หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

เวทีความคิด- เสฏฐชน -
วิชาใด เท่ารู้อวิชชา

พระพุทธองค์ตรัสว่า "คนจะพ้นทุกข์ได้เพราะความเพียร"
แต่ในอีกมุมหนึ่ง "คนสร้างทุกข์ได้ด้วยความเพียร" เหมือนกัน

โจรที่พยายามขึ้นบ้านเพื่อขโมยทรัพย์ของคนอื่น ต้องใช้ความเพียรไม่น้อย

เพื่อจะได้ทรัพย์นั้นพร้อมๆ กับรอดตัวจากการถูกจับได้ด้วย

ข้าราชการที่คอรัปชั่นจากภาษีประชาชน ก็ต้องใช้ความเพียรมากๆ

เพื่อจะได้รวยเร็วๆ โดยไม่ถูกตรวจสอบสินทรัพย์จนกระทั่งโดนถอดตำแหน่ง

พ่อค้า นักธุรกิจ ก็ยิ่งต้องใช้ความเพียร เพื่อแข่งขันกันในเชิงธุรกิจ ทำกำไรสูงสุดเพิ่มขึ้นให้ได้ทุกๆ ปี โดยผู้บริโภคสินค้า ไม่รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ

นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ก็ต้องใช้ความเพียรในการโกงข้อสอบ เพื่อจะได้รับปริญญา ใบประกันความรู้ เพื่อจะให้เป็นบุรุษที่สมบูรณ์แบบ ตามรสนิยมของหญิงสาว คือ รูปหล่อ รวยสมบัติ มีปริญญา ฯลฯ

มองไปรอบๆ ตัว ทั่วทุกทิศ ไม่มี ณ ที่ใดๆ ที่คนจะไม่ใช้ความเพียร

โดยเฉพาะเรื่องของการเพียร ที่จะเอาชนะคนอื่น จนกระทั่งเป็นผู้ชนะเลิศในโลก เพียรที่จะสร้าง ความร่ำรวย จนกระทั่งรวยที่สุด ในประเทศ เพียรที่จะสร้างอำนาจ จนกระทั่ง มีอำนาจยิ่งใหญ่ ที่สุดบ้านเมือง เพียรที่จะเรียนเอาปริญญาบัตร จนกระทั่งมากใบ มากคณะที่สุด สำหรับคนวัยเดียวกัน

แม้แต่คนที่มีความรู้อยู่แล้ว ก็ยังไม่วายต้องใช้ความเพียร ที่จะนำเอาความรู้ที่ตนเองมี ไปสร้างความเติบโต ขยายผลด้านอื่นๆ ต่อๆ ไปอีก

วิชาเสพกามรสอย่างใด ที่ทำให้ถึงจุดสุดยอด พิสดารหลากหลายท่า ก็ยังอุตส่าห์มีคนอยากรู้ อยากเรียน แล้วก็ยังมีการสอนกันด้วย

วิชาคดโกงในวงการพนัน ขันต่อ พลิกแพลงการใช้อุปกรณ์ ในการได้เงิน จากลูกบ่อนพนัน อย่างไรๆ ก็มีปรมาจารย์ ที่นักพนันนับถือ

วิชาพ่อเล้า แม่เล้า แมงดา โสเภณีระดับสูง จนกระทั่งติดต่อเปิดเอเยนต์ สาขาส่งเข้า ส่งออก แลกเปลี่ยน ข้ามประเทศ ก็ยังมีคนเรียนเพื่อสืบทอด

วิชาศัลยกรรมเสริมความสวยงาม ความหล่อเหลาให้ถูกสเป็คเขย่าหัวใจผู้ใฝ่หากามรส ก็มีผู้ฝึกปรือ รับการถ่ายทอด

วิชาพ่น ลงเลข ลงยันต์ เสกเป่า ยัดอัดอาคม ขมังเวท ฯลฯ ที่จะทำให้คนหลงใหล เคลิบเคลิ้ม สติสัมปชัญญะ หดหาย ก็ยังมีผู้สนใจอยากเรียนรู้

