เรื่องสั้น
ไศล ภูลี้
กับดัก
เสียงประตูเหล็กม้วนถูกรูดคลี่ปิดลง
เด็กหนุ่มซุ่มนับเลขในใจอย่างช้าๆ จนถึงหลักพัน เพื่อช่วยระงับ ความตื่นเต้น
จนมั่นใจว่า นั่นเป็นการลั่นประตูปิดครั้งสุดท้ายนั่นแหละ จึงได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่
ผ่อนคลาย ความเครียดลงบ้าง
เด็กหนุ่มวัยไม่ถึงสิบห้าดีนัก
ส่องสายตาสำรวจผ่านความสลัว ภายในห้างสรรพสินค้า แม้หลอดไฟฟ้า จะถูกดับไป
หลายดวงก็ตาม ยังสามารถมองเห็นได้ชัด ในระยะสิบ ถึงสิบห้าเมตร พลัน...เขาต้องสะดุ้งตะลึงงัน
แทบลืมหายใจ เมื่อเหลือบไปเห็นร่างหนึ่ง ยืนตะคุ่มๆ หลังตู้กระจกที่ปูคลุมไว้ด้วยผ้าขาว
ห่างออกไปเพียง ไม่กี่วา เมื่อตั้งสติได้ มันคือหุ่นแสดงแบบเสื้อผ้าเท่านั้น
หัวใจเด็กหนุ่ม แทบหล่นไปกองอยู่ปลายเท้า อารมณ์หวั่นไหว ยังครองใจอยู่ลึกๆ
คราวนี้มันไม่ยอมหายไปง่ายๆ เด็กหนุ่มได้แต่พึมพำ ปลอบใจตัวเอง ไม่มีใครอยู่ในนี้แล้ว!
ไม่มีแล้ว! ไม่ต้องกลัว!
แต่นั่นแหละ...เมื่อถึงเวลาที่จะต้องออกไปจากที่นี่
ก็ให้มืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าจะเล็ดลอด ออกไปทางไหน ด้วยวิธีใด บางทีเขาอาจต้องซุ่มซ่อนอยู่ในนี้
จนกว่าจะถึงวันใหม่ เมื่อได้เวลา ห้างเปิด จึงค่อยๆ เล็ดลอดออกไป อย่างเงียบเชียบ
แต่...แต่เขาภาวนา ขออย่าให้เป็น เช่นนั้นเลย เขาน่าจะค้นพบทางออกทางอื่น
ก่อนจะสว่าง ปัญหาสำคัญในคืนนี้ คือไม่มี หลักประกันว่า เขาจะรอดพ้น
ปลอดภัยหรือไม่
แย่จัง! ไอ้ความคิดบ้าๆ
ชั่ววูบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงนะ ใช่ เขากำลังกลายเป็นขโมย ...เมื่อหัวค่ำนี่เอง
หลังเลิกเรียนแล้ว ยังไม่ทันกินมื้อค่ำด้วยซ้ำ เขามาซื้อสายกีตาร์อะไหล่
ซึ่งขาดไป ส่วนเส้นอื่นๆ ก็เก่าคร่ำ สนิมเขลอะ เด็กหนุ่มเพิ่งจะออมเงินได้
เลยถือโอกาสเดินเล่น ในห้างเย็นฉ่ำสักหน่อย ยิ่งเดินชม ยิ่งเพลิน ยิ่งเห็นของหลายอย่าง
ก็ยิ่งอยากได้ จากชั้นที่หนึ่ง ถึงชั้นที่สี่ เขาเดินไปมุมขายเครื่องดนตรี
เพ่งมอง กีตาร์ตัวโปรดในใจ แล้วฝันว่า มันอยู่ใน อ้อมกอดสองมือ เฝ้าแต่คลึงเคล้ามัน
อย่างหลงใหล ราวกับหญิงสาว แผนกเสื้อผ้า หรูหรา แพงระยับ...นั่นก็อยากได้...นาฬิกาเรือนงาม
ประดับข้อมือนั่น ก็เคยใฝ่ฝันมานานแล้ว รวมถึงโทรทัศน์ เครื่องเล่นวิดีโอ
และเครื่องเสียงชั้นยอดนั่นด้วย
แล้วความโลภก็ครอบงำจิตใจ
ทำให้เด็กหนุ่มผุดวาบหาวิธีขโมยขึ้น ในเดี๋ยวนั้น ด้วยการ ซ่อนตัว
ในห้องสุขาของห้าง รอจนกระทั่งถึงเวลาปิดห้าง แล้วออกมาเลือกสิ่งของ
ที่อยากได้... แต่เมื่อคิด จะออกไป ก็จนหนทางเสียแล้ว
ตอนนี้เขากำลังรู้สึกหวาดหวั่นอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต
เขากำลังทำเรื่อง ผิดกฎหมาย ถ้าถูกจับได้ ต้องติดคุก และถ้าพ่อแม่รู้เข้า
