หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

กำไรขาดทุนแท้ของอาริยชน (ต่อจากฉบับที่ ๑๔๙)


จะนิยมก็"การสงเคราะห์คน"นั่นแหละ"เป็นโก้เป็นเด่น" "การสร้างคน"ก็แค่มีบ้างเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น "นักบริหารบ้านเมือง" หรือ "นักธุรกิจ" แม้แต่"สำนักศึกษามหาวิทยาลัย" ตลอดจน กระทั่ง "สำนักศาสนา" แท้ๆ ก็ "ไม่สร้างคน" ให้มีคุณธรรม และพ้นทุกข์อาริยสัจ จนประสบ ผลสำเร็จ "เป็นหลัก" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "สร้างคุณธรรม ที่พ้นทุกข์แบบอาริยสัจ" ตามทฤษฎี ของพระพุทธเจ้า อย่างสัมมาทิฏฐิ "จริงแท้"

ที่ต้องย้ำคำว่า อย่างสัมมาทิฏฐิ และต้องเน้นคำว่า"จริงแท้" ก็เพราะว่า ผู้ที่เป็นปราชญ์ ชาวพุทธมากมาย ซึ่งมีทฤษฎี ที่ตนเอง ปฏิบัติอยู่ อย่างมั่นใจ หรือเข้าใจพุทธ- ธรรมลึกซึ้ง ทั้งหลายนั้น ต่างก็ปักใจเชื่อว่า ตน"สัมมาทิฏฐิ" กันทั้งนั้นแหละ และ ปราชญ์ทั้งหลาย เหล่านั้น ก็ได้สั่งสอนถ่ายทอดความรู้ ให้แก่ พระสงฆ์องค์เจ้า เรียนรู้ ทั้งอบรมฝึกฝน ปฏิบัติตามอีกถึง สองแสนสามแสนรูป ซึ่งพระทั้งหลาย ต่างก็นำไป เผยแผ่ สั่งสอน ถ่ายทอดให้แก่ประชาชน คนไทยในสังคม ทั่วประเทศ ต่อๆตามๆกัน ประชาชนคนไทย นับถือพุทธกันกว่า ๙๐% ปัจจุบันนี้ ก็ต้องได้รับผล ตามการถ่ายทอดนั้นๆ ของปราชญ์ ของครูบาอาจารย์ ของบรรดา พระทั้งหลาย ที่เผยที่แพร่กันไว้แน่ๆ แล้วการณ์ปรากฏ เท่าที่เห็นเป็นเช่นไร? พุทธศาสนิกชน คนไทย มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ "พ้นทุกขอาริยสัจ" จากโลกียนิยม จากทุนนิยม จากวัตถุนิยม จากจิตนิยม จากบริโภคนิยม ฯลฯ แม้แต่ จากปัญญานิยม กันได้จริง หรือยิ่งตกเป็นทุกข์ เป็นทาส ผู้ปล่อยไม่ไปกันแน่?

ปราชญ์ทางพุทธศาสนาก็มีตั้งมากมาย พระสงฆ์องค์เจ้าก็ตั้งสองแสนสามแสน น่าจะช่วยคน "พ้นทุกข์พ้นภัย" จากทุนนิยม จากโลกียนิยม จากวัตถุนิยม จากจิตนิยม ฯลฯ ได้ดีกว่าที่เป็นๆ กันอยู่จริง ทุกวันนี้ ทั้งๆที่เมืองไทย ชื่อว่า "เมืองพุทธ"แท้ๆ ประชาชนส่วนใหญ่น่าจะ "มีความหลุดพ้นทุกข์ พ้นภัยได้อย่างดี อย่างถูกถ้วน อย่างชอบ อย่างควร" (สัมมาวิมุติ) เพราะมี "สัมมาทิฏฐิ" จริงแทกว่านี้

หาก"สัมมาทิฏฐิ"จริงแท ก็ต้อง "หลุดพ้น" ได้แน่ๆ และต้อง "หลุดพ้นแบบโลกุตระ" ด้วย แต่ "จริงๆ แล้ว ยัง..ยังไม่สัมมาทิฏฐิแท้" หรอก

