์นั้น ลงกระบอกอีก "แท่งนี้ของน้อย เอาสีแดง แท่งที่สามของดานะ สีเขียว หรือน้อยอยากได้สีเขียว ก็ได้นะ" น้อยตอบทันทีว่า

"น้อยขอสีแดงค่ะ"

เด็กทั้งสามนั่งลงบนเก้าอี้ยาวหน้าวิกนั้น น้อยรู้สึกพอใจมากที่ได้ดูดน้ำแข็งบอกหวานเย็นชื่นใจ เป็นครั้งแรกในชีวิต ซ้ำยังได้สีแดงสดใสด้วย อยากได้อะไรสีแดงมานานแล้ว เพิ่งจะสมหวัง ที่น้ำแข็งบอกครั้งนี้เอง น้อยรู้สึกชอบปรีดา เอามากๆ เสียแล้ว และถ้าเป็นได้ ถ้าเมื่อไร แม่บอกว่า จะตัดชุดใหม่ให้ เธอจะขอกางเกงมีกระเป๋า แบบของปรีดาบ้างสักตัว สีอะไรก็ได้ ขอเป็นกางเกงก็แล้วกัน

ตลอดบ่ายวันนั้น น้อยวิ่งออกมาหน้าบ้านที่พักหลายหน มาดูรถที่ปรีดาเรียกว่า รถแห่หนัง สองข้างรถยนตร์นั้น ติดป้ายใหญ่ ที่เขาวาดรูป ในเรื่องที่น้อยจะได้ดูคืนนี้ไว้ บนรถมีแตรวง บรรเลงเพลง สนั่นหวั่นไหว เสียงดัง ตุ้ง ตุ้ง แฉ่ง แฉ่ง แต๊ดแต แต๊ดแต เสียงเขาประกาศ เชิญชวนคนไปดูหนังเรื่อง ผจญไฟป่า ทำให้น้อยตื่นเต้นมากขึ้นๆ จนเธอรู้สึกว่า บ่ายวันนั้น ช่างผ่านไปเชื่องช้า เสียเหลือเกิน

อาหารกลางวันวันนั้นก็แปลกดี น้อยเพิ่งได้ลิ้มรสเป็นครั้งแรกอีกเหมือนกัน เพราะที่แว้ง ไม่มีอาหาร แบบที่ปรีดาเรียกว่า ก๋วยเตี๋ยว นี้ มันเป็นเส้นๆ คล้ายขนมจีน แล้วก็มีอ้วน (๗) ลักษณะกลมเป็นเม็ดๆ ใส่ด้วย ปรีดาต้องเป็นคนไปซื้อ เช่นเคย แต่คราวนี้ น้อยขอตามไปด้วย ช่วยหิ้วหม้อเคลือบใบเล็กๆ ไปให้ปรีดา

"น้อยช่วยจำด้วยนะ ของพ่อกับแม่น้อยเอาก๋วยเตี๋ยวน้ำ ของพ่อกับแม่ดาเอาเกี๊ยว พี่นีย์ สั่งเส้นใหญ่ใส่อ้วน พี่แมะว่า เอาเหมือนของพี่นีย์ ดาจะเอาหมี่ฮุ้น (๘) แห้งใส่แต่อ้วน น้อยล่ะ?"

น้อยนิ่งคิดอย่างรวดเร็ว เธอจะขอพ่อแม่ชิม ก๋วยเตี๋ยว แต่อะไรที่ปรีดาเรียก เขียว เขียว นี่ฟังดูแปลกมาก ต้องลอง แล้วยัง อ้วน อีก มันเป็นอย่างไรนะ ในที่สุดเธอก็ตอบปรีดาว่า

"ของน้อยเอาเขียวใส่อ้วน"

"เกี๊ยว น้อย ไม่ใช่เขียว ในเกี๊ยวเขาไม่ใส่อ้วน แต่เดี๋ยวดาจะสั่งของน้อยเป็นพิเศษนะ เอาทั้ง ก๋วยเตี๋ยว หมี่ฮุ้นเหมือนของดา แล้วก็ให้แป๊ะใส่เกี๊ยวใส่อ้วนให้ด้วย ดีไหม?"

น้อยรู้สึกกระดาก ปรีดาคงรู้แล้วว่าเธออยากลองทุกอย่างและญาติผู้น่ารักของเธอ ก็ไม่ได้ ทำสุ้มเสียง ดูถูกเธอเลย น้อยจับมือปรีดาแกว่ง อย่างสนิทสนม พลางแหงนหน้าหัวเราะ เมื่อตอบว่า

"ดีเลยดา น้อยจะได้ไม่ต้องลองชิมของพ่อ แล้วดาก็กินของน้อยได้ด้วย"

ผู้ใหญ่นั่งรับประทานอาหารแปลกนั้น บนยกพื้นด้านในของบ้านซึ่งเป็นเรือนไทย สร้างแยก จากด้านหน้า ที่เป็นเหมือนห้องแถว ธรรมดา ตรงกลางเป็นพื้นที่โล่ง มีบ่อน้ำ ห้องน้ำ แล้วยังมี ที่นั่งเล่นเย็นๆ ใต้ต้นชมพู่อีกด้วย เด็กทั้งสาม นั่งรับประทาน กันอย่าง เอร็ดอร่อยตรงนั้น น้อยกับพี่แมะเล่าเรื่องแว้ง ให้ปรีดาฟัง ส่วนปรีดาก็วางแผน พาญาติทั้งสองไปดู อ่าวหน้าทอน ซึ่งมีจระเข้ด้วย และ มันเคยกินคน จนเขาต้องลอยกาง(๙) จึงจับมันได้ ไปดูทะเล ที่น้ำเค็ม เหมือนเกลือ ไปวิ่งจับปูลม และ วิ่งหนีคลื่นกัน