วิชาหัดใช้ลิ้นตวัด หัดใช้เสียง ลีลาการพูดที่ควักล้วงหัวใจคน จนเพ้อคลั่งใฝ่ถึงคะนึงตาม ก็ยังมี สถานที่เปิดสอน
ฯลฯ........ฯลฯ

สรรพวิชาเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์บอกว่าต้องศึกษา เป็นบันไดไปสู่ความเจริญ ใครไม่รู้ ไม่เรียน ไม่แสวงหา ไม่นิยมชมชื่น จะถูกดูหมิ่นว่ารู้น้อย โง่เขลา ไม่เจริญ

ทั้งๆ ที่วิชาบรรดามีที่กล่าวมานั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่ามันคือ "เดรัจฉาน-วิชา" ทั้งน้าน !

แต่ไฉนคนที่บอกผู้อื่นว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ กลับยังยินดีด้วยวิชาเหล่านั้นอยู่

ปัจจุบันใบรับรองความรู้ที่เรียกว่าปริญญา เป็นสิ่งที่น่าพิสมัย น่าต้องการของคนทุกวัย ไม่เฉพาะแต่วัยเด็ก วัยรุ่น วัยหนุ่มสาว แม้หนุ่มแก่ สาวใหญ่ ผู้เฒ่าก็ยังต้องเพียรพยายาม หามาเก็บเอาไว้สักใบ ดังข่าว จากหนังสือพิมพ์ ที่นำเสนอผู้เฒ่าวัย ๙๐ กว่า ยังอุตส่าห์ เรียนเอาปริญญากับเขาเหมือนกัน

ยุคก่อน และหลัง พ.ศ.๒๕๔๕ เป็นต้นไป จะเป็นยุคใบยืนยันความรู้ที่ฟูเฟื่องขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีวันหดสั้นลง

แม้ในวงการศาสนา ที่บางคนไปอบรมศีลธรรมชั่ว ๔-๕ วัน ก็ยังต้องแจกใบรับรองศีลธรรม ให้ผู้เข้ารับการอบรม อบอุ่นใจ

แม้ผู้บวชครองเพศบรรพชิตเป็นถึงเถระ มหาเถระ อัครมหาเถระ พรรษายุกาลเนิ่นนาน จนใกล้จะถึง หลุมฝังศพแล้ว ก็ยังต้องใฝ่เรียนเอาใบรับรองศีลธรรม รับรองความรู้ เพื่อผลประโยชน์ ทั้งที่ยังดำรงเพศนั้นอยู่ หรือจะสึกหาลาเพศไป ภายหลังก็ตาม

ดูประหนึ่งคนในยุคนี้ จะมีความสุขกับการสั่งสมเดรัจฉานวิชา ยกย่องความเพียร เพื่อได้รับใบรับรองความรู้ ด้านเดรัจฉานวิชากันทั้งนั้น


จึงไม่น่าประหลาดใจอะไร ที่ปริมาณของผู้เข้าถึง "โลกุตรวิชา" จะน้อยลงๆ จนหาเป็นตัวอย่าง ยืนยันสัจธรรมนี้ได้ยาก

แม้การจะเรียนเพื่อศึกษาร่องรอยของผู้เข้าถึงโลกุตรวิชาในอดีต สมัยครั้งพระบรมศาสดา ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ จากพระไตรปิฎก ก็ยังอุตส่าห์ ตีค่าความรู้เหล่านี้ ออกมารับรอง เป็นปริญญา พุทธศาสตรบัณฑิต อภิธรรมบัณฑิต ฯลฯ

มิหนำซ้ำยังอาจจัดการแข่งขัน เพื่อสอบทวนความจำจากการอ่านพระไตรปิฎก วัดจากใครจำเรื่องราว จำข้อความ จำหัวข้อธรรมได้มาก จะได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญ แตกฉานในคัมภีร์เสียด้วย

กล่าวได้ว่าเมื่อเทียบเคียงความรู้เช่นนี้ ถือบรรทัดฐานอย่างนี้ ผู้อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ ก็คงจะหมดหวัง ที่จะบวชเรียน

