หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร


มักถาม มักดื่ม มักใหญ่
เมาใจ หลงไป ข้าแน่กว่า
พูดจา โอหัง มากอัตตา
มรณา เพราะปาก ขาดอ่อนโยน

นายแน่มาก (คูถปาณกชาดก)

มีบ้านหลังหนึ่ง อยู่ในนิคมซึ่งห่างจากเชตวันมหาวิหารประมาณ ๑ โยชน์ (๑๖ กม.) กับ๑ คาวุต (๔ กม.) บ้านหลังนี้จะมีสลากภัต (อาหารถวายพระตามสลากที่จับได้) และปักขิกภัต (อาหาร ถวายพระ ในปักษ์ละครั้ง) เป็นอันมาก

แต่ในที่บริเวณแถวนั้น มีชายพิการคนหนึ่งพักอาศัยอยู่ เขาชอบมาซักถามปัญหามากมาย กับภิกษุ และ สามเณร ที่ไปรับสลากภัตหรือปักขิกภัตที่บ้านหลังนั้น

"ท่านดื่มอะไร....ขบฉันอร่อย หรือไม่.....คราวหน้าจะเป็นสมณะรูปไหนมา..."

เขาถามจนกระทั่งภิกษุและสามเณรเหล่านั้น บางทีก็ตอบปัญหาไม่ได้ เขาก็เย้ยหยันเอา ทำให้ได้รับ ความอับอาย ขายหน้าแก่โยม บรรดาภิกษุและสามเณรทั้งหลาย จึงไม่ยอม ไปบ้านนั้น เพื่อรับสลากภัต และปักขิกภัต เพราะหวั่นเกรง ต่อชายพิการคนนั้น

อยู่ต่อมา ...มีภิกษุหนุ่มบวชใหม่รูปหนึ่ง ไปที่โรงสลาก แล้วถามว่า

"สลากภัตหรือปักขิกภัต ที่บ้านหลังนั้นยังมีอยู่หรือไม่"

ภิกษุผู้เป็นภัตตุเทศก์ (ภิกษุผู้ทำหน้าที่จัดแจกภัต) จึงตอบว่า

"ยังมีอยู่ท่าน แต่ที่บ้านหลังนั้นมีชายพิการคนหนึ่ง คอยถามปัญหา และด่าว่าภิกษุสามเณร ที่ไม่สามารถ กล่าวแก้ปัญหาได้ จึงไม่มีใครอยากไปที่นั่น"

ภิกษุบวชใหม่ยิ้มรับทันที กล่าวเสียงมั่นคงเด็ดขาดออกไปว่า

"ขอจงให้ภัตที่บ้านหลังนั้นแก่ผมเถิด ผมจะไปจัดการชายพิการนั้นให้หมดพยศ ตั้งแต่วันนี้เลย" ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินเช่นนั้น พากันยินดีว่า "ดีละ จงให้ภัตที่บ้านนั้น แก่ท่านรูปนี้ไปเถิด"

ภิกษุบวชใหม่นั้นจึงตรงไปที่บ้านนั้นทันที เมื่อถึงประตูบ้านพอดีชายพิการ ได้เห็นภิกษุรูปนั้น ก็ปรี่หาเข้า อย่างรวดเร็ว ราวแพะดุวิ่งมา แล้วเอ่ยขึ้นก่อนว่า

"สมณะ.....จงตอบปัญหาของข้าพเจ้าก่อน"

ภิกษุหนุ่มยิ้มให้แล้วต่อรองว่า

"อุบาสก ขอให้อาตมาได้บิณฑบาตในบ้านก่อน เพื่อรับข้าวยาคู (ข้าวต้มเหลวมากดื่มซดได้)" ชายพิการ จึงรอตรงนั้น ภิกษุหนุ่มรับข้าวยาคูแล้ว ก็มาที่ศาลานั่งพัก โดยไม่ชักช้าร่ำไร ชายพิการ พูดทันทีว่า

"สมณะ จงกล่าวแก้ปัญหาของข้าพเจ้า"

แต่ภิกษุหนุ่มก็ขอผัดผ่อนว่า

"อาตมาขอดื่มข้าวยาคูก่อนเถิด"

เมื่อดื่มเสร็จ ชายพิการก็จะให้ตอบปัญหาอีก ภิกษุหนุ่มก็เอ่ยว่า

"เดี๋ยวก่อน ขอให้อาตมาปัดกวาดทำความสะอาดศาลานั่งพักนี้ก่อน"

พอทำเสร็จ ชายพิการก็จะถามอีก แต่ภิกษุก็ห้ามไว้แล้วบอกว่า

"ขอให้อาตมารับสลากภัตเรียบร้อยก่อนเถิด"

ครั้นเข้ารับสลากภัตในบ้านแล้วออกมา ก็ให้ชายพิการช่วยถือบาตรให้ แล้วกล่าวว่า

"จงตามมาเถิด อาตมาจะแก้ปัญหาทั้งหมดให้"

เมื่อพาเดินไปถึงสถานที่ไกลผู้คน ภิกษุหนุ่มก็หันกลับมารับบาตรจากมือของชายพิการ แล้วยืน จ้องหน้า เขาอยู่ ชายพิการมิได้ผิดสังเกตอันใด คิดแต่จะถามให้ได้เท่านั้น

"สมณะ ท่านจงกล่าวแก้ปัญหาของ ข้าพเจ้าดังนี้...."