น้อยรู้สึกอยากไปทุกแห่ง ที่ปรีดาจะพาไป เธอตื่นเต้นตามการเล่าของญาติ เสียจนต้อง หยุดรับประทานของแปลก ในชามข้างหน้า ปรีดาหยุดทีหนึ่ง เธอจึงจับช้อนรับประทานทีหนึ่ง ส่วนปรีดาใช้ไม้ยาวๆ เป็นคู่เรียกว่า เกียบ (ตะเกียบ) รับประทานแทนช้อน ทั้งพี่แมะและน้อย ใช้ไม่เป็น เพราะเป็นเด็กบ้านนอก

ระหว่างที่รับประทานกันอยู่นั้นเอง พี่แมะกับน้อยได้ทราบจากการคุยกัน ของผู้ใหญ่ว่า แม่จะได้นึกถึงความหลัง ตอนไปดูหนังคืนนี้ หน้าวิกที่น้อยไปกับปรีดา เมื่อบ่ายนี้เอง ที่แม่ของน้อย เคยเล่าว่า แม่ขายขนมหวาน นานาชนิด มาก่อน ทุกค่ำคืน ตอนนั้น พ่อทำงาน ที่ศาลากลาง พ่อรู้จักกับแม่ เพราะพ่อเป็นเจ้าประจำ ซื้อขนมของแม่นี่เองแหละ

ตอนบ่ายแม่บอกให้น้อยกับพี่แมะไปงีบเสียหน่อยจะได้ไม่ง่วงในโรงหนัง น้อยคิดว่า เธอไม่เคย นอนกลางวัน จะหลับได้อย่างไร แต่ความเหนื่อย ที่เดินทางกันมาตลอดครึ่งวันเช้า ทำให้น้อย หลับไปนานพอสมควร มาตื่นเอา เมื่อมีอะไรจี้เข้าที่หลัง

"ขะม่อน (๑๐) ลุกขึ้นได้แล้ว เดี๋ยวตะวันแยงตา ค่ำนี้เราไปดูหนังกัน"

ปรีดานั่นเอง เขาใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางแทนปืนจี้ขู่น้อย แบบในหนังญี่ปุ่น แถมพูดภาษา ฝรั่งเสียด้วย


* เขียนเสร็จเวลา ๑๐.๒๐ น. ๒๕ ก.ย.๔๕ ที่บ้านบางซื่อ อยากเขียนให้ดี แต่ความดันโลหิตสูง ที่โจมตีมา หนึ่งสัปดาห์แล้ว ทำให้เขียนได้ ทีละสามสี่บรรทัด แต่อย่างไรเสียก็นับว่าโชคดีมาก ที่เมื่อวันที่๘ ก.ย. นี้ได้พบกับ อาจารย์เสรี ลาชโรจน์ อดีตผอ.ร.ร.สามเสนวิทยาลัย ที่อิมแพคท์ เมืองทองธานี อ.เสรีเป็นลูกชาย ของปลัดสว่าง ในเรื่องของเรา ไม่ได้พบกัน ๕๐ กว่าปีแล้ว ท่านยังจำครอบครัวเรา โรงเรียนแว้ง คลองแว้ง ได้ และยังพูด ภาษา มลายูได้ด้วย ตื่นเต้นมาก ได้หอบหนังสือ "เราคิดอะไร" ไปฝากด้วย


(๑) ทุกคนมีตัวตนจริงเป็นญาติสนิทของ "อิงอร" ปัจจุบันเหลือแต่ปรีดา คนเดียว อยู่ที่สุไหงโกลก
(๒) คำว่า บอก ย่อมาจาก กระบอก ตามลักษณะ การกร่อนพยางค์หน้า ที่ประวิสรรชนีย์ ของคนปักษ์ใต้
(๓) เชื่อว่ามาจากคำภาษาอังกฤษว่า vic แม้บางท่านจะว่ามาจาก week ก็ตาม คำนี้เข้ามาในรัชกาลที่ ๕ พร้อมกับ ละครแบบใหม่
(๔) คือหนังที่มาเรียกกันทั่วไปว่า หนังตะลุง ภาษามลายูเรียก วายังกูลิด
(๕) เราเคยเรียกภาพยนต์ว่า หนังญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นนำเข้ามาฉายเป็นครั้งแรก ที่สนามน้ำจืด หรือ ที่ปัจจุบันเป็น ดิ โอลด์สยาม
(๖) คือ Dorothy Lamaur
(๗) คำนี้ประหลาดมาก คนปักษ์ใต้ใช้เรียก ลูกชิ้น แม้แต่คำว่า ลูกชิ้น เองก็แปลก หาที่มายังไม่ได้
(๘) คนปักษ์ใต้จะเรียกเส้นหมี่และวุ้นเส้นตามภาษาจีนว่า หมี่ฮุ้น และตังฮุ้น
(๙) ลอยกาง หรือตะกาง เป็นการตกจระเข้โดยใช้สุนัขเป็นเหยื่อ
(๑๐) มาจากคำภาษาอังกฤษว่า come on เด็กๆ ในสมัยโน้นใช้กันมากและรู้สึกว่าโก้

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๔๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๕)