จะต้องเสียใจแน่นอน...เขารู้ เพราะเขาเป็นลูก เพียงคนเดียว ที่ได้เรียนต่อ
ชั้นสูงกว่าพี่น้องทั้งหมด ในจำนวนห้าคน ครูอาจารย์ ที่เคย ประสิทธิ์ประสาทวิชา
รวมถึงสถาบัน จะต้องเสื่อมเกียรติ เสียชื่อเสียง อนาคตของเขา ก็ต้องดับวูบ
อย่างแน่นอน
คิดได้อย่างนั้น
ก็เกิดอาการหนาวๆ ร้อนๆ สั่นสะบัดไปทั้งตัว ความกลัว ผุดผงาดขึ้นมา
เหมือนยักษ์ อยู่เหนือร่างของเขา มันได้โอบรัดดวงจิตของเขา ให้เศร้าหดหู่
ทำไมนะ ทำไม จึงไม่ฉุกคิด ให้มากกว่านี้ ก่อนที่จะลงมือ ทำอะไรโง่ๆ
อย่างนี้ เสี้ยวเวลาหนึ่ง ใจนึกประหวัด ถึงภาพ เหงื่อโซมร่างของพ่อ
กำลังเหวี่ยง ลำแขนแกร่ง ที่จับจอบ โยนตัวไปตามจังหวะสับดิน และภาพของแม่
หาบคอนขายขนมเล็กๆ น้อยๆ ทุกเมื่อเชื่อวัน เด็กหนุ่มนึก อยากร้องไห้
อยากทุบถองตัวเอง ให้เจ็บปวด แต่มีเพียงก้อนสะอื้น วิ่งขึ้นมาจุกตันคอหอย
ความรู้สึกหวาดหวั่นยิ่งรุนแรง
ความต้องการอยากมีอยากได้ ถูกบั่นทอนลงเรื่อยๆ สินค้า นานาชนิด ในห้างสรรพสินค้า
ดูละลานตา บัดนี้เด็กหนุ่ม เห็นมันเสมือนเหยื่อล่อ ให้เข้ามา ติดกับดัก
ซึ่งมีขวากหนามแหลม คอยทิ่มแทงอยู่ เด็กหนุ่มหอบหิ้วกระเป๋าใบใหญ่
ที่บรรจุ สิ่งของอยู่เต็ม เที่ยวเดินหาช่องทางหน้าต่าง หรือช่องลม
ที่ไหนสักแห่ง ที่พอจะงัดออกไป สูดกลิ่นอาย อิสรภาพให้ได้ เขารู้สึกกระวนกระวาย
กระสับกระส่าย ราวกับสัตว์ป่า ถูกกักขัง
ใช่...ถูกกักขังด้วยกับดักตัวเองแท้ๆ
หากเขามีโอกาสเลือกใหม่ได้ เขาจะต้องเลือกหนทาง สู่อิสรภาพแน่นอน แต่ไม่มีโอกาส
กลับตัวเสียแล้ว หนทางเดียว คือหาทางหนี ออกไปให้ได้ แม้จะต้องใช้เวลานาน
สักเท่าใดก็ตาม
เด็กหนุ่มเดินสำรวจไปทางด้านหลังตึก
ซึ่งติดกับซอยแคบๆ มีตึกอาคารพาณิชย์ อยู่ฝั่งตรงข้าม ไล่จากชั้นสอง
ผนังตึกผนึกแน่นหนา ห้องน้ำไม่มีช่องบาน ให้เปิดได้ ชั้นสามในห้องสุขา
มีช่องลม บานเกล็ด แต่อยู่สูง เกินจะเขย่งถึง และขึ้นไปถึงชั้นที่สี่
ดูจะสูงน่าหวาดเสียว หากต้องออกไป ไต่อยู่ข้างนอก ดังนั้น เขาจึงลงมา
ที่ชั้นสามอีกครั้ง เอาเก้าอี้มาซ้อนกันให้สูง แม้พยายาม จะยกลากอย่างเบาแล้ว
แต่ก็ยังไม่วาย พลาดพลั้ง ทำเก้าอี้หล่น เสียงดัง โครมคราม เขานิ่งหมอบลืมตาโพลง
เหลียวมองไปรอบๆ ด้วยสัญชาตญาณ ระแวงภัย ได้แต่ภาวนา อย่าให้ซวย ขนาดนั้นเลย
สักครู่ใหญ่เด็กหนุ่ม
จึงพยายามปีนป่ายขึ้นเก้าอี้ไปถอดบานเกล็ดช่องลม ขนาดช่อง พอหลวมตัว
ออกไปได้ เขายัดกระเป๋า ส่งออกไปก่อน และสอดตัวออกไป เป็นผลสำเร็จ
ในเวลาไม่นานนัก แต่ก็ทำเอาแขนขา ถลอก ปอกเปิกบ้างเล็กน้อย เมื่อยึดมั่นได้ที่แล้ว
จึงเริ่มไต่ ลูกกรงเหล็กดัด สูงขึ้นไปหาช่องหนีไฟฉุกเฉิน ของชั้นที่สาม
แต่โชคชะตาดีไม่เข้าข้าง
คำภาวนาไร้ผล เมื่อมองเห็นยามรักษาความปลอดภัย เดินตรวจตรา อยู่ข้างล่าง
ฉับพลัน ยามก็สาดแสงไฟฉาย จับร่างของเด็กหนุ่ม
"เฮ้ย!
