-
ทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อทำงาน
หมู่นกน้อยส่งเสียงจอแจเริงร่าอยู่ตามแมกไม้
กิ้งก่าตัวใหญ่ส่ายหัวไปมา หาอาหารอยู่บนคาคบ แมงมุมหลายตัว ต่างถักทอเส้นใยไว้ดักแมลง
ผีเสื้อปีกสีสวยพากันบินว่อนชื่นชมดอกไม้ริมรั้ว
สัตว์หลากหลายชนิดหลั่งไหลมาพักพาอาศัยอยู่ในสวนเนื้อที่
๖ ไร่ของประเสริฐ โดยไม่ได้รับเชิญ เพราะ สวนแห่งนี้ เลิกใช้ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมีมาหลายปีแล้ว
พื้นดินอุดม ไปด้วยเศษพืช ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมัก (ปุ๋ยหมักชีวภาพ) พืชพรรณสิ่งแวดล้อมจึงก่อตัวคงความสมบูรณ์ตามธรรมชาติอย่างแท้จริง
วันหยุดเจ้าจุกจูงควายออกไปสวนกับพ่อ แล้วขี่หลังควายให้มันเล็มหญ้าตามริมทางเดินในสวน
ประเสริฐใช้เคียวเกี่ยวหญ้าเครือเป็นตารางสี่เหลี่ยม
แล้วใช้จอบถากม้วนแผ่นหญ้าออกไปกลบโคนต้นกล้วย เป็นปุ๋ยชั้นดี ช่วยให้ต้นกล้วย
ตกเครือยาว มีหลายหวีและลูกโต
ด้วยความแข็งแรงและชำนาญในการถากถางหญ้า ไม่นานนักประเสริฐก็ได้แปลงปลูกผัก
กว้างพอสมควร
เจ้าจุกรู้ว่าควายกินหญ้าเริ่มอิ่มเพราะสังเกตได้จากท้องมันกางสีข้างตึงเต็มที่
จึงจูงควายไปล่ามไว้
ใต้ต้นไม้ใหญ่ชายสวนเพื่อรอเอากลับไปเข้าคอกในหมู่บ้านตอนใกล้ค่ำ
เสร็จแล้วเดินมานั่ง บนขอนไม้ ข้างที่พ่อกำลังทำงาน ประเสริฐหิ้วกระติกน้ำมาดื่ม
นั่งพักใต้ร่มไม้บนขอนกับลูก "พ่อช่างขยันจัง ทำงานทั้งวัน ไม่เคยขี้เกียจบ้างหรือครับ"
ถามเพราะนึกถึงตัวเอง ถ้าให้ทำงานทั้งวันคงจะสู้ไม่ไหวแน่ "แต่ก่อนพ่อก็มีตัวขี้เกียจอยู่บ้าง
ติดสบายไม่ต่างจากคนอื่นๆ ในหมู่บ้านเรานั่นแหละ พ่อพึ่งมาเริ่ม ทำงานจริงจัง
สนุกสนานกับงานเอาเมื่อ สิบกว่าปีมานี้เอง เพราะพ่อได้เรียนรู้ พระศาสนาที่ถูกตรง
จึงรู้คุณค่ามหาศาล ในการขยันทำงาน
"เมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่วัดร้างท้ายหมู่บ้านมีพระธุดงค์สามรูป
จาริกมาพักปักกลดอยู่ พ่อได้นำอาหาร ไปถวายในตอนเช้า พ่อยังจำคำความที่ท่านเทศน์ได้
ท่านยกนิทานมาประกอบ ว่า "มีสองเกลอ เมื่อทั้งสองชรา ถึงแก่ความตายไป
คนหนึ่งได้ไปเกิดเป็นเทวดา อีกคนหนึ่งดันไปเกิดเป็นหนอน ในหลุมส้วม วันหนึ่งเทวดา
มีโอกาสมาเยี่ยมเพื่อน จึงได้เอ่ยชวนเพื่อนที่เป็นหนอนว่า "นายมาเป็นเทวดากับเราเถิด"
หนอนได้ซักว่า "ไปเป็นเทวดาแล้วได้กินอะไร?" เทวดาจึงตอบว่า "เทวดาจะกินอาหารทิพย์
พอนึกอยากจะกิน ก็อิ่มแล้ว" หนอนจึงแย้งว่า "เป็นเทวดาหรือจะสู้อยู่ในหลุมส้วมนี้
เช้าเย็นจะมีอาหาร ตกมาให้เอง หันไปซ้าย ก็ได้กิน หันไปขวาก็มีกิน แสนสมบูรณ์พูนสุข
เราไม่ไปเป็นเทวดาด้วยดอก" พูดจบ หนอนรีบดำมุดลงไป หาความสำราญทันที
"พระท่านได้เปรียบคนที่ไปเกิดเป็นเทวดานั้นว่า
จะเป็นผู้มีปัญญา พร้อมด้วยความขยันเห็นคุณค่า
ในการทำงาน รู้จักสิ่งไหนดีก็รีบทำ สิ่งไหนไม่ดีก็หักห้ามใจเลิกเว้นขาดไม่ไปทำ
ส่วนคนที่ไปเกิด เป็นหนอน เปรียบดั่งคนที่ขี้เกียจ มีปัญญามืดตื้ออยู่ในวงแคบ
ไม่คิดอยากทำงานอะไร ซึ่งเป็นผู้บริโภคมาก แต่ชอบทำงานน้อย จักเป็นคนที่ไร้ความสวยความงาม
เพราะความขี้เกียจเป็นต้นเหตุ" เจ้าจุกต้องตั้งใจฟัง ถึงจะพอเข้าใจ
เพราะตอนสรุปจะหนัก ไปในแนวทางลึกๆ ของวิชาศีลธรรม
"นิทานอีกเรื่องหนึ่งพระท่านได้เทศน์ต่อว่า
มีเหล่านางฟ้าได้พากันไปเก็บดอกไม้ในสวนของเมืองสวรรค์ นางฟ้านางหนึ่ง ได้หลบออกจากกลุ่ม