ภิกษุหนุ่มไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดอีกแล้ว ตอบเสียงดังออกไปว่า
"เราจะแก้ปัญหาท่านเดี๋ยวนี้แหละ"
ว่าแล้วก็ผลักเขาล้มลงกับพื้น กระโดดขึ้นไปคร่อมตัวเขาไว้ไม่ให้ดิ้น แล้วคว้าเอาคูถ (อุจจาระ) ที่พื้นดิน บริเวณนั้น ยัดใส่ปากเขา พร้อมกับขู่สำทับว่า

"นับตั้งแต่วันนี้ไป เราจะคอยสืบดูว่า เจ้ายังจะชอบซักไซ้ ถามปัญหามากมาย ดุด่าว่าภิกษุ สามเณร ที่มาบ้านนี้อีกหรือไม่"

แล้วภิกษุหนุ่มก็ปล่อยตัวเขาไป หลังจากนั้นมาชายพิการ เห็นภิกษุเมื่อใด ก็จะหลบ หนีห่าง ทันที ไม่กล้าเข้าไปเซ้าซี้อะไรอีกเลย

เหตุการณ์นี้ได้เป็นที่กล่าวถึงกันอย่างมากในหมู่สงฆ์ ภิกษุประชุมสนทนากัน ในธรรมสภาว่า

"ดูก่อนอาวุโส (เรียกภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่า)ได้ยินว่า ภิกษุบวชใหม่รูปโน้น เอาคูถยัดใส่ปาก ของชายพิการ แล้วก็จากไปจริงหรือ"

พอดีพระศาสดาเสด็จมา ภิกษุเหล่านั้นจึงกราบทูลให้ทรงทราบ พระศาสดาจึงตรัสว่า

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหนุ่มบวชใหม่รูปนั้น กระทำรุนแรงรุกรานชายพิการด้วยคูถ มิใช่บัดนี้ เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ก็เคยกระทำอาการหยาบคายเยี่ยงนี้มาแล้ว"

พระศาสดาก็ทรงนำเรื่องราวนั้นมาตรัสเล่าว่า
..................
ในอดีตกาล ณ บริเวณบ้านหลังหนึ่ง ที่เขตพรมแดนของมคธรัฐกับอังคะรัฐ เหล่าพ่อค้า พากันร่ำสุรา กินปลา กินเนื้อ สนุกสนานตลอดคืน

แต่พอรุ่งเช้า ต่างก็เทียมเกวียนแยกย้ายกันจากไป ทิ้งไว้แต่กองอึ เศษอาหารเรี่ยราด น้ำสุรา หกเลอะเทอะ เป็นหย่อม

ในที่นั้น...มีหนอนกินอึตัวหนึ่ง พอได้กลิ่นอึลอยมา ก็เที่ยวแสวงหา เมื่อพบน้ำสุราที่พื้น ก็ดื่ม ดับกระหาย จนกระทั่ง เมามาย เซไปเซมาแล้วเที่ยวหากินอึต่อไป โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเทวดา (ผู้ที่จิตใจสูง) ในที่นั้น กำลังเฝ้าดูอยู่

ครั้นหนอนเจอะอึของโปรดแล้ว ก็ไต่ขึ้นไปบนกองอึนั้น อึสดๆ ก็ยุบตัวลง ทำให้หนอน กระหยิ่มใจ นึกหลงตัวเอง ประกาศว่า

"ข้าไร้เทียมทานแล้ว แม้แต่แผ่นดินนี้ ก็มิอาจต้านทานตัวข้าได้เลย"

ตอนนั้นเอง.....มีช้างตกมันตัวหนึ่ง ผ่านมาถึงที่นั้น แต่พอได้กลิ่นอึเข้าเท่านั้น ก็นึกรังเกียจ จึงหลีกห่าง ออกไป หนอนเห็นดังนั้น ก็เข้าใจว่า

"ช้างตัวนี้กลัวข้ามาก ถึงได้หลบหนีไป"

จึงตะโกนไล่หลังช้างไปว่า

"เจ้าช้างขี้ขลาดกลับมาซิโว้ย เจ้ากลัวข้าจนวิ่งหนีเชียวเหรอ ถ้าเจ้าแน่จริง จงมาสู้กับข้า ผู้เก่งกาจ ไร้ทียมทาน ให้ชาวอังคะ กับชาวมคธได้รู้ว่า ใครจะแน่กว่ากัน"

ช้างได้ยินคำพูดโอหังของหนอนแล้ว ก็แผดเสียงสนั่นหวั่นไหว หันกลับย่างสามขุม ตรงมา ที่หนอน พร้อมกับตวาดว่า
"สู้เจ้านะเหรอ ข้าไม่ต้องฆ่าเจ้า โดยใช้เท้าเหยียบ ไม่ต้องใช้งาแทง ไม่ต้องใช้งวงฟาดหรอก เพราะหนอนสุราสกปรก เน่าเหม็นอย่างเจ้า สมควรตายด้วยของเน่าเหม็นนั้นแหละดี"
ว่าแล้ว ช้างก็หันหลังกลับ ยกก้นถ่ายอึก้อนมหึมา!ตกลงบนหัวหนอนตัวนั้น แล้วฉี่รดซ้ำอีก เสร็จแล้ว ก็สะบัดก้น เดินเข้าป่าไปเฉย ปล่อยให้หนอนลำพองตัวนั้น นอนจมอึตาย อยู่ที่ตรงนั้นเอง
..................
พระศาสดาตรัสชาดกจบแล้ว ได้ทรงเฉลยว่า
"หนอนกินอึในครั้งนั้น ได้มาเป็นชายพิการในครั้งนี้ ช้างตกมัน ได้มาเป็นภิกษุหนุ่มบวชใหม่ นั้นเอง ส่วนเทวดา ผู้เห็นเหตุการณ์ โดยตลอด ก็คือเราตถาคต"

(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๓๐๓ อรรถกถาแปลเล่ม ๕๗ หน้า ๔๑๐)

(เราคิดอะไร ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๕๐ มกราคม ๒๕๔๖)