กำไรขาดทุนแท้ของอาริยชน
(ฉบับที่ ๑๕๓)
"จิต"ที่ได้พัฒนาถึงขีดมี"การเกิดขึ้น
การเกิดใหม่" (อุปปัตติ) จนบรรลุ"การเกิดทางจิต"
(โอปปาติกโยนิ) จริงดัง กล่าวนี้ ก็ต้องเป็นจิต ที่มีศักดิ์ขั้น
"เทวดาแท้ๆ" อันเรียกตามศัพท์ว่า "อุปปัตติเทพ"
(เทวดาที่มีภาวะเกิด จริง ขั้นอาริยะ) และถ้ากิเลสตาย
อย่างหมดเกลี้ยงสนิท จนเป็น "จิตบริสุทธิ์จากกิเลส" ก็มีศักดิ์เข้าขั้นเป็น
"วิสุทธิเทพ" (เทวดาที่มีภาวะบริสุทธิ์
ขั้นอรหัตผล)
(ต่อจากฉบับที่ ๑๕๒)
"เทวดา"ชนิดนี้เป็นเทวดาที่มี"ความเกิด"จริง
เป็น"จิต"ที่เกิดสูงขึ้นไปได้ เพราะมีอาริยปัญญา หรือ โลกุตรปัญญา
ซึ่งรู้แจ้งเห็นจริงใน "รูปนาม" ของสภาวะจิต..เจตสิก..รูป..นิพพาน
หรือรู้แจ้ง ในปรมัตถธรรม อย่างละเอียด ถูกภาวะ แต่ละภาวะของ "กายในกาย..
เวทนาในเวทนา..จิตในจิต..ธรรมในธรรม" และ อีกอย่าง ก็เพราะ ภายในของ
"จิตในจิต" ได้ถูกกำจัด "เหตุที่พาตกต่ำ" อันคือ
"กิเลส" อย่างถูกตัวตน แท้จริง จึงได้เกิดเป็น
"อุปปัตติเทพ และ วิสุทธิเทพ"
"อุปปัตติเทพและวิสุทธิเทพ"
ไม่ใช่แค่เทวดาที่วนเวียนเป็นเทวดาเสพสุขแล้วก็ "ตกสวรรค์"
ลงไป
เป็นสัตว์นรก ชนิดสูงแล้ว ก็ยังวนตกต่ำลงไปได้อีกแล้วๆเล่าๆ เหมือน
"สมมุติเทพ" (เทวดาที่ต่างก็รู้เหมือนๆ
กันในแวดวง ที่เป็นโลกีย์) สมมุติเทพ ก็คือ จิตที่ยังมีอารมณ์หมุนวนเป็นสุขเป็นทุกข์ในกามภพ
และเป็นสุข เป็นทุกข์ ในรูปภพ ในอรูปภพอยู่ เท่านั้น
"สมมุติเทพ"นั้น
ยังไม่ได้แก้ไขจิต โดยการกำจัด"เหตุแท้" (สมุทัยอาริยสัจ)
อย่างถูกตัวถูกตน ของมันจริงๆ จังๆ จึงไม่มีความมั่นคงยั่งยืน
จึงยังไม่สามารถนับได้ว่า เป็นเทวดาที่มีจิต
"สงบจากกิเลส ชนิดไม่กลับ วนเวียนอีกแล้ว" ถึงความจบวิมุติแท้สัมบูรณ์
ส่วน"อุปปัตติเทพและวิสุทธิเทพ"
หมายถึง ผู้ปฏิบัติที่พากเพียร จนสามารถทำให้"ภาวะในจิต"
(มนสิ) เปลี่ยนแปลงถึงขั้น มี "การตายจริงเกิดจริงภายในจิต"
นั้นๆสำเร็จผล "จิต" จึงมีการเคลื่อนหรือมีการเลื่อน จากสภาพหนึ่ง
คือ"ตาย" แล้วก็ต้อง "เกิด "สู่อีกสภาพหนึ่ง อันเรียกว่า
"จุติ"สู่ความสูงขึ้นๆ ซึ่งเป็น เชื้อพันธุ์ของ "สัตว์ประเสริฐ"
(เทพอาริยะ) กระทั่งบริสุทธิ์เป็นที่สุด
กล่าวคือ
เมื่อมีการตายของ "กิเลส"
ในจิต "จิต" จึงเกิดเป็น
"อาริยะ" จริง ซึ่งมี "การตาย-การเกิด" ขึ้นของ
จิตในจิต และ "การตาย-การเกิด" ชนิดนี้เป็นการตายการเกิดของจิตวิญญาณเท่านั้น
เรียกว่า "โอปปาติกโยนิ"
"โอปปาติกโยนิ"
ได้แก่ การตายจากสภาพหนึ่ง แล้วเกิดสู่อีกสภาพหนึ่ง ของจิตเฉพาะในจิต
เท่านั้น ไม่ต้องเปลี่ยนร่าง เปลี่ยนกาย ทางรูปธรรมเลย ซึ่งเป็นการผุดเกิด
เป็นการลอยเกิด ผู้รู้บางท่านก็แปล "โอปปาติกะ" ว่า
การผุดเกิดขึ้นมา และโตเต็มตัวในทันใด บางท่านก็ แปลว่า เกิดแบบไม่มีพ่อไม่มีแม่
หมายความว่า การเกิดของ "โอปปาติกะ" นี้ ไม่ใช่การเกิดทางร่างกายที่เปลี่ยน
พันธุ์สืบพันธุ์ของวัตถุรูป อย่าง "ชลาพุชโยนิ" ได้แก่ การ
เกิดอยู่ในครรภ์ หรือในมดลูกแล้ว จึงคลอดออกมา หรือ อีกอย่างเรียกว่า
"อัณฑชโยนิ" คือ การเกิดออกมาเป็นไข่ก่อน แล้วค่อยฟักออกมาเป็นตัวทีหลัง
หรือแม้การเกิดที่เรียกว่า "สังเสทชโยนิ" คือ การเกิดแบบแตกตัว
นั่นคือ จิตผู้นั้น
"เกิด"เป็นอาริยะ เพราะกิเลสในจิต "ตายสนิท"
มิใช่แค่พัก แค่สงบได้เพราะสมาธิโลกีย์ "การตายของกิเลส"นั้น
คือ"การตาย-การเกิด"ในจิต [มีต่อฉบับหน้า]
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๕๓ เมษายน ๒๕๔๖)
|