หนีมายังเมืองมนุษย์ พออายุยืนยาวถึง ๘๐ ปี แล้วก็ตายไปโผล่ ในสวนดอกไม้
เมืองสวรรค์อีกครั้งหนึ่ง พวกนางฟ้าที่กำลังเก็บดอกไม้อยู่นั้น ก็พากันถามขึ้นว่า
"เมื่อตะกี้เธอหลบ
ไปไหนมา" เหล่านางฟ้าที่เก็บดอกไม้อยู่นั้นยังไม่ทันได้ออกจากสวนเลย
รู้สึกว่าเวลานิดเดียว ตรงกันข้าม กับนางฟ้า ที่หนีมาเกิดในเมืองมนุษย ์จะรู้สึกเวลาช่างเนิ่นนาน
ถึงแปดสิบปี
"เหล่านางฟ้าที่กำลังเก็บดอกไม้อยู่นั้น จะเปรียบดั่งหมู่คนที่ขยันเอาการเอางาน
จะสนุกกับงานทุกอย่าง ขอแต่ให้เป็นงานที่ทำ แล้วเกิดประโยชน์ต่อตน และสังคม
เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไปจะมีค่ามาก ทำงานไม่ทันไร ก็มืดค่ำไปแล้ว เวลาจึงน้อยนิด
เพราะสนุกเพลิดเพลินกับการงาน
"ส่วนนางฟ้าผู้หลบเพื่อนมาเกิดในเมืองมนุษย์นั้น
จะเปรียบไปเหมือนดังคนที่เกียจคร้าน เวลานาที จะยาวนาน คนขี้เกียจจะไม่มีความจริงใจ
หรือตั้งใจทำงาน เพราะคนขี้เกียจ มักจะรู้สึกว่า เหนื่อย หนัก ร้อน หนาว
เข้ามาแทรกอยู่ในหัวใจเสมอ ในตอนที่ทำงาน เสมือนดั่งวัวเทียมเกวียนที่ผอมโซ
มันจะมีความรู้สึกว่า จุดหมายปลายทาง ที่จะลากเกวียนไปนั้น ช่างไกลและอีกนานกว่า
จะไปถึง ที่จริงวันและเวลาของทุกคน จะมีค่าเท่ากัน แต่ในความรู้สึกของคนขยัน
กับคนขี้เกียจนั้น จะต่างกัน
"ที่พ่อได้ยกเอานิทานจากพระท่านมาเล่าให้ลูกฟัง
ก็เพราะพ่ออยากจะให้ลูกได้เกิดปัญญา ให้รู้ถึงคุณค่าของความขยันหมั่นเพียร
แล้วเมื่อลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ลูกก็จะเป็นผู้ที่ ช่วยเหลือครอบครัว และช่วยเหลือสังคมได้อย่างดียอดเยี่ยมจริงๆ"
เจ้าจุกฟังแล้วยิ้มพอเข้าใจว่า คนที่ขยันจะมีความสุขดั่งเหมือนกับเทวดากับเหล่านางฟ้า
ดินแดนสวรรค์ คนที่ขี้เกียจ ก็จะมีความทุกข ์หรือมีความเป็นอยู่แบบหลงตนเองว่า
ตัวเองมีความสุข แต่ไม่ต่างไปจากหนอน ที่อยู่ในหลุมส้วม นั้นเอง "ที่พ่อว่าพึ่งจะขยันทำงาน
เมื่อสิบกว่าปีมานี้เอง คนอื่นที่เขาขยัน มาตั้งแต่ อายุยังน้อย แล้วต่างกันตรงไหนครับพ่อ"
ประเสริฐยิ้มพอใจ ที่ลูกถาม เพราะมันหมายถึง ลูกพอเข้าใจ ในเนื้อหาสาระบ้างแล้ว
"คนเราจะมีทั้งความขยันและความขี้เกียจซ่อนอยู่ในใจ
คนที่ขยันก็พอจะแบ่งเป็นกลุ่มได้ เช่น
หนึ่ง พ่อแม่ท่านอบรมนำพาลูกให้รู้จักทำงาน
การงานจนติดนิสัย เป็นความขยัน ไปตลอด
สอง ขยันเพราะจำต้องปากกัดตีนถีบ ทำงานตัวเป็นเกลียวทั้งวันเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด
สาม คนขยันเพราะคิดถึงประโยชน์คือทรัพย์หรือความร่ำรวยที่จะได้ตอบแทนและ
สี่ คนขยันเพราะได้พบพระศาสนา ได้ฟังพระธรรมจนเกิดปัญญารู้คุณค่าในการทำงาน
"แต่เป้าหมายของคนที่ขยันทำงานส่วนมาก ก็เพียงจะให้ตัวเอง
ครอบครัว อยู่ดีกินดีหรือเมื่อมีทรัพย์มากขึ้น ก็จะไปกินสูบดื่มเสพ แสวงหาความสุขสำราญ
บำรุงบำเรอตนเองเป็นเรื่องใหญ่
"ส่วนกลุ่มคนที่ขยันหมั่นเพียรในการทำงานเพราะเกิดปัญญารู้นี่ส
ิจะดีและวิเศษกว่า เพราะกำลังปัญญา และกำลังทรัพย์ที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นอุดมการณ์ขยายออกไป
ช่วยเหลือสังคมส่วนกว้างให้เกิดความร่มเย็น ตามแนวทางของชาวพุทธอย่างแท้จริง"
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๔๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๕)
|