เพราะถ้า"สัมมาทิฏฐิแท้จริง" จะต้องบรรลุมรรคผล ที่เป็น"สัมมาสมาธิ" นั่นคือ หาก "มีสัมมาสมาธิ" ประชาชนคนไทย ก็ต้องมีจิตใจแข็งแรง ตั้งมั่น ไม่ล้มเหลวปานฉะนี้ เนื่องจาก ผู้มี "สัมมาสมาธิ" จะมี "สัมมาญาณ".. มี "สัมมาวิมุติ" ประกอบ ไปด้วย อย่างเป็นองค์รวม เมื่อมี "สัมมาญาณ.. สัมมาวิมุติ" ก็จะไม่ถูก "ฤทธิ์ของโลกียะ หรือ ฤทธิ์ของโลก อันไร้พรมแดน ที่แสนยิ่งใหญ่ ทันสมัย (โลกาภิวัตน์)" ครอบงำย่ำยีเอา อย่างที่เป็นๆเห็นๆ กันอยู่ ขนาดนี้หรอก

เพราะเมื่อมี"สัมมาสมาธิ"ก็ต้องมี"สัมมาญาณ" ผู้มี"สัมมาญาณ"ก็คือ ผู้มีความรอบรู้ในโลกียะ รู้เท่าทัน ทุนนิยม รู้เท่าทัน วัตถุนิยม และ จิตนิยม ฯลฯ โดยเฉพาะรู้เท่าทัน ปัญญานิยม ของโลกีย์ เพราะรู้แจ้ง ภาวะจริง ของความเป็นจิต.. เจตสิก.. รูป.. นิพพาน จึงอยู่กับโลกียะ อยู่กับ ทุนนิยม ฯลฯ ได้อย่างดีแท้ ถูกพุทธธรรม อันชื่อว่า"โลกุตระ" (เหนือโลกีย์ หรือ ไม่เป็น ทาสโลกีย์) ชื่อว่า"อาริยะ" (ประเสริฐตามแบบพระพุทธเจ้า) ซึ่งผู้มี "สัมมาญาณ" จะอยู่ในสังคม มนุษย์โลกีย์ อย่างมีปฏิสัมพันธ์ กันได้ด้วยดี โดยไม่ต้องหนีเข้าป่า หรือ หนีหลบ ไปนั่งหลับตา สะกดจิต เข้าภวังค์ เหมือนอย่างลัทธิ ฤาษีดาบส อันเป็นลัทธิ เก่าแก่ดั้งเดิม

ส่วน"ญาณแบบฤาษีหรือมิจฉาญาณ"นั้น ไม่ใช่ความรู้ชนิดเดียวกัน กับ "สัมมาญาณ ที่มี สัมมาวิมุติ" "ญาณแบบฤาษี" ก็มีวิมุติไป คนละแบบ ซึ่งเป็นลัทธิที่รู้กันอยู่ทั่วไป ใครๆ จะเรียน จะทำก็ทำได้ง่ายๆ และเป็น "ญาณ" เป็น"วิมุติ" อีกชนิดหนึ่ง อันต่างจาก "สัมมาญาณ.. สัมมาวิมุติ"

สังคมจึงล่มระเนระนาดกันอย่างที่เป็นดังที่เห็นกันอยู่ เพราะ "ญาณและวิมุติ" ไม่ใช่ "สัมมาญาณ..สัมมาวิมุติ" ซึ่งก็เนื่องมาจาก ไม่ใช่ "สัมมาสมาธิ" จริงแท้ นั่นเอง

แต่ถ้าเป็น"สัมมาวิมุติ"แล้ว ผู้มีความหลุดพ้นชนิดนี้ จะหลุดพ้น จากอำนาจของโลกียะ หลุดพ้น จากอำนาจ ของทุนนิยม หลุดพ้นจากอำนาจของวัตถุ ที่ชาวทุนนิยม ปรุงแต่งขึ้นมา หลอกล่อ มอมเมา กันอยู่เต็มสังคม

[มีต่อฉบับหน้า]

(เราคิดอะไร ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๕๐ มกราคม ๒๕๔๖)