ฉะนั้นผู้ที่จะเข้ามาบวช จึงต้องเรียน เรียน เพื่อรับปริญญาบัตรทางศาสนา รับสมณศักดิ์ เป็นลำดับต่อมา รับตำแหน่ง ไต่เต้ายิ่งๆขึ้นไป จนกิเลสกามราคะ-มานะ-ทิฐิสังโยชน์ ที่ได้รับการฟูมฟัก มาโดยตลอด รอเวลาเติบใหญ่ แสดงตัวตนออกมา จนต้องลาสึก ไปทำงานกินเงินเดือน เทียบตำแหน่งหัวหน้า อธิการบดี คณบดีในกระทรวง ในมหาวิทยาลัยต่อไป นี่คือสุดหมายปลายทาง ของความเพียรที่สำเร็จแล้ว

ทบทวนดูเถอะว่า บทบาทความเชื่อมโยงของกรรมกิริยาดังกล่าวมานี้ เป็นความเจริญ ของผู้ศึกษา "ไตรสิกขา" แล้วหรืออย่างไร?

ในเมื่อความมุ่งหมายดั้งเดิมของพระพุทธ-องค์ ปรารถนาให้พุทธบุตร ศึกษาไตรสิกขา เพื่อความหลุดพ้น เพื่อหมดสิ้น ซึ่งกิเลส ตัณหา มานะ ทิฐิ เห็นแก่ตัว เอามาให้ตัว ทั้งด้านเบญจกามคุณ และโลกธรรม ที่ครอบงำ จิตใจของสัตวโลกอยู่

แต่ทิศทางที่บรรดาพุทธบุตรทั้งหลาย ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์กำลังก้าวเดินไป สวนกระแส กับพุทธประสงค์หรือไม่?

มีเหตุผลจากการส่งเสริมในด้านนี้ว่า เพื่อนักบวชจะได้มีความรู้ ใช้ภาษา ติดต่อกับฆราวาส ได้ง่าย ร่วมสมัยขึ้น อธิบายธรรมะได้ดีขึ้น

อธิบายธรรมะให้ได้ภาษาดีขึ้น หรืออธิบายธรรมะให้ได้อริยคุณ พระอริยบุคคลมากขึ้น อย่างไหน คือแก่นแท้ ของไตรสิกขา ?


ความรู้เรื่องพระไตรปิฎกมากขึ้น ปัญญาในการอธิบายความหมา ยภาษาพระไตรปิฎก แตกฉานขึ้น ความเข้าใจ ในเรื่องประวัติอริยบุคคลกว้างขวางขึ้น แต่กิเลสของผู้ศึกษา สิ่งเหล่านี้

ทั้งในด้านประวัติศาสนา คำสอนของศาสนา สังคมศาสนา ธรรมะในศาสนา ฯลฯ ลดลง หรือเพิ่มขึ้น ?

จากคนจน มาเป็นคนรวย เพราะได้ความรู้จากศาสนาไปแลกเป็นเงินมาเลี้ยงชีพ ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้า เคยมีเงิน ให้ทิ้งเงิน เคยเลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชา มาหยุดทำเดรัจฉานวิชา

จากคนไม่มีอะไร แม้กระทั่งชื่อเสียง ความเคารพนบไหว้ มาเป็นคนมีแทบทุกอย่าง ที่คน โดยทั่วไป เขามีกัน ไม่ว่าที่ดิน เครื่องอุปโภคบริโภคดีๆ ยศถาบรรดาศักดิ์ ฯลฯ จนกระทั่ง ใบปริญญา

บางคราวยังได้อ่านพบข่าวนายทุนผ้าเหลือง นายหน้าค้ายาบ้าตามกุฏิ นักเที่ยวผู้หญิงในวัด ฯลฯ ตำแหน่งเจ้าอาวาส พระอธิการ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย

ตามมหาวิทยาลัยที่ฆราวาสลูกชาวบ้านเขาเรียนกัน เพื่อให้ได้ใบกระดาษปริญญา ไปติดฝาบ้าน เพื่อคุยโก้ เป็นเกียรติประวัติ ของวงศ์ตระกูล ก็ยังอุตส่าห์ส่งเสริม เปิดห้องพิเศษ สอนเพศบรรพชิต ให้เข้าไปเรียนอีก

ไม่รู้กันหรือว่าสมัยพุทธกาลย้อนหลังไป ๒๕๔๕ ปี พระอนุรุทธะ พระอานนท์ พระสารีบุตร พระมหากัจจายนะ พระยสะ ฯลฯ เจ้าชาย ลูกเศรษฐีเหล่านี้ ได้ทิ้งอะไรมาบวชกันบ้าง เคยมีโลกียทรัพย์ โลกียสุขต่างๆ ที่ยุคนี้เพียรจะเอา แต่สมณะ ศากยบุตรเหล่านั้น ทิ้งมาอย่างไม่ไยดี

จะไปหาความเป็นพระอริยะจากที่ไหน จะสร้างความเป็นพระอริยะยากนักหรืออย่างไร เพียงทิ้งสิ่งที่มี สิ่งที่ได้ สิ่งที่โลกนิยมไขว่คว้า ละความยินดีในสิ่งที่โลกเขายินดี ไม่ว่าจะยินดี ในกาม ยินดีในโลกธรรม ใครละความยินดีในสิ่งเหล่านี้เสียได้ ทิ้งสิ่งเหล่านี้ที่เคยมี เคยได้ เคยเป็นมาได้ เท่านั้นแหละ ประตูความไปสู่อริยะ ก็จะเปิดกว้างขึ้น จะมานั่งคาดเดา ความเป็นอริยะจากอะไร

รู้อะไรจึงเหนือกว่ารู้วิชาใดๆ ในโลก
ถ้าไม่ใช่ "รู้อวิชชา"


ผู้มีความรู้ มีวิชาหลายๆ ปริญญาจะตอบคำถามนี้ได้ไหม?

และผู้มีหลายๆ ปริญญา หลายๆ วิชาที่ทำมาหากิน สร้างฐานะทางเศรษฐกิจให้ร่ำรวย ใหญ่โต มีชื่อเสียง ยศศักดิ์ตำแหน่งได้ "รู้จักอวิชชาในตัวเอง" หรือยัง?

หากจะตอบว่าการศึกษาเป็นหนทางทำให้คนหลุดพ้นจากความไม่รู้

ถามว่าปัจจุบันสถาบันถ่ายทอดความรู้มีมากกว่าแต่ก่อน หรือน้อยกว่าอย่างไร

สมัยก่อนคนได้เรียน ได้รับรู้ ทั้งจากการไปเรียนที่ๆ นั้นๆ หรือจากสื่อที่ส่งๆ ต่อๆ มา น้อยกว่า ปัจจุบัน หรืออย่างไร

คงไม่ปฏิเสธว่าสิ่งที่กล่าวถึงนี้ น้อยกว่าปัจจุบัน

แต่ทำไม? คนในยุคนี้จึงใจดำมากขึ้น "ผิดศีลธรรม" มากขึ้น คุณภาพทางจริยธรรมต่ำลง หากการศึกษาทำให้คนเจริญ !

มิหนำซ้ำ กลับตรงกันข้าม ดูจากคนสมัยก่อนกว่าจะจบปริญญาตรี อายุก็ปาเข้าไป ๒๕-๒๗ ทุกวันนี้ อายุ ๒๐-๒๓ ก็หอบปริญญาเอกใบสองใบได้แล้ว

แต่จะหาคนมีน้ำใจ หาคนเสียสละ หาคนขยันขันแข็งรับผิดชอบ หาคนมีความอดทนข่มใจ หาคนควบคุมอารมณ์ หาคนมีสำนึกดี หาคนเกรงใจคนด้วยกัน ฯลฯ เป็นตัวอย่าง ที่จะยกขึ้นมาอ้างอิง ให้คนอื่นฟังแสนยาก อาจจะมีก็คงในละครทีวี นิยายเก่าแก่ สมัยพระเจ้า พรหมทัต กรุงพาราณสี โน่นกระมัง?

แม้แต่นิยายเก่าๆ ที่นักเขียนพยายามสะท้อนภาพ "นางเอก-พระเอก" ที่ดี ที่มีคุณสมบัติดีๆ ซึ่งหาได้ยาก เหล่านี้ เพื่อคงรูปแบบการเขียนเดิมของเขาที่เขียนไว้ เมื่อนำมาสร้างเป็นละคร เป็นวีดิทัศน์ ผู้กำกับ ต้องมาเปลี่ยนบท เปลี่ยนลีลาท่าทีใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับ รสนิยม ของตลาด ตัวเอกจะมานั่งหงิมๆ อดทนข่มใจอย่างเดิมๆ ชักจะเชยเกินไปแล้วล่ะนาย เช่นเสียงวิจารณ์ เรื่องบ้านทรายทองยุคใหม่ เรื่องดาวพระศุกร์ รุ่นหลังสุวนันท์ (กบ) คงยิ่ง เป็นต้น

เสียงวิพากษ์เหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงแนวคิด ยึดถือ ของคนต่างสมัย ที่มีแนวโน้ม แข็งกระด้างขึ้น ในทำนองเดียวกันกับคำสอนแต่โบราณเคยถือปฏิบัติมาว่า "ผู้ใหญ่ย่อมไม่ผิด" ที่เด็กรุ่นนี้ คงรับไม่ได้

ไม่ต่างจากความหนักใจของผู้ใหญ่ เมื่อพบกับเด็กรุ่นนี้ที่ถือว่า "ธุระไม่ใช่" เรื่องจะต้องไปแคร์ แต่ความรู้สึก ของผู้ใหญ่ ยกไว้แต่เพียงมี "เหตุผล" ค่อนมาทางตามที่ใจตัวเองต้องการ เห็นดีเห็นชอบด้วย จนเด็กรู้สึกว่า เป็นบุญคุณต่อพ่อแม่ วงศ์ตระกูลยิ่งแล้ว เมื่อเขาจบ รับปริญญาสำเร็จ ด้วยคุณวุฒิ ใบรับรอง ที่พ่อแม่บางคน อาจไม่มี หรือมีต่ำกว่า พ่อแม่ก็ต้อง ไปเลี้ยงฉลองให้ ซื้อรถเก๋ง นำเงินฝากธนาคาร ซื้อแหวนเพชรให้ ฯลฯ เป็นรางวัล

การยอมรับ แสดงท่าทีเอาใจเด็กระดับนี้ เป็นช่องทางหนึ่งของการได้ใจ หลงตัวของเด็ก ต่างจากสมัยก่อน ที่เคยปลูกฝังให้ลูกต้องมากราบเท้าขอบคุณพ่อแม่ ซื้อของขวัญให้พ่อแม่ หรือนำเงินก้อนแรก ของการทำงานครั้งแรก ด้วยหยาดเหงื่อของตนเอง มามอบแทบเท้า ขอบคุณพ่อแม่ ที่ช่วยส่งเสริม อุดหนุนให้เรียนสำเร็จ เป็นทุนในการตั้งหลักฐาน ดำเนินชีวิต ต่อไป พ่อแม่สมัยก่อน ก็ได้พึ่งลูกชนิดนั้นแหละ ตลอดมา


วิชากตัญญูกตเวทีอย่างนี้ๆ พ่อแม่ยังสอนกันอยู่หรือเปล่า? ลูกๆ ยังเรียนรู้กัน อยู่หรือเปล่า? และยังทำกันอยู่หรือเปล่า? หรือว่าความก้าวหน้าทางวิชาการต่างๆ กลบเกลื่อนวิชาดีๆ อย่างนี้ไปหมดแล้ว

ฉะนั้นจึงไม่สงสัยเลยว่าทำไม? คนยิ่งรู้มากยิ่งอวิชชามากขึ้นทุกวัน

(เราคิดอะไร ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๕๐ มกราคม ๒๕๔๖)