ขโมยรึ! เดี๋ยวโดนส่องร่วงซะเลย รีบๆ ลงมาเสียเดี๋ยวนี้เลย" ยามวัยฉกรรจ์ขู่เสียงกร้าว
เขาเหมือนถูกสะกด ให้ตะลึงนิ่งงัน มือเท้าอ่อนแรง จนทำอะไรไม่ได้
ชั่วเวลาไม่นานนัก
เจ้าของห้างก็โผล่มา ด้วยอาการแสดงความเป็นเดือดเป็นแค้นอย่างมาก
"เฮ้ยมึงรีบลงมาเลยนะ
ไปไล่มันลงมา" เจ้าของห้างออกคำสั่งเร่งรัด ฉุนโกรธ จนพุงกระเพื่อม
จ้องเด็กหนุ่ม อย่างกระหายเลือด
"ไล่ไอ้หัวขโมยกระโดดลง
ให้มันรู้สำนึกบ้างว่า มันกำลังเล่นกับใคร" ตะโกนสั่ง
แสงไฟฉายจงใจส่องมาที่ใบหน้าเขาหลายดวง
ตายล่ะสิ! จะทำอย่างไรล่ะคราวนี้ เด็กหนุ่ม ร้องไห้โฮออกมา
"กระโดดลงไป
อย่าขัดขืน มึงลอบเข้ามาได้ เขาก็เอาลงมาได้ เอากระเป๋าทิ้งไว้นี่เร็วๆ"
เสียงยามจ่อใกล้
"ผมกลัวแล้วครับ
ผมกลัวแล้ว อย่าทำผมเลย" เด็กหนุ่มตะโกนบอก
"กระโดดลงมา
เดี๋ยวกูสอยร่วงด้วยไอ้นี่เสียเลย"
เจ้าของห้างชูปืนดำมะเมื่อมในมือ
ชี้มายังเด็กหนุ่มอย่างฉุนเฉียว แล้วเสียงปืนก็ดังขึ้น ปัง! สะเก็ดไฟแตกประกาย
เด็กหนุ่มซ้อนหน้าหลับตาปี๋ในวงแขนตัวเอง
ขาสั่นผับๆ เหงื่อกาฬแตกชุ่มโชก รู้สึกหวาดหวั่น เหลือเกิน เสี้ยวหนึ่งเขา
นึกถึงพ่อแม่อีก และอยากให้สว่างเสียเร็วไว ข้างล่างมีแต่คนเร่งเร้า
ให้กระโดด ลงข้างล่าง ซึ่งไม่มีเครื่องเบาะรองรับ สักอย่างเดียว เขาเหลือบมอง
ลงข้างล่าง ด้วยอาการ หวาดเสียว รู้สึกประสาทตึงเครียด และหน้ามืด
วิงเวียนตามมา มือที่เกาะกุม แผงเหล็กดัด เขม็งเกร็งจนปวดล้า
"มึงกระโดดลงมา-า-า
เดี๋ยวนี้-เร็ว"
"ยามไปถีบมันลงมาเลย
มันกลัวไม่จริงหรอก ไอ้พวกนี้ ต้องสั่งสอนให้มันหลาบจำไปนาน"
"ยิงมันเลย
ยิงมัน" เสียงยั่วยุดังเร่งเร้า
เด็กหนุ่มมีอาการวิงเวียนก่อนสติจะดับวูบลง
และร่วงละลิ่ว หล่นกระแทก พื้นถนนปูน เบื้องล่าง ในพริบตา
...รถฉุกเฉินเปิดเสียงหวอ
วิ่งมาจอดเทียบ ตำรวจกรูกันมาสำรวจความเสียหาย อยู่ครู่หนึ่ง
"ผมได้ยินเสียงปืน"
นายตำรวจตั้งคำถาม
"ผมยิงขู่เองครับ
มันเข้าไปขโมยของในห้าง แต่มันไม่ยอมให้จับ แล้วก็กระโดดตึกชั้นสอง
ลงมา เหมือนอย่างที่เห็นนี่แหละ มันสมควรแล้ว แหม มันใจเด็ดจริงๆ คุณตำรวจ
จัดการ ตามกฎหมายไปก็แล้วกัน เฮ้ย ยามค้นกระเป๋าสิ มันทำเอาอะไร"
"แต่ผมว่าเด็กมันตายแล้วนะเสี่ย
กระดูกขาหักทิ่มทะลุเนื้อ หัวฟาดพื้น!"
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๔๙ ธันวาคม ๒๕๔๕)
|