ศาสนธรรมจะเป็นมโนธรรมของสังคมในภาวะปัจจุบันได้อย่างไร
ตอนจบ
- ส.ศิวรักษ์ -
ปาฐกถาในงานแสดงมุทิตาจิต
แด่พระคุณเจ้าบุญเลื่อน หมั้นทรัพย์ มีอายุครบรอบการได้รับศีลบวชเป็นบาทหลวง
ครบ ๕๐ ปี โดยได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลอุบลราชธานีครบ
๒๕ ปีอีกด้วย ณ ห้องประชุม ศูนย์พัฒนาบุคลากร อัสสัมชัญ อาคารมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียล
แห่งประเทศไทย วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๔
๓) ผลกระทบจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่งคือระบบตลาด
ในสมัยโบราณ การซื้อขายเป็นไปแคบๆแม้จะมีการเอารัดเอาเปรียบกันบ้าง
ตลาดก็เป็น ที่สร้างสรร ให้ได้ มีการสนทนา วิสาสะ มีคุณค่าทางวัฒนธรรมและการเมือง
ครั้นระบบตลาด ไปผูกติดอยู่กับ ระบบทุนนิยม และ บริโภคนิยม ซึ่งมีการสื่อสาร
และมวลชนอย่างใหม่ มาเกี่ยวข้องด้วย จึงเป็นโทษยิ่งนัก ยิ่งบรรษัท
ข้ามชาติ ใช้สื่อมวลชน มอมเมาคน ให้หลงไป กับความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย
จนผู้คนส่วนใหญ่ ถูกสะกดว่า ชีวิตตน มีความหมาย เพียงเพื่อ หาเงิน
ยิ่งมากยิ่งดี และ เมื่อมีเงินแล้ว ก็ต้องซื้อ ต้องเสพ ตามที่ตน ถูกล้างสมองมา
ศูนย์การค้าจึงกลายเป็นวัดอย่างใหม่ จอโทรทัศน์จึงกลาย เป็นธรรมาสน์
อย่างใหม่ เงินตรา จึงกลายเป็น พระเจ้าอย่างใหม่ โดยที่ผู้นำ ทางศาสนาส่วนใหญ่
ก็ติดยึดอยู่ในองค์คุณทั้ง ๓ นี้ การค้าเสรีที่ว่านี้ ปราศจาก ความยุติธรรม
แม้จนระบบ เศรษฐกิจนานาชาติ ก็ถูกคุมโดย อภิมหาอำนาจ และ บรรษัทข้ามชาติ
ซึ่งมีอำนาจ มากกว่ารัฐ หรือ รัฐบาลต่างๆ
ความข้อนี้ ผู้นำทางศาสนาจะมีจุดยืนตรงไหน จะเข้าข้างรัฐบาลหรือขัดขวาง
จะจูง หรือ นำประชาราษฎร ได้อย่างไร ในเมื่อตัวเอง ก็ยังชอบเงิน และอำนาจ
และความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยต่างๆ หาไม่ตนก็ สมาทาน วิถีชีวิต อย่างความยากจน
และสวดมนต์ภาวนา โดยแลไม่เห็น สภาวะสัตย์ อันเลวร้าย ของสังคม ร่วมสมัยเอาเลย
๔) รัฐบาลในแทบทุกประเทศ ไม่อยู่ข้างราษฎรส่วนใหญ่ผู้ยากไร้ หากอยู่ข้างผู้มีอำนาจ
และ อภิมหาอำนาจ และ บรรษัทข้ามชาติ ถ้าขืนกระแสนี้อยู่ได้ยาก ดังประธานาธิบดีวาหิต
แห่งอินโดนีเซีย เป็นตัวอย่าง เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ถูกปลดไป ไม่แต่เพราะกองทัพ
ซึ่งเป็นรัฐภายในรัฐ หาก IMF และ สหรัฐ ยังเป็นปัจจัย
ภายนอก ที่สำคัญอีกด้วย
ที่ร้ายก็คือรัฐจัดระบบราชการให้เอาเปรียบประชาชน และมักรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง
แม้จะอ้างว่า เป็นประชาธิปไตย ก็มีอำนาจอันแอบแฝงในทางคณาธิปไตย และ
ในทาง ธนาธิปไตย แม้จนในทาง ราชาธิปไตย ดังขอให้ดูได้ที่รัฐบาลไทย
ในปัจจุบัน ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ เป็นไปในทาง ประชาธิปไตยยิ่งๆ
ขึ้นทุกที แต่มีใครทราบบ้างไหมว่า องคมนตรี มีอำนาจ อันแอบแฝงอย่างไร
สื่อสารมวลชน ที่อ้างว่าเสรีนั้น รับใช้นายทุนอย่างไร นักคิด นักเขียน
มีความกล้าหาญ ทางจริยธรรม เพียงไหน มิไยต้องเอ่ยถึงผู้นำทางศาสนา
ว่าได้ถามถึง บทบาทตัวเอง ในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง อย่างไรบ้างหรือไม่
หรือมีหน้าที่แต่ในทางพิธีกรรม โดยไม่กล้า แม้แต่พูดความจริง เพื่อปลุก
มโนธรรมสำนึก ของชนชั้นบน ดังประมุขศาสนาโรมันคาทอลิก ที่สยบยอมกับหลีกวนยู
จนเขาผู้นั้น เข้ามาบงการ พระศาสนา อย่างเกือบจะเบ็ดเสร็จ หลังจากนั้น
เขาจึงมอบให้ศาสนจักร มีคณะกรรมการ ยุติธรรม และสันติได้อีก หลังจากที่ประมุขทางศาสนาจักร
ยอมยุบ หน่วยงานนั้น เพื่อเอาใจรัฐบาลสิงคโปร์ ไปก่อนแล้ว เยาวชนคริสตังหลายคน
จึงถามว่า จะมีคณะกรรมการดังกล่าว ไปทำไมกัน ในเมื่อศาสนจักร สยบยอม
กับเผด็จการ จนหมดแล้ว
หวังว่าผู้นำทางศาสนาในเมืองไทยคงไปไม่ถึงขั้นนั้น แต่ข้าพเจ้ายังมองไม่เห็นผู้นำ
ในฝ่าย พุทธศาสนา หรือ คณะสงฆ์ออกมาชี้นำ พระราชา มหากษัตริย์ หรือ
รัฐบาลเอาเลย ว่าหนทาง ในทางความยุติธรรม ของสังคม ที่ควรประสานกัน
อย่างเหมาะสม กับศาสนธรรม ควรเป็นไป อย่างไรในทางรูปธรรม โดยอย่าสักแต่เทศนา
อย่างเป็นนามธรรม และอย่างลอยๆ ดังที่ บรรพชิต ชอบทำอยู่ หาไม่ก็ประจบประแจง
พระราชา และนักการเมือง ตลอดจน คนรวย อย่างน่ารำคาญยิ่งนัก
๕) ยิ่งการศึกษาที่ทางแต่ละศาสนาจัดขึ้นด้วยแล้ว นอกจากพิธีกรรมทางศาสนา
ที่มีเป็น องค์ประกอบแล้ว มีบ้างไหม ที่การศึกษาเพื่อความเป็นไท ที่ไม่รับใช้ระบบทุนนิยม
ที่ปราศจาก ความเป็นชาตินิยม หากนิยม ความเป็นมนุษย์ ที่เท่าเทียมกันทั้งหมด
ไม่ว่าเขา จะเป็นพม่า มอญ หรือไทยใหญ่ที่อพยพเข้ามา โดยที่โสเภณี ก็ควรมีค่า
ไม่ต่างไปจากน้องสาว หรือ พี่สาวเรา
มิไยว่าเรามีสภานักเรียน ที่กล้าท้าทายระบบการเรียนการสอนอย่างเผด็จการของโรงเรียน
ทางศาสนาไหม ยังมหาวิทยาลัยเอกชนเล่า แม้จะเป็นของศาสนจักร เงินทองที่ได้มานั้น
เปิดเผยและโปร่งใสไหม มีการศึกษา ทางศาสนา เพื่อท้าทายโครงสร้าง ทางเศรษฐกิจ
สังคม และการเมือง ที่อยุติธรรมบ้างหรือเปล่า มิไยต้องเอ่ยถึง การปลูกฝังความดี
ความงาม และ ความจริง นอกบริบทที่ เยาวชนถูกครอบงำ ไว้อย่างไร หรือไม่
๖) ประเด็นในเรื่องเยาวชน ก็เป็นปัจจัยสำคัญ ที่เราจะปลุกมโนธรรมสำนึก
ให้เขาได้ ในทางศาสนธรรม ก็ต่อเมื่อ เรารับฟังเขา ให้เกียรติเขา และพร้อมจะเรียนรู้จากเขา
เฉกเช่น ที่พวกเรา ที่เป็นผู้ชาย ต้องใช้ วิธีเดียวกัน กับสตรี ที่ถูกพวกเราเอาเปรียบมาโดยตลอด
ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และ วัฒนธรรม แม้ศาสนาของเรา จะถือว่าผู้หญิง
ผู้ชาย เท่ากันก็ตาม
ยังคนเพศที่สามเล่า การกินอยู่หลับนอนด้วยกันอย่างปราศจากพิธีกรรม
ทางศาสนาเล่า รวมถึง การทำแท้ง เราจะใช้ศาสนธรรม ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา
กรุณา แทนการประณาม อย่างที่ทางศาสนจักรกระทำ ได้หรือไม่
ที่แล้วๆ มาแทบทุกศาสนาสงเคราะห์คนยากไร้ และผู้ประสบอุปัทวภัย แต่ก็คงสอนให้คนจน
จนต่อไป โดยไปหวัง ความสุขบนสวรรค์ หรือชาติหน้า ถ้าทนรับสภาพอันเป็นทารุณกรรม
จากโครงสร้าง อันอยุติธรรม โดยที่กฎหมาย และระเบียบทางสังคม ช่วยเหลือ
เกื้อกูลคนรวย และ คนมีอำนาจ แม้พวกนี้ จะเลวร้าย สับปลับ และหน้าไหว้หลังหลอก
อย่างไรก็ตามที คนเลวที่ว่านี้ ไม่ได้มีแต่นักการเมือง และ นักการค้า
หรือ นักคิดนักเขียน หากรวมผู้นำ ทางศาสนา เป็นจำนวนมิใช่น้อย
ถึงเวลาแล้วมิใช่หรือที่พวกเราจะทำกิจทางศาสนา ไม่เพียงเพื่อสังคมสงเคราะห์
สังคมอย่างสันติ แต่อย่างรุนแรง และจริงใจ เพื่อให้เกิดความเป็นไทในสังคม
กล่าวคือ ความหลุดพ้นนั้น ต้องไม่เป็นไป แต่เพียงเพื่อ แต่ละปัจเจกบุคคลเท่านั้น
หากพันธนาการ ทางสังคม ต้องลดน้อย จนปลาสนาการไปด้วย
ยิ่งคนจนด้วยแล้ว ผู้นำทางศาสนาร่วมสมัย โดยที่ผู้นำทางศาสนาต่างๆ
มีทางร่วมมือกัน ยืนหยัด อยู่ข้างผู้ยากไร้ โดยพร้อมที่จะทนทุกข์ทรมาน
ร่วมกับพวกเขา เพื่อหาทางเอาชนะ โครงสร้าง ทางสังคม อันอยุติธรรม อย่างสันติได้อย่างไร
ที่กล่าวมาอย่างย่นย่อทั้งหมดนี้ ก็เพียงเพื่อปลุกมโนธรรมสำนึกของผู้ฟัง
และถ้ามีการอภิปราย กันต่อไป ให้ได้เนื้อหา สาระที่ลุ่มลึก และกว้างขวาง
ยิ่งไปกว่า ที่ข้าพเจ้า พรรณามา เราคงหา สาระได้ เพื่อนำไปใช้ ในการปลุก
มโนธรรมสำนึก ของคนไทย ร่วมสมัยของเรา แม้เขาจะต่าง ศาสนาไปจากเรา
หรือ ไม่นับถือ ศาสนาหนึ่งใด เอาเลยก็ตาม
ถ้าเราทำได้เช่นนั้น เชื่อว่านั่นจะเป็นของขวัญอันประเสริฐ สำหรับพระคุณท่านบุญเลื่อน
หมั้นทรัพย์ ซึ่งรับใช้พระศาสนา และมหาชนมาเป็นเวลาอันยาวนาน อย่างมีคุณภาพ
อันควรแก่การสรรเสริญ
(เราคิดอะไร
ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๕๐ มกราคม ๒๕๔